ตอนที่ 532 เซิ่งเซียวผู้ยากเกินหยั่งถึง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อจู่ ๆ เซิ่งเซียวก็ก้าวออกมา สายตาของทุกคนจึงจับจ้องไปที่เขาทันทีและรอฟังว่าเขาจะเอ่ยอะไรออกมา

เมื่อเห็นว่าเซิ่งเซียวที่นิ่งเงียบมาตลอดก้าวออกมา ฉินอวี้โม่ก็ทราบได้ทันทีว่าครานี้คงจะไม่มีการต่อสู้เกิดขึ้นแน่ เซิ่งเซียวผู้นี้มีความคิดที่ล้ำลึกยากเกินหยั่งถึง เขาเป็นคนที่รับมือได้ยากยิ่งกว่าเฟิ่งซีนับร้อยเท่า

ยิ่งไปกว่านั้น แม้เขาจะเป็นโอรสศักดิ์สิทธิ์แห่งอารามโชติช่วง ทว่าฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เห็นและมีอะไรที่มากกว่านั้น เพราะเหตุนั้นนางจึงสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเซิ่งเซียวผู้นี้มาตลอด

“ทุก ๆ ท่าน…. ข้าคิดว่าตอนนี้ไม่เหมาะสมนักที่จะเริ่มการต่อสู้กัน”

เป็นจริงดังที่คิดไว้ ประโยคแรกที่มาจากปากของเซิ่งเซียวมีจุดประสงค์เพื่อโน้มน้าวใจมิให้ฉินอวี้โม่และเฟิ่งซีต่อสู้กัน

เมื่อได้ยินวาจาของเซิ่งเซียว ฉินอวี้โม่ก็มิได้กล่าวสิ่งใด ในทางกลับกัน เฟิ่งซีอดไม่ได้และกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจเล็กน้อย “เซิ่งเซียว นี่ท่านพูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน อย่าลืมสิว่าพวกเราเป็นพันธมิตรกัน !”

สถานการณ์ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถกำจัดคนทั้งสามได้ ทว่าเซิ่งเซียวกลับเข้ามากล่าวปรามเขาเช่นนี้ เฟิ่งซีมิอาจคาดเดาได้เลยว่าบุรุษจากอารามโชติช่วงผู้นี้กำลังคิดสิ่งใดอยู่

“เฟิ่งซี ท่านไม่ต้องย้ำเตือนข้าหรอก แน่นอนว่าข้าไม่มีทางลืม”

ความคลุมเครือบางอย่างฉายวาบบนใบหน้าของเซิ่งเซียวครู่หนึ่งทว่าเขาก็ปกปิดมันไว้อย่างรวดเร็ว เขาไม่ชอบหน้าเฟิ่งซีผู้นี้อยู่เล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นวาจาของเฟิ่งซียังเจือด้วยความข่มขู่บางอย่างที่ทำให้เขาไม่พอใจนัก อย่างไรก็ตาม เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ในตอนนี้ นี่ยังมิใช่เวลาสำหรับการฉีกหน้าเฟิ่งซี

“เฟิ่งซี เมื่อท่านมาที่สระกายสิทธิ์ในครานี้ ท่านควรจะตระหนักถึงภารกิจที่ผู้นำของท่านมอบให้ มังกรเหมันต์เป็นอสูรที่ทรงพลังอย่างยิ่งและยังมีอสูรมายาอีกสองตัวที่ไม่อ่อนแอไปกว่ามัน ลองคิดไตร่ตรองดูเถิด สิ่งแรกที่เราควรคำนึงถึงคือเราจะจัดการกับมังกรเหมันต์และอสูรอีกสองตัวนั่นอย่างไรมิใช่รึ ?”

เซิ่งเซียวกล่าวย้ำเตือนถึงจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดในการเดินทางมาครานี้

สีหน้าของเฟิ่งซีเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของเซิ่งเซียว แน่นอนว่าเขาไม่มีทางลืมภารกิจที่ผู้นำนิกายมอบหมายไว้ สิ่งสำคัญที่สุดในการเดินทางมาที่สระกายสิทธิ์ครานี้คือ ‘โอกาส’ ที่ซ่อนอยู่ หากเขาได้มันมาครอบครอง เขาสามารถจินตนาการได้เลยว่าตำแหน่งของเขาในนิกายหงส์มังกรจะพัฒนามากเพียงใดในอนาคต

ยิ่งไปกว่านั้น มังกรเหมันต์และอสูรมายาอีกสองตัวก็ทรงพลังอย่างแท้จริง ตัวเขาและพวกเพียงลำพังไม่มีทางเทียบชั้นกับพวกมันได้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม เฟิ่งซีก็มิใช่คนที่จะล้มเลิกความคิดง่าย ๆ เขาทราบดีว่าหากสังหารฉินอวี้โม่และปิงเสวียนได้สำเร็จ เขาก็จะได้รับผลตอบแทนอย่างงามเมื่อกลับไปถึงนิกายหงส์มังกร

“เซิ่งเซียว ไหน ๆ ท่านก็กล่าวถึงอสูรทั้งสามแล้ว พวกมันก็ไม่ถูกกันเท่าใดนัก หากเรายั่วยุให้พวกมันต่อสู้กันเองและรอรับผลประโยชน์ดั่งเฒ่าประมงได้กำไร จากนั้นพวกมันก็จะไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเราอีก ส่วนฉินอวี้โม่ผู้นี้เป็นผู้ปกครองของดินแดนทางเหนือและปิงเสวียนเป็นศิษย์ฝีมือดีของนครล่าฝัน หากจัดการกับทั้งสองได้ มันก็จะสร้างความปั่นป่วนที่สั่นคลอนทั้งสองขุมกำลังอย่างแน่นอน ข้าเชื่อว่าท่านน่าจะเข้าใจความจริงข้อนี้ดี”

* 渔翁 ชาวประมง คนตกปลา มาจากสำนวน เฒ่าประมงตกปลา (เฒ่าประมงได้กำไร) ความหมายคือ คนที่ได้กำไรจากการมีปัญหากันของสองฝ่าย

เฟิ่งซีชำเลืองมองกลุ่มคนทั้งสามของฉินอวี้โม่และกล่าวจุดประสงค์อย่างไม่ปิดบัง หลังจากกล่าวจบ สายตาของเขาก็ยังจับจ้องไปที่กลุ่มของฉินอวี้โม่อย่างไม่ละสายตา

“นั่นก็ถูก…. แต่ข้าขอถามท่านหน่อย ท่านมั่นใจแค่ไหนกัน ?”

เมื่อได้ยินวาจาของเฟิ่งซี เซิ่งเซียวก็แอบเรียกเขาว่าเจ้าโง่อยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยไม่บ่งบอกถึงความรู้สึกใดและเพียงกล่าวออกไปตรง ๆ

“ฉินอวี้โม่และอีกสองคนไม่ใช่บุคคลที่ธรรมดาเลย ข้าเชื่อว่าท่านทราบดี คงเป็นไปไม่ได้ที่คนทั้งสามจะไม่มีไพ่ตายซ่อนไว้ เรามีกันเพียงสิบคน หากคิดจะจัดการกับพวกเขาจริง เราก็อาจจะสูญเสียสมาชิกเจ็ดถึงแปดคนไปได้ เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้อสูรมายาทั้งสามเพลี่ยงพล้ำไปและเราต้องการเข้าไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ มันก็คงเป็นไปไม่ได้ และอย่าลืมว่ายังมีคนอื่น ๆ ที่เข้ามาในสระกายสิทธิ์นี้เช่นกัน หากมีผู้ใดพบปราสาทโบราณนี่เข้า พวกเขาจะต้องเข้ามาอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าจะเป็นพวกเขาที่กลายเป็นเฒ่าประมงได้กำไร ส่วนพวกเราก็อาจจะสูญเสียทุกอย่างไป”

เซิ่งเซียววิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียให้ทุกคนได้ฟัง ทว่าไม่มีใครคาดเดาได้ว่าแท้จริงแล้วเขากำลังคิดอะไรอยู่

อย่างไรก็ตาม หลายประโยคของเซิ่งเซียวทำให้ความมั่นใจของเฟิ่งซีสั่นคลอนไม่เป็นท่า เหล่าผู้ติดตามของเขาต่างก็เชื่อวาจาของเซิ่งเซียวเช่นกันและเริ่มก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยอย่างเงียบ ๆ

“อีกอย่าง… ต่อให้ท่านมั่นใจว่าจะเอาชนะฉินอวี้โม่และสหายทั้งสองได้ ทว่าหากพวกเขาคิดที่จะระเบิดตัวเองขึ้นมา ข้าไม่คิดว่าท่านจะต้านทานพลังเช่นนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น สระกายสิทธิ์แห่งนี้ก็ประหลาดอย่างยิ่ง ไม่อาจทราบได้เลยว่ามันจะปิดผนึกอีกครั้งเมื่อใด หากไม่รีบจัดการภารกิจให้สำเร็จและออกไป ท่านอาจจะติดอยู่ที่นี่ไปตลอดกาลก็ได้ ลองไตร่ตรองดูเถิดว่าหากต้องติดอยู่ที่นี่จริง ท่านจะมีชีวิตรอดได้นานแค่ไหน”

เซิ่งเซียวกล่าวเสริมก่อนหันหลังและเดินตรงเข้าไปข้างในปราสาท

“เฟิ่งซี ท่านลองคิดดูให้ดีเถิด แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าและคนของข้าอีกสามคนจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้”

เขาไม่ต้องการเสียเวลาอีกต่อไป ในเวลานี้มังกรเหมันต์ก็มุ่งหน้าเข้าไปข้างในปราสาทเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วและมันอาจค้นพบบางสิ่งบางอย่างแล้วก็เป็นได้

เขาสนใจเกี่ยวกับ ‘โอกาส’ ที่ยิ่งใหญ่ใต้สระกายสิทธิ์อย่างยิ่ง หากได้มันมาครอง เขาจะพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองได้เป็นอย่างมาก และเมื่อถึงตอนนั้น หลายสิ่งหลายอย่างก็จะได้รับการสะสาง…

เมื่อเซิ่งเซียวนำคนของเขาเดินจากไปโดยไม่ลังเล ใบหน้าของเฟิ่งซีผู้ซึ่งเกรี้ยวกราดอยู่แล้วก็เริ่มบิดเบี้ยวเหยเก

เมื่อหันกลับมามองฉินอวี้โม่และกลุ่มคนของตนเองที่มีจำนวนรวมหกคน ในที่สุดเฟิ่งซีก็ยอมตัดใจ

“เหอะ วันนี้ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก่อน ข้าขอแนะนำว่าอย่าคิดแย่งโอกาสใต้สระกายสิทธิ์จากข้า มิฉะนั้นข้าจะฆ่าพวกเจ้าอย่างไม่ปรานี”

หลังจากกล่าวจบ เขาก็นำกลุ่มผู้ติดตามเดินตามฝีเท้าของเซิ่งเซียวไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อได้ยินวาจาข่มขู่ทิ้งท้ายของเฟิ่งซี ฉู่เจี๋ยก็อยากจะจัดการกับอีกฝ่ายทันที

“เสี่ยวเจี๋ย ใจเย็นลงก่อน”

ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มบาง ๆ อย่างไม่แยแสและขัดขวางฉู่เจี๋ยไว้ ในขณะเดียวกัน นางก็สั่งการบางอย่างกับหมาป่าขนทอง จากนั้นหมาป่างดงามก็ออกมาจากมิติเชื่อมอสูรของนางและออกไล่ตามไปยังทิศทางของเฟิ่งซีและคนอื่น ๆ ทันที

ผู้ใดที่ริอาจข่มขู่นางฉินอวี้โม่ ผู้นั้นย่อมต้องชดใช้อย่างสาสม ในเมื่อเฟิ่งซีกล้าข่มขู่นางเช่นนี้ หากไม่สั่งสอนให้รู้สำนึก เกรงว่าเขาคงคิดว่านางเป็นเป้าหมายที่รังแกได้ง่าย ๆ

แน่นอนว่าเมื่อฉู่เจี๋ยมองเห็นหมาป่าขนทองไล่ตามเฟิ่งซีและคนอื่น ๆ ไป เขาก็มองฉินอวี้โม่พร้อมรอยยิ้มประดับมุมปากและคาดเดาบางอย่างได้ ความโกรธเคืองค่อย ๆ หายไปจากใบหน้าของเขาอย่างช้า ๆ

เขาตั้งตารอดูว่าหมาป่าขนทองจะจัดการกับเฟิ่งซีและสหายอย่างไร

“ไปกันเถอะ มังกรเหมันต์เข้าไปก่อนแล้ว ส่วนตัวนิ่มพันปีและจิ้งจอกเก้าหางนั้นไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด เราเองก็ควรจะเข้าไปตั้งนานแล้ว เราจะเสียเวลาอีกไม่ได้”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและเดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของปราสาทโบราณ อย่างไรก็ตาม นางไม่เลือกเข้าไปในทิศทางเดียวกับกลุ่มของเซิ่งเซียวทว่าเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม

ปราสาทโบราณแห่งนี้เป็นอาคารทรงกลมที่มีขนาดใหญ่มาก หากเดินเข้าไปสำรวจในทิศทางตรงกันข้าม พวกเขาจะพบกันอีกครั้งที่ปลายทางของกันและกัน

อีกฟากหนึ่งของปราสาทโบราณ หมาป่าขนทองก็ไล่ตามเฟิ่งซีและคนอื่น ๆ จนมาถึงตัวพวกเขา

ทว่าหลังจากคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง มันก็ตัดสินใจที่จะอ้อมออกไปอีกฝั่งหนึ่งเพื่อไปดักรออยู่ข้างหน้าไม่ไกลไปจากกลุ่มของเฟิ่งซี

“แปลกจริง ๆ กลุ่มของเซิ่งเซียวจะเดินเร็วกันไปแล้ว ตอนนี้เราไม่เห็นแม้แต่เงาของพวกเขาด้วยซ้ำ !”

หลังจากไล่ตามไปพักหนึ่งทว่ายังตามกลุ่มของเซิ่งเซียวไม่ทัน เฟิ่งซีและคนอื่น ๆ ก็เริ่มหงุดหงิดเล็กน้อย เซิ่งเซียวผู้นี้ชักจะมากเกินไปแล้ว ถึงอย่างไรแล้วนิกายหงส์มังกรของเขาก็ทรงพลังกว่าอารามโชติช่วงมากและเซิ่งเซียวผู้นี้น่าจะไว้หน้าเขามากกว่านี้

“นายน้อยขอรับ ไม่ต้องกังวลไปเลย แม้ว่าปราสาทโบราณหลังนี้จะกว้างใหญ่ มันก็เป็นเพียงปราสาทหลังหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็วเราจะได้พบกันอีกครั้ง แค่ปล่อยให้พวกเขาสำรวจไปก่อนไม่ถือเป็นเรื่องเลวร้ายหรอกขอรับ”

ใครคนหนึ่งกล่าวขึ้นเพื่อปลอบประโลมเฟิ่งซีมิให้เป็นกังวลจนเกินไป

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความไม่พอใจบนใบหน้าของเฟิ่งซีก็หายไปอย่างรวดเร็วและตระหนักได้ว่าวาจาของคนผู้นั้นสมเหตุสมผลทุกประการ

หลังจากมุ่งหน้าไประยะหนึ่ง จู่ ๆ เฟิ่งซีก็พบกับหมาป่าตัวใหญ่ขนสีทองนอนอยู่ไม่ไกล ยิ่งไปกว่านั้น สภาวะพลังของมันก็อ่อนแอและดูราวกับใกล้ตายเต็มที

ในฐานะจอมยุทธ์ฝีมือดีของนิกายหงส์มังกร แน่นอนว่าเฟิ่งซีมีความรู้กว้างขวาง เมื่อเห็นหมาป่าขนสีทองงดงามตรงหน้า เขาก็ทราบถึงตัวตนของมันทันที

“นี่มันไม่ใช่หมาป่าขนทองที่สูญพันธุ์ไปแล้วรึ ? มันปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ?”

แม้ว่าเฟิ่งซีจะยโสโอหังและหยิ่งผยอง เขาก็ยังพอมีสมองคิด เมื่อเห็นอสูรหมาป่าที่ปรากฏตรงหน้าอย่างกะทันหันเช่นนี้ เขาย่อมรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

“นายน้อยขอรับ ดูเหมือนว่าหมาป่าขนทองตัวนี้จะบาดเจ็บสาหัสและเหมือนว่าบาดแผลจะยังใหม่อยู่”

ใครคนหนึ่งถือโอกาสนี้ในการใช้พลังวิญญาณตรวจสอบร่างกายของหมาป่าขนทอง หลังจากตรวจดู เขาก็รีบแจ้งให้เฟิ่งซีทราบโดยเร็ว

“บาดเจ็บหนัก… และยังสดใหม่อยู่…”

เฟิ่งซีพึมพำกับตัวเองและจู่ ๆ ข้อสงสัยประการหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว หรือว่ามังกรเหมันต์คือต้นเหตุที่ทำให้หมาป่าขนทองบาดเจ็บเช่นนี้ ?

เวลานี้หมาป่าขนทองขยับตัวเล็กน้อยราวกับสัมผัสได้ถึงเฟิ่งซีและคนอื่น ๆ

มันลืมตามองเฟิ่งซีและกล่าวอย่างช้า ๆ “มนุษย์เอ๋ย ข้าผู้นี้ได้รับบาดเจ็บเพราะฝีมือของมังกรเหมันต์ที่เพิ่งผ่านไป ดังนั้นข้าจึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ หากพวกเจ้าช่วยข้า ข้าจะตอบแทนพวกเจ้าอย่างงาม”

หมาป่าขนทองเพียงดำเนินไปตามคำสั่งของฉินอวี้โม่และจุดประสงค์ก็เพื่อทำให้เฟิ่งซีหลงเชื่ออย่างสนิทใจ ในตอนแรกมันคิดว่าหากตรงไปตรงมามากเกินไป เฟิ่งซีจะสงสัยเอาได้ ทว่าฉินอวี้โม่คาดการณ์ไว้ว่าเขาจะไม่หลงเชื่อหากกล่าววาจาไร้สาระมากเกินไป

เดิมทีหมาป่าขนทองเป็นอสูรทะนงตน เพราะฉะนั้นความตรงไปตรงมาย่อมเป็นลักษณะของมันอยู่แล้ว แม้ว่าเฟิ่งซีอาจจะคลางแคลงใจอยู่เล็กน้อย สุดท้ายเขาก็ต้องเชื่อวาจาของหมาป่าขนทอง

และเป็นจริงดังที่คิดไว้ เมื่อได้ยินวาจาของหมาป่าขนทอง เฟิ่งซีก็นึกสงสัยเล็กน้อย เหตุใดจึงบังเอิญมากเช่นนี้ ? หมาป่าขนทองที่บาดเจ็บสาหัสปรากฏกายระหว่างทางของเขาและยังกล่าววาจาเล่าเรื่องราวอย่างไม่ลังเลเช่นนี้ ?

“หากพวกเจ้าไม่มีความคิดที่จะช่วยก็ไสหัวออกไปซะ ! อย่าแม้แต่คิดที่จะสยบข้าให้เป็นอสูรของพวกเจ้า แม้ข้าจะบาดเจ็บหนัก ข้าก็มิใช่ตัวตนที่มนุษย์ต่ำต้อยอย่างพวกเจ้าจะแตะต้องได้”

เมื่อเห็นสีหน้าลังเลของเฟิ่งซี หมาป่าขนทองก็แสดงท่าทีหมดความอดทน มันกล่าวด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวกระฟัดกระเฟียดทว่าบาดแผลมันขยับและเลือดสดก็ไหลออกมาอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นสภาพของหมาป่าขนทอง เฟิ่งซีที่ยังคงสงสัยในตอนแรกก็หลงเชื่อมันในทันทีและเขาก็ตัดสินใจอย่างแน่วแน่

หากหมาป่าขนทองให้คำมั่นและช่วยเขาจัดการกับฉินอวี้โม่เมื่อถึงเวลา อสูรตัวนี้จะเป็นผู้ช่วยที่ดีไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เขาอาจได้โอกาสควบคุมหมาป่าขนทองตัวนี้หรือถึงขั้นสยบมันมาเป็นอสูรมายาของตน

เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้เหล่านี้ เฟิ่งซีก็อดหัวเราะอยู่ในใจไม่ได้

.

.