ในเย็นวันเดียวกันนั้น..
หลิงหยุนเดินเข้าไปภายในสวนสมุนไพรของบ้านเลขที่-1ซึ่งเวลานี้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนอาสนะ และเตรียมตัวที่จะฝึกวิชาพฤกษาขจีอยู่พอดี..
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเห็นหลิงหยุนเดินเข้ามาจึงรีบร้องบอกว่า “หลิงหยุน.. นายอย่ารบกวนการฝึกวิชาของฉันล่ะ!”
จากนั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็หลับตาลงและเริ่มฝึกฝนวิชาพฤกษาขจีอย่างจริงจัง ต้นสมุนไพรตรงหน้าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเริ่มมีสีเขียวเข้มมากขึ้นกว่าเดิม..
เบญจธาตุทั้งห้าในร่างกายของเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นธาตุไม้นับว่าเด่นที่สุด ไม่เช่นนั้นหลิงหยุนคงจะไม่สอนวิชาพฤกษาขจีให้กับนาง..
หลิงหยุนเลือกที่จะสอนวิชาให้เหมาะสมกับธาตุในร่างกายของคนผู้นั้นอีกทั้งเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็เป็นเด็กสาวจากเผ่าเหมี่ยวเจียง ที่ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางขุนเขาหลายพันลูก และรายล้อมด้วยแมกไม้นานาพรรณมาตั้งแต่เยาว์วัย ร่างกายจึงได้ดูดซับเอาพลังชีวิตธาตุไม้เข้าไปเป็นเวลานาน..
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาปลดปล่อยพลังชีวิตในร่างกายของตนเองออกจากร่างและควบคุมพลังเหล่านั้นให้ห่อหุ้มต้นสมุนไพรตรงหน้า และทุกครั้งที่นางปลดปล่อยพลังชีวิตออกมานั้น ต้นไม้ตรงหน้าก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป..
แต่สิ่งเดียวที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมายังทำไม่ได้ก็คือการฉีดพลังชีวิตเข้าไปในต้นไม้โดยตรง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้ต้นไม้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างทันตาเห็น
แต่ถึงกระนั้น..เพียงแค่ปลดปล่อยพลังชีวิตห่อหุ้มต้นไม้ไว้ได้ ก็ทำให้ใบของมันเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม และเป็นมันวาวได้แล้ว!
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพยายามจนเหงื่อตกแต่ก็ไม่สามารถฉีดพลังชีวิตเข้าไปในต้นไม้โดยตรงได้..
หลิงหยุนซึ่งยืนดูอยู่เงียบๆมานานจึงพูดขึ้นว่า “เสี่ยวเหมา.. คุณกลัวชุดที่สวมใส่สกปรกเลอะเทอะ จนถึงกับไม่กล้านั่งฝึกวิชาพฤกษาขจีบนพื้นดิน แต่กลับต้องมีเบาะมารอง การทำเช่นนี้บ่งบอกว่าคุณกำลังทำตัวสูงส่งกว่าต้นไม้ใบหญ้า..”
“และการที่คุณไม่สามารถฉีดพลังชีวิตเข้าไปในต้นไม้ได้นั้นก็เพราะพวกมันไม่ยอมรับคุณไงล่ะ..”
“คุณต้องรู้ว่าต้นไม้ใบหญ้าทุกต้นล้วนแล้วแต่เกิดจากผืนดิน เจริญเติบโตได้ก็เพราะผืนดิน..”
“คุณอยากจะเร่งการเจริญเติบโตของต้นไม้ใบหญ้าแต่กลับไม่ยอมลดตัวลงไปอยู่ระดับเดียวกับพวกมัน เช่นนี้แล้วจะให้พวกมันยอมรับคุณได้อย่างไรกัน”
“วิชาพฤกษาขจีนั้นมีทั้งหมดสิบขั้น..เวลานี้คุณได้เข้าสู่ขั้นที่สามแล้ว แต่นั่นเป็นเพียงแค่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ในขั้นนี้คุณจะสามารถสื่อสารกับต้นไม้ใบหญ้าได้ และสามารถใช้พลังชีวิตกระตุ้นการเจริญเติบโตของพวกมันได้..”
“ขั้นที่หนึ่งถึงขั้นที่สามนั้น..ผู้ฝึกจะสามารถสื่อสารกับเหล่าพฤกษาได้ในระยะใกล้ๆเพียงไม่กี่ต้น”
“ขั้นที่สี่ถึงขั้นที่หกนั้น..จะสามารถสื่อสารกับเหล่าพฤกษาได้ในวงกว้างมากขึ้น และอัตราเร่งการเจริญเติบโตก็จะสูงขึ้นตามด้วย ”
“แต่นับจากขั้นที่เจ็ดขึ้นไปนั้นจะแตกต่างจากขั้นที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง..”
“ขั้นที่เจ็ดของวิชาพฤกษาขจีนั้นมีชื่อว่า – แค่คิดก็เบ่งบาน!”
“ขั้นที่แปดนั้นมีชื่อว่า – ปลุกชีวิตจากความตาย!
“และขั้นที่เก้ามีชื่อว่า– จักรพรรดิแห่งพืชพรรณ!”
“แค่คิดก็เบ่งบานนั้นหมายถึงผู้ที่ฝึกถึงขั้นนี้นั้นเพียงแค่คิดถึงดอกไม้ ดอกไม้ก็จะเบ่งบาน เพียงแค่คิดถึงผลไม้ ผลไม้ก็จะออกผล..”
“ส่วนปลุกชีวิตจากความตายนั้นยกตัวอย่างเช่นเฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากไม้ ผู้ที่ฝึกถึงขั้นนี้จะสามารถทำให้ไม้ตายเหล่านั้นแตกหน่อได้..”
“และผู้ที่ฝึกถึงขั้นที่มีชื่อว่าจักรพรรดิแห่งพืชพรรณนั้นจะสามารถสื่อสารกับพฤกษาได้ทั่วโลก และสามารถทำให้พวกมันเชื่อฟังได้..”
เสี่ยวเม่ยหนิงที่เข้ามายืนฟังอยู่ด้วยนั้นรีบถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที
“พี่หลิงหยุน..แล้วขั้นที่สิบล่ะ”
หลิงหยุนโบกไม้โบกมือพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ไม่มีบันทึกไว้.. คาดว่าผู้ที่ฝึกถึงขั้นนั้นจะสามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง..”
จากนั้นหลิงหยุนก็ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นดินและเริ่มใช้วิชาพฤกษาขจีเร่งการเจริญเติบโตของสมุนไพรรอบตัวทันที เมื่อสมุนไพรเติบโตเต็มที่แล้ว หลิงหยุนจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับสั่งเหมี่ยวเสี่ยวเหมาว่า
“คุณช่วยจัดการเก็บสมุนไพรที่โตเต็มวัยให้หมดด้วยพรุ่งนี้ผมจะเริ่มกลั่นโอสถแล้ว..”
จากนั้นหลิงหยุนก็เดินเข้าไปในบ้านโดยไม่สนใจสองพี่น้องอีกเลยเขาเดินตรงเข้าไปยังห้องออกกำลังกายที่เวลานี้มีกระสอบสมุนไพรอยู่เต็มไปหมด และสมุนไพรเหล่านี้ก็ได้ดูดซับเอาพลังชีวิตเข้าไปเป็นเวลานานมากแล้ว หลิงหยุนจะใช้มันสำหรับกลั่นโอสถ และปลุกเสกยันต์..
ในมุมหนึ่งของห้องออกกำลังกายนั้นมีกองอาวุธหลากหลายชนิดวางเรียงรายอยู่ และหลักๆก็จะเป็นกระบี่ อาวุธเหล่านี้เป็นอาวุธที่หลิงหยุนได้จากยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนที่บุกเข้ามาในบ้านคืนนั้น และหลิงหยุนตั้งใจไว้ว่าจะนำอาวุธเหล่านี้มาหลอมเพื่อสร้างอาวุธใหม่ของตนเอง..
หลิงหยุนใช้เนตรหยิน-หยางสำรวจอาวุธที่กองอยู่ทั้งหมดและพบว่าบางชิ้นก็ทำด้วยทองคำ บางชิ้นก็ทำด้วยเงิน หรือไม่ก็ตะกั่ว และโลหะทั้งสามก็ล้วนแล้วแต่เป็นโลหะหายากทั้งสิ้น!
“เอาล่ะ..ข้าจะใช้อาวุธกองนี้สร้างกระบี่เหินขึ้นมา!”
ในเมื่อเข้าสู่ขั้นปฐมชี่แล้วหลิงหยุนก็สามารถสร้างของวัตถุต่างๆด้วยตนเองได้แล้ว เขาจึงต้องการสร้างกระบี่เหินก่อนที่จะออกเดินทางไปปักกิ่ง ครั้งนี้หลิงหยุนจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากกว่าครั้งก่อน..
…….
เช้าวันต่อมา..หลิงหยุนก็เรียกไป๋เซียนเอ๋อ เหมี่ยวเสี่ยวเหมา และโม่วู๋เตาให้มาช่วยเขาทำการกลั่นโอสถ และปลุกเสกยันต์ตลอดสามวันโดยไม่ออกไปข้างนอกเลย..
ในเมื่อวัตถุดิบพร้อมอุปกรณ์พร้อม และกำลังคนพร้อมเช่นนี้ ในเวลาสามวันหลิงหยุนก็สามารถกลั่นโอสถหยิน-หยางได้ถึงหนึ่งร้อยยี่สิบเม็ด โอสถปราณมังรหนึ่งร้อยเม็ด และโอสถสำหรับชำระล้างไขกระดูกอีกหนึ่งร้อยห้าสิบเม็ด..
ระหว่างที่รอให้โอสถต่างๆสำเร็จเสร็จสิ้นนั้น หลิงหยุนก็ได้ใช้เวลาช่วงที่รอทำการปลุกเสกยันต์ชนิดต่างๆ ได้อีกนับพันแผ่น และยันต์แต่ละชนิดนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นยันต์ระดับหกทั้งสิ้น..
…..
สามวันต่อจากนั้น..
หลิงหยุนได้เรียกอาวุธทั้งหมดที่กองอยู่ในห้องออกกำลังกายเข้าไปในแหวนพื้นที่จากนั้นจึงได้ออกไปที่โรงงานหลอมเหล็กพร้อมกับไป๋เซียนเอ๋อ
หลิงหยุนกับไป๋เซียนเอ๋อไปถึงโรงงานหลอมเหล็กแถบชานเมืองด้านใต้ของจิงฉูตั้งแต่เช้าโรงงานหลอมเหล็กแห่งนี้ถังเมิ่งได้ซื้อกิจการไว้ก่อนที่จะทำการเปิดบริษัทเทียนตี้เสียอีก..
“ผู้จัดการหลี่..ไม่ทราบว่าประธานถังสั่งให้คุณเตรียมวัตถุดิบไว้แล้วหรือยัง”
“คุณหลิง..ผมได้เตรียมเหล็กจำนวนห้าตันไว้ให้แล้วครับ และตอนนี้เตาหลอมก็พร้อมแล้ว..”
“ดีมาก..พาผมไปได้เลย!”
หลิงหยุนไม่ต้องการพูดมากให้เสียเวลาเพราะเขาเองก็มีเวลาค่อนข้างจำกัด เมื่อไปถึงหน้าเตาหลอม หลิงหยุนก็ได้บอกกับผู้จัดการว่าเขาต้องการเตาหลอมแบบใหน อย่างไร?
หลังจากที่ได้ตามที่ต้องการแล้วหลิงหยุนก็สั่งให้ทุกคนออกไป แล้วจึงหันไปบอกกับไป๋เซียนเอ๋อว่า
“เซียนเอ๋อ..เริ่มงานได้แล้ว!”
หลิงหยุนเริ่มด้วยการหลอมเหล็กทั้งห้าตันและด้วยพลังของหลิงหยุนเวลานี้ เขาสามารถออกแรงยกเหล็กโยนเข้าเตาหลอมได้อย่างสบายโดยไม่ต้องอาศัยรถยก..
อุณหภูมิภายในเตาหลอมนั้นสูงมากแต่หลิงหยุนกับไป๋เซียนเอ๋อกลับไม่รู้สึกอะไร และหลังจากหลอมเหล็กห้าตันเสร็จแล้ว หลิงหยุนก็ได้แต่บ่นพึมพำ novel-lucky
“เฮ้อ..ไม่ต่างจากการนำเงินมาเผาเล่นแม้แต่น้อย!”
และเพียงไม่นาน..หลังจากคัดกรอง หลิงหยุนก็ได้เหล็กหลอมบริสุทธิ์สำหรับสร้างกระบี่เหินราวสิบกิโลกรัม!
“เอาล่ะ..เหล็กหลอมบริสุทธิ์สิบกิโลกรัม กับอาวุธทั้งหมดของศัตรู ก็เพียงพอที่จะสร้างกระบี่เหินได้แล้ว!”
หลิงหยุนจัดการเรียกอาวุธทั้งหมดในแหวนพื้นที่ออกมาและโยนเข้าไปในเตาหลอมที่ตอนนี้ได้ปิดไปแล้ว
“เซียนเอ๋อ..ขึ้นอยู่กับพลังเพลิงของเจ้าแล้ว!”
ไป๋เซียนเอ๋อกระโดดไปยืนหน้าเตาหลอมทันทีพร้อมกับยื่นฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปด้านหน้า ลูกไฟสองลูกก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของนาง และนี่คือวิชาจิ้งจอกระเริงไฟ และฝ่ามือเพลิงสวรรค์!
พลังความร้อนจากสองวิชานั้นแทบไม่ต้องจินตนาการมันสามารถหลอมโลหะในเตาได้อย่างรวดเร็ว และเวลานี้โลหะในเตาหลอมก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรูปกระบี่ที่มีความยาวขนาดหนึ่งฟุต กว้างหนึ่งนิ้ว..
ระหว่างที่ได้รูปร่างและขนาดที่ต้องการแล้วหลิงหยุนก็เดินวิชาพลังลับหยิน-หยาง และใช้ไอเย็นของพลังหยินลดอุณหภูมิของกระบี่ลงทันที
“เหินขึ้น!”
หลิงหยุนไม่รอให้กระบี่เย็นลงกว่านี้เขาใช้พลังจิตของตนเองบังคับกระบี่ให้ลอยขึ้นกลางอากาศ และบินมาอยู่ตรงหน้าของตัวเอง
จากนั้นจึงเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาเพื่อที่จะทำการสลักค่ายกลไว้ที่ตัวกระบี่ก่อนที่มันจะเย็นลง..
อะไรคือกระบี่เหินอย่างนั้นหรือ
หากไม่มีการสลักค่ายกลเฉพาะไว้บนกระบี่กระบี่เล่มนั้นก็คงเป็นได้เพียงแค่กระบี่ธรรมดาๆเท่านั้น คงจะเป็นกระบี่เหินไปไม่ได้!
และหากสามารถใช้จิตใจเคลื่อนไหวดั่งใจได้แต่กลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงขนาดได้ตามใจสั่ง กระบี่เล่มนั้นก็คงจะเป็นกระบี่เหินไปไม่ได้อีกเช่นกัน!
ในเวลานั้นหลิงหยุนได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกขั้นสุดจิตใจของเขาจดจ่ออยู่ที่กระบี่ด้ามเล็กนั้น และกำลังใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ในมือสลักค่ายกลลงไปบนตัวกระบี่!
ชัวะชัวะ
กระบี่ในมือของหลิงหยุนตวัดไปมารวดเร็วราวกับสายฟ้าและได้สลักค่ายกลพื้นที่แปดค่ายไว้ที่ตัวกระบี่ด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งสลักค่ายกลพลังลมสองค่าย และค่ายกลเพชรสองค่าย..
รวมทั้งหมดสิบสองค่ายกลอยู่บนตัวกระบี่เหิน!
แต่แน่นอนว่าเพียงแค่ค่ายกลพื้นที่ทั้งแปดก็คงไม่สามารถทำให้กระบี่เหินเปลี่ยนแปลงขนาดได้ ส่วนค่ายกลพลังลมก็เพียงแค่ทำให้กระบี่เหินมีความเร็วเพิ่มขึ้นเท่านั้น และค่ายกลเพชรก็ทำให้กระบี่เหินมีความคม และแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน!
ด้วยเหตุนี้..หลังจากที่สลักสิบสองค่ายกลลงบนตัวกระบี่เรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนจึงได้กัดลิ้นตนเอง และทำการพ่นเลือดในปากลงไปที่ตัวกระบี่ เมื่อละอองโลหิตต้องตัวกระบี่ ก็ซึมหายเข้าไปด้านในทันที!
ทั้งค่ายกลและโลหิตของหลิงหยุนผสานรวมกันต่างหากเล่า จึงจะสามารถสร้างกระบี่เหินที่แท้จริงได้!
จากนั้น..หลิงหยุนก็ได้เดินวิชาพลังเย็น และใช้ปลายนิ้วลูบไล้ตัวกระบี่เหิน ทำให้มันเย็นลงในทันที และเปล่งประกายสีเขียวเจิดจ้าออกมา!
เป็นอันว่ากระบี่เหินได้ถูกสร้างขึ้นสำเร็จแล้ว!
กระบี่เหินเล่มนี้ดูเหมือนจะรับรู้ความคิดของหลิงหยุนได้เป็นอย่างดีหลิงหยุนจึงได้แต่ร้องออกมาอย่างพึงพอใจ
“ฮ่า..ฮ่า.. คิดไม่ถึงว่าวัตถุวิญญาณระดับต่ำเช่นนี้ กลับสามารถใช้งานได้ดีทีเดียว!”
หลิงหยุนซึ่งอยู่ในขั้นปฐมชี่สามารถสร้างอาวุธวิญญาณระดับต่ำได้เท่านั้น แต่เพียงเท่านี้เขาก็มีความสุขอย่างมากแล้ว..
‘จู่โจม!’
เพียงแค่หลิงหยุนคิด..กระบี่สีเขียวก็พุ่งออกไปที่กองเหล็กด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างออกไปราวแปดเมตร และจัดการตัดเหล็กกองนั้นขาดได้อย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นถึงความคม และความแข็งแกร่งของกระบี่อย่างมาก!
‘กลับมา!’
กระบี่สีเขียวหมุนตัวกลับกลางอากาศและพุ่งกลับมาหาหลิงหยุนทันที!
เมื่อมาถึงหน้าหลิงหยุน..กระบี่เหินสีเขียวก็ค่อยๆ หดเล็กลงทันที จนกระทั่งมีขนาดเท่าเข็มเล่มหนึ่งเท่านั้น และจากนั้นก็บินหายเข้าไปในปากของหลิงหยุน
เวลานี้หลิงหยุนอยู่ในระดับกลางขั้นปฐมชี่และเพราะกระบี่เหินเล่มนี้มีโลหิตของหลิงหยุน แม้เขาจะสามารถบังคับควบคุมได้ด้วยความคิด แต่เพราะเป็นวัตถุวิญญาณระดับต่ำ จึงสามารถควบคุมได้ในระยะไม่เกินสิบเมตรเท่านั้น
“ยินดีด้วยพี่หลิงหยุน!ท่านสร้างกระบี่เหินสำเร็จแล้ว!”
ไป๋เซียนเอ๋อจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความดีอกดีใจ..
หลิงหยุนพยักหน้าด้วยความพอใจ“นี่คือกระบี่เหินที่จะเป็นอาวุธสังหารอันร้ายกาจของข้า!”
“พี่หลิงหยุน..พี่ไม่ตั้งชื่อให้มันรึ”
“จริงด้วยสิ!ในเมื่อนี่เป็นกระบี่เหินเล่มแรกที่ข้าสร้างขึ้นมา กระบี่เล่มนี้นอกจากจะมีสีเขียวแล้ว มันก็ยังเคลื่อนที่ได้รวดเร็วยิ่งนัก ข้าจะเรียกมันว่าเงาธนู!”
……
หลิงหยุนกับไป๋เซียนเอ๋อกลับไปถึงบ้านเลขที่-1ในช่วงเย็น..
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้วหลิงหยุนก็เริ่มสร้างค่ายกลนวสังหารขึ้นมาใหมอีกครั้ง!
จากนั้นหลิงหยุนก็ไปยังสำนักหมอสวรรค์และจัดการส่งโอสถสำหรับชำระล้างไขกระดูกทั้ง 72 เม็ดให้ตี้เสี่ยวอู๋นำไปให้ศิษย์สำนักหมอสวรรค์ทั้ง 72 คนกิน แล้วจึงกลับไปยังบ้านเลขที่-9 เพียงลำพัง และก็ได้พบกับฉินตงเฉี่ยวที่นั่น
“เจ้าเด็กดื้อเจ้าเตรียมตัวจะไปปักกิ่งงั้นรึ”
“ถูกต้อง!ข้าเตรียมการทุกอย่างเสร็จหมดแล้ว พรุ่งนี้เย็นก็จะบินไปปักกิ่งพร้อมกับเหล่ากุ่ย..”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะตามเจ้าไปด้วย!”
“ห๊ะอะไรนะ?!”
“เจ้าเด็กดื้อ..เราตกลงกันแล้วไม่ใช่รึว่าครั้งนี้ข้าจะตามเจ้าไป และจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้า!”
……….
ในเช้าวันที่16 สิงหาคม ก่อนออกเดินทางหลิงหยุนก็ได้พาคนที่เขารักทั้งหมดในจิงฉูไปรับประทานอาหารร่วมกันที่โรงแรมไคเฉวียน
และในเวลาห้าโมงเย็น..หลิงหยุน ฉินตงเฉี่วย เกาเฉินเฉิน และโม่วู๋เตา พร้อมด้วยคณะต่างก็พากันขึ้นเครื่องบินส่วนตัวกลับไปปักกิ่ง..