ในอีกฟากหนึ่ง ฉินอวี้โม่และสหายมุ่งหน้าเข้าสู่ส่วนลึกของปราสาทโบราณอย่างช้า ๆ
“พี่อวี้โม่ ท่านสั่งให้หมาป่าขนทองทำสิ่งใดรึ ?”
ฉู่เจี๋ยซึ่งเดินอยู่ด้านข้างหันมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้ เขาสังเกตเห็นว่าทิศทางที่หมาป่าขนทองมุ่งหน้าไปนั้นคือทิศทางที่เฟิ่งซีมุ่งหน้าออกไปก่อนหน้านี้และคาดเดาบางอย่างได้แล้ว อย่างไรก็ตาม เขายังไม่เข้าใจนักว่าฉินอวี้โม่ต้องการทำสิ่งใด
“ฮ่า ๆ ๆ อีกไม่นานเจ้าจะได้เห็นเอง”
ฉินอวี้โม่เพียงยิ้มกริ่มทว่าดูลึกลับไม่น้อย การที่นางสั่งให้หมาป่าขนทองมุ่งหน้าออกไปก็เพื่อที่จะเล่นละครตบตาเฟิ่งซี เฟิ่งซีผู้นั้นต้องการหาเรื่องพวกนางอยู่เสมอ ฉินอวี้โม่จึงอยากเห็นนักว่าเมื่อโอกาสทองปรากฏอยู่ตรงหน้า เฟิ่งซีจะโง่เขลาหลงเชื่อหรือไม่ ?
“นายหญิง เป็นจริงดังที่ท่านคิดไว้ เจ้าโง่นั่นเชื่อข้าและกำลังเอาอกเอาใจข้าใหญ่เลย !”
ในขณะที่สนทนากันอยู่นั้น เสียงของหมาป่าขนทองก็ดังขึ้นในโสตประสาทของฉินอวี้โม่และเป็นน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจอย่างชัดเจน
เนื่องจากอยู่ภายในปราสาทโบราณเช่นเดียวกัน แม้ว่าหมาป่าขนทองจะมิได้อยู่ข้างกายฉินอวี้โม่ มันก็ยังสามารถสื่อสารผ่านทางกระแสจิตกับนางได้อย่างง่ายดาย
“ดีเลย ทำตามที่ข้าบอก เมื่อเราได้พบกันและเฟิ่งซีได้รู้ว่าเจ้าเป็นอสูรมายาของข้า เขาจะต้องกระอักเลือดออกมาเพราะความโกรธแค้นที่สุมในอกเป็นแน่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและสั่งให้หมาป่าขนทองดำเนินตามแผนการที่กล่าวไว้ นางตั้งตารอดูว่าเฟิ่งซีจะโกรธเกรี้ยวเพียงใดเมื่อได้ทราบว่าหมาป่าขนทองที่บังเอิญพบในระหว่างทางนั้นแท้จริงแล้วเป็นอสูรมายาของอริอย่างฉินอวี้โม่และเพียงเล่นละครตบตาเขาเท่านั้น
แน่นอนว่าหมาป่าขนทองก็รับคำไปด้วยความยินดี ในตอนนี้เฟิ่งซีปฏิบัติต่อมันเสมือนบิดาก็ว่าได้โดยการนำของล้ำค่ามากมายออกมาจากแหวนมิติเพื่อเอาอกเอาใจมัน
“เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากที่กลืนกินโอสถหลายเม็ดและวัตถุดิบอื่น ๆ อีกหลายอย่าง บาดแผลของข้าก็ฟื้นตัวจนเกือบสมบูรณ์แล้ว”
หลังจากได้รับของล้ำค่ามามากมาย หมาป่าขนทองก็กล่าวด้วยน้ำเสียงพึงพอใจอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้มันเพียงกล่าวกับเฟิ่งซีและคณะของเขาว่าหากต้องการรักษาอาการบาดเจ็บที่หนักหนาสาหัสของมันนั้น มันจำเป็นต้องใช้โอสถและวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง
เฟิ่งซีก็ไม่กล้าคลางแคลงสงสัยในวาจาของหมาป่าขนทอง เขาจึงรีบหยิบของทั้งหมดที่มีและมอบให้หมาป่าตรงหน้าอย่างไม่ลังเล
แน่นอนว่าหมาป่าขนทองไม่ได้กินสิ่งเหล่านั้นทว่าโยนลงไปในแหวนมิติที่ฉินอวี้โม่มอบให้มันก่อนหน้านี้เพื่อที่มันจะได้นำทั้งหมดนี้ไปให้กับนาง มันเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อนางไม่น้อย
“มนุษย์เอ๋ย มาคุยกันเถอะ เจ้าต้องการสิ่งใดเป็นการตอบแทน ? หากมันไม่เกินความสามารถของข้าผู้นี้ ข้าจะสนองให้เจ้าอย่างแน่นอน”
หมาป่าขนทองกล่าว ‘บทพูด’ ที่เตรียมไว้ตั้งแต่ต้นขณะมองเหล่ามนุษย์ตรงหน้าและรอให้พวกเขากล่าวตอบ
เมื่อได้ยินวาจาของหมาป่าขนทอง เฟิ่งซีก็ไม่สงสัยสิ่งใดแม้แต่น้อย เขาเพียงยิ้มและกล่าว “ท่านหมาป่าขนทอง พวกเรามาที่สระกายสิทธิ์แห่งนี้ก็เพราะโอกาสยิ่งใหญ่ที่กล่าวกันว่าอยู่ที่นี่…”
ขณะกล่าวออกไป จู่ ๆ หมาป่าขนทองก็กล่าวแทรกขึ้นมา
“โอ้ พวกเจ้าอยากให้ข้าผู้นี้ช่วยเจ้าไขว่คว้าโอกาสนั่นมารึ ?”
หมาป่าขนทองกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความโมโหที่แทบมิอาจสังเกตได้
“ท่านหมาป่าขนทองเข้าใจผิดแล้ว ข้าทราบว่าท่านหมาป่าก็คงจะสนใจโอกาสนั้นมาก พวกข้ามิกล้าช่วงชิงโอกาสที่เป็นของท่านหมาป่าขนทองหรอก”
เมื่อได้ยินวาจาของหมาป่าตรงหน้า เฟิ่งซีก็ปฏิเสธทันควัน เขาไม่กล้ากล่าวออกไปตามความจริงว่ามาที่นี่เพื่อคว้า ‘โอกาส’ ดังกล่าว มิฉะนั้นหมาป่าขนทองอาจจะไม่พอใจและตัวเขาจะไม่ได้ประโยชน์ใด ๆ อีกทั้งก็อาจถึงขั้นกลายเป็นศัตรูต่อกัน ซึ่งนั่นเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ต้องการให้เกิดขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอสูรพสุธาเซียนขั้นสูงสุดอีกสามตัวที่ต้องการไขว่คว้าโอกาสนั้นมา ไม่มีทางเลยที่เขาจะเปิดเผยความคิดที่แท้จริงของตนออกไป
“เอาล่ะ ในเมื่อมันไม่เกี่ยวข้องกับโอกาสนั้น จงกล่าวมาเถิด”
หมาป่าขนทองสงบอารมณ์ลงและกล่าววาจาราวกับเชื่อคำโกหกของเฟิ่งซี
“ท่านหมาป่าขนทอง แท้จริงแล้วพวกเรามิใช่มนุษย์เพียงกลุ่มเดียวที่เข้ามาในปราสาทหลังนี้ยังมีอีกหลายคนที่มีเรื่องบาดหมางกับเราและหาเรื่องให้เราขุ่นเคืองใจหลายครา อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของคนพวกนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเรามากนัก การจัดการกับคนเหล่านั้นจึงยากพอสมควร ไม่ทราบว่าท่านจะช่วยพวกเราสั่งสอนบทเรียนให้กับคนเหล่านั้นได้รึไม่ ? หากท่านทำให้พวกนางก้มหัวศิโรราบและกล่าววาจาขอโทษเราได้ ข้าจะซาบซึ้งในน้ำใจของท่านหมาป่าอย่างแท้จริง”
เฟิ่งซีแสร้งทำเป็นอ่อนน้อมด้วยหวังว่าจะได้รับความดีความชอบจากหมาป่าขนทอง ถึงอย่างไรแล้วเขาก็วางแผนไว้ว่าจะสยบหมาป่าขนทองตัวนี้ให้มาเป็นอสูรมายาของตนเองให้ได้
“ที่แท้ก็เรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้นี่เอง”
เมื่อได้ยินวาจาของเฟิ่งซี หมาป่าขนทองก็กล่าววาจาอย่างไม่แยแสนัก
“ในเมื่อเจ้าช่วยข้าไว้ ข้าให้คำมั่นว่าจะช่วยเจ้าเป็นการตอบแทน เพียงแค่มนุษย์ตัวเล็ก ๆ ไม่กี่คน ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับข้าเลยสักนิด”
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอบคุณท่านหมาป่ามาก”
เมื่อหมาป่าขนทองตอบตกลงช่วยเหลือ เฟิ่งซีก็ไม่สงสัยสิ่งใดขณะความดีใจปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน สาเหตุที่เขาขอความช่วยเหลือจากหมาป่าขนทองก็เพราะความแข็งแกร่งของมัน
หมาป่าขนสีทองตัวยักษ์ใหญ่นี้มีความแข็งแกร่งอย่างน้อยอยู่ในระดับพสุธาเซียนขั้นสูง แน่นอนว่ามันสามารถจัดการกับฉินอวี้โม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้น ตราบใดที่เขาใช้ประโยชน์จากมันและทำให้ฉินอวี้โม่บาดเจ็บสาหัส เขาก็จะสามารถตัดสินใจในท้ายที่สุดว่าจะจัดการกับฉินอวี้โม่อย่างไรต่อ
“ตอนนี้คนพวกนั้นอยู่ที่ใด ?”
เฟิ่งซีติดกับที่วางไว้แล้วและหมาป่าขนทองไม่ต้องการเสียเวลาให้ล่าช้าอีกต่อไป มันเอ่ยถามทันทีเพื่อให้เฟิ่งซีนำทางไปหาฉินอวี้โม่
เฟิ่งซีนำทางหมาป่าขนทองไปอย่างสุขใจและยังคงพยายามเอาใจหมาป่าระหว่างทางพร้อมทั้งกล่าววาจาให้ร้ายฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
เมื่อได้ยินเฟิ่งซีกล่าววาจาให้ร้ายเจ้านายของตนไม่หยุดไม่หย่อน แน่นอนว่าหมาป่าขนทองก็รู้สึกไม่สบอารมณ์นัก ทว่าฉินอวี้โม่คาดการณ์สิ่งนี้ไว้ตั้งแต่ต้น มันจึงต้องอดกลั้นความไม่พอใจเหล่านั้นไว้ ด้วยวิธีนี้ เมื่อถึงเวลาที่พบกัน มันและฉินอวี้โม่จะได้ตบหน้าเฟิ่งซีฉาดใหญ่และทำให้บุรุษผู้โอหังโกรธแค้นจนอยู่ไม่ติด
เวลาอีกหนึ่งชั่วยามผ่านไป พื้นที่บริเวณของปราสาทโบราณหลังนี้กว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่งและตลอดทางก็มีห้องว่างมากมายที่ประตูถูกเปิดทิ้งไว้
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เดินผ่านห้องเหล่านั้นโดยไม่พลาดที่จะเข้าไปสำรวจภายใน ทว่าห้องส่วนใหญ่ว่างเปล่าและไร้ซึ่งสิ่งล้ำค่าใด ๆ อย่างไรก็ตาม ทุกห้องเหล่านั้นล้วนสะอาดเรียบร้อยไร้ที่ติราวกับมีใครบางคนทำความสะอาดและดูแลมันอยู่เป็นประจำ
ตู้ม !
เมื่อเดินออกจากห้องหนึ่ง ฉินอวี้โม่และสหายก็ได้ยินเสียงดังสนั่น ในขณะเดียวกัน พวกนางก็สัมผัสได้ถึงแรงปะทะของสองพลังซึ่งทำให้แม้แต่ปราสาทกว้างใหญ่ก็สั่นสะเทือน
“ช่างเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก !”
ปิงเสวียนทอดถอนหายใจขณะหันไปสบตาฉินอวี้โม่
“ไปดูกันเถอะ หากเดาไม่ผิด มันน่าจะเป็นการปะทะกันระหว่างมังกรเหมันต์และตัวนิ่มพันปี”
ฉินอวี้โม่กล่าวก่อนมุ่งหน้าไปยังทิศทางของการปะทะนั้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ลานจัตุรัสกว้างก็ปรากฏให้เห็นตรงหน้าและในทางตะวันออกของลานนี้มีอาคารตั้งตระหง่านที่ดูงดงามยิ่งกว่าเรือนใด ๆ ก่อนหน้านี้
กลางลานจัตุรัสคือภาพของมังกรเหมันต์และตัวนิ่มพันปีที่กำลังประชันฝีมือกันอย่างดุเดือด ใบหน้าของทั้งสองเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้อย่างชัดเจนและไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย แรงสั่นสะเทือนเมื่อครู่เป็นผลจากการปะทะของอสูรทั้งสองอย่างแท้จริง หากมิใช่เพราะปราสาทโบราณแห่งนี้มีอาคมพิเศษบางอย่าง พลังอำนาจของพวกมันทั้งสองอาจทำลายทั้งปราสาทจนพังราบคาบไปแล้ว
“ตัวนิ่มพันปี เจ้าไม่ใช่คู่มือของข้าหรอก !”
มังกรเหมันต์จ้องหน้าคู่ต่อสู้และกล่าวอย่างยโสโอหังโดยไม่มีร่องรอยความหวาดหวั่นใด ๆ
ตัวนิ่มพันปีมีพลังอยู่ในระดับเดียวกับมันก็จริง ทว่าอสูรสายพันธุ์มังกรก็มีข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติตั้งแต่กำเนิด ยิ่งไปกว่านั้น มังกรเหมันต์ก็ฝึกวิชาอย่างหนักมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้และความสามารถในการควบคุมธาตุน้ำแข็งของมันก็บรรลุถึงระดับสูงสุด หากมิใช่เพราะมีจิ้งจอกเก้าหางซึ่งอยู่ด้านข้างไม่ห่าง มันก็คงเอาชนะตัวนิ่มได้ในไม่กี่กระบวนท่า
“ฮ่า ๆ ๆ มังกรเหมันต์ หากเจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะข้าได้จริงๆ เหตุใดเจ้าไม่ขับไล่ข้าออกไปจากเทือกเขากายสิทธิ์ตั้งแต่แรกล่ะ ? ข้ายังได้ยินมาว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจากการปะทะกับหมาป่าขนทองก่อนหน้านี้”
ตัวนิ่มพันปีกล่าวอย่างไม่แยแสและสีหน้าแสดงถึงความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม หากมังกรเหมันต์ตัวนี้คิดว่าจะเอาชนะมันได้ง่าย ๆ มันก็คิดผิดเสียแล้ว แม้ว่ามังกรธาตุน้ำแข็งตัวนี้จะทรงพลังยิ่งนัก ทว่าตัวนิ่มพันปีก็ยังมีไพ่ตายซ่อนอยู่ หากมันใช้พลังอย่างเต็มที่ ผลของการต่อสู้นี้ก็อาจพลิกผันต่างจากที่คาดคิดไว้
เมื่อได้ยินวาจาของตัวนิ่มพันปี มังกรเหมันต์ก็แค่นเสียงเย็นชา มันหันไปมองผู้คนโดยรอบและไม่คิดที่จะโจมตีอีกต่อไป มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เจ้าเล่ห์จอมแผนการเป็นที่สุดและมันไม่ต้องการถูกเอาเปรียบโดยพวกเขาเหล่านั้น
“เจ้าตัวนิ่ม ข้าขอเสนอให้เราจัดการมนุษย์เหล่านี้ด้วยกันก่อนเถอะ มิฉะนั้นหากเราต่อสู้กันต่อไป มันก็มีแต่จะทำให้พวกมนุษย์ต่ำต้อยเหล่านี้ได้รับผลประโยชน์ไป”
มังกรเหมันต์กล่าวข้อเสนอของตนออกไป หากมันไม่กำจัดมนุษย์เหล่านี้ออกไปก่อน ความกังวลใจของมันก็จะยังคงอยู่และไม่มีทางหายไป
“เหอะ อย่าพยายามเปลี่ยนเรื่องหน่อยเลย ต่อให้พวกมนุษย์ได้โอกาสนั่นไปครอง ข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าได้ไป หากมันเกี่ยวข้องกับพลังในระดับนภาเซียนจริง เมื่อเจ้าได้มันและทะลวงพลังไปสู่ระดับนภาเซียนได้ เทือกเขากายสิทธิ์แห่งนี้ก็จะไม่มีวันสงบสุขอีกต่อไป”
ตัวนิ่มพันปีแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวอย่างแน่วแน่ มันมีความคิดความอ่านของตนเองและทราบดีว่าสิ่งใดดีที่สุด
มังกรเหมันต์ตัวนี้ทั้งชั่วร้ายและเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก และมันคิดที่จะยึดอำนาจของเทือกเขากายสิทธิ์ หากโอกาสนั้นตกไปอยู่ในมือของมันจริง ๆ เทือกเขากายสิทธิ์แห่งนี้ก็จะมิใช่ถิ่นฐานของมันและจิ้งจอกเก้าหางอีกต่อไป นั่นคือสิ่งที่อสูรทั้งสองไม่มีทางปล่อยให้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“พี่ตัวนิ่ม ข้าจะปล่อยเจ้ามังกรเหมันต์นี่ให้ท่านจัดการ ข้าจะเข้าไปตรวจดูข้างในก่อน”
จิ้งจอกเก้าหางกล่าวพร้อมส่งยิ้มเย้ายวนชวนมอง
“ไม่มีปัญหา น้องจิ้งจอกเก้าหาง ระวังตัวด้วยล่ะ ข้าจะจัดการเจ้ามังกรเหมันต์นี่เอง”
ตัวนิ่มพันปีพยักหน้าตอบรับก่อนพุ่งตรงไปต่อสู้กับมังกรเหมันต์อีกครั้ง
การปะทะกันของอสูรพสุธาเซียนขั้นสูงสุดทั้งสองดุเดือดรุนแรงอย่างที่สุดและยากที่จะบอกได้ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ชนะ
จอมยุทธ์หลายสิบคนที่เข้ามาในปราสาทโบราณก็รวมตัวกันโดยรอบเช่นกัน เมื่อเห็นการปะทะของอสูรทรงพลังทั้งสอง พวกเขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ประตูอาคารที่อยู่ไม่ไกลช่างดึงดูดใจพวกเขายิ่งนัก หากมิใช่เพราะว่ายังไม่มีใครที่เคลื่อนไหวออกไป เกรงว่าพวกเขาคงปรี่ตรงไปที่อาคารนั้นนานแล้ว
“ท่านหมาป่าขนทอง สามคนนี้เองที่ก่อเรื่องสร้างความอับอายให้กับข้าหลายครั้งหลายครา”
เวลานี้เฟิ่งซีและคนอื่น ๆ มาถึงพร้อมหมาป่าขนทอง เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และสหายทั้งสองที่อยู่ตรงข้าม เขาก็หันไปกล่าวกับหมาป่าขนทองข้างกายด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความชิงชังอย่างชัดเจน
ระหว่างทางมาที่นี่ เขาพยายามเอาใจหมาป่าขนทองอย่างต่อเนื่องและก็รู้สึกได้ว่าหมาป่าตัวนี้เข้ากับตนเองได้ดี ตอนนี้เขามั่นใจมากว่าหมาป่าขนทองจะสั่งสอนบทเรียนให้กับฉินอวี้โม่และพวกได้อย่างสาสมเป็นแน่
ต่อหน้าหมาป่าขนทองในระดับพสุธาเซียนขั้นสูง ฉินอวี้โม่และสหายทั้งสองมิใช่คู่ต่อสู้แม้แต่น้อย และผลลัพธ์หลังจากนี้ก็เป็นสิ่งที่จินตนาการได้
ทว่าน่าเสียดายที่มันจะเป็นการตบหน้าเฟิ่งซีฉาดใหญ่…
.
.