TQF:บทที่ 660 ความแค้นที่ไม่มีวันจบสิ้น (2)
วิหารเก่าแก่นั้นว่างเปล่า หากมองมาจากข้างนอกก็เป็นแค่วิหารเล็กๆเท่านั้น แต่หลังจากที่เข้ามาแล้วเขาถึงพบว่าวิหารแห่งนี้เป็นเหมือนอีกโลกหนึ่งเลยก็ว่าได้ เขาเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันใหญ่ขนาดไหน
ดูไปพลางก็เข้ามาถึงส่วนที่ลึกที่สุด มีฟูกนั่งอยู่หลายผืนที่เต็มไปด้วยฝุ่นผง ราวกับที่นี่เคยเป็นสถานที่เทศนามาก่อน
ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ โม่ซวนซุนเองก็รู้ว่าโอกาสนี้หาได้ยาก เขาสงบสติอารมณ์ตัวเองและนั่งขัดสมาธิลงบนฟูก พลางเริ่มเก็บตัวฝึกฝนตามเส้นทางและวิธีการของตัวเอง
เมื่อเขาเข้าสู่ภวังค์ไปแล้ว ทั้งห้องโถงก็แตกต่างไปจากตอนแรก ถึงขั้นส่งเสียงเทศนาเต๋าออกมาช่วยให้ผู้คนตรัสรู้ได้อย่างรวดเร็ว และอยู่ในบรรยากาศที่แปลกประหลาด
และนี่ก็คือที่ความพิเศษของห้องโถงนี้ นี่คือห้องสำหรับตรัสรู้จากสมัยโบราณกาล ฝึกฝนที่นี่ 1 วันเทียบเท่ากับการฝึกฝนข้างนอก 100 วัน ผลลัพธ์ที่ได้เป็นที่น่าทึ่งมาก
โม่ซวนซุนไม่รู้ว่าที่นี่อยู่เหนือกาลเวลาข้างนอก เขาจมอยู่ในการฝึกฝนอิทธฤทธิ์ต่างๆของโถงวิหารสวรรค์
การตรัสรู้แบบนี้เป็นกระบวนการที่ทำให้เรียนรู้ความเหงา เป็นสถานการณ์ที่ผู้ฝึกฝนทุกคนต้องเผชิญ และยังเป็นกระบวนการตามหาความหวังที่ผู้ฝึกฝนทุกคนต้องเจอในการฝึกฝนอันยืนยาว
บางครั้งเขาก็ขมวดคิ้ว บางครั้งเขาก็ยิ้มแย้มโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว เพราะเขาได้เลื่อนขั้นไปยังภวังค์ที่แปลกประหลาดและลึกลับ ตรัสรู้ศาสตร์ต่างๆอย่างต่อเนื่อง
เขายังคงสรุปและทดลองต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน นัยน์ตาของเขาสว่างขึ้นเรื่อยๆ ความหยั่งรู้ก็ลึกขึ้นเรื่อยๆ เขารู้ว่าสิ่งที่เขาได้รับในครั้งนี้ยิ่งใหญ่มาก
การนี้ต้องการความเหนือชั้นของกายใจ ความสงบของจิตใจอย่างถ่องแท้ มีเพียงแต่ให้กายใจรวมเป็นหนึ่งถึงจะเกิดสภาวะที่ปราดเปรื่องที่สุด และจะทำให้เกิดความนึกคิดที่นำไปสู่การวิวัฒนาการ
ในห้องโถงที่มืดมิด ร่างของโม่ซวนซุนส่องแสงไปทั่ว แม้จะไม่สว่างมากแต่ก็ดูสงบเหมือนไฟแห่งเทวาที่ลุกโชติช่วงนำพาความหวังและความมีชีวิตชีวามาให้ในความเงียบเหงา
การตรัสรู้อย่างต่อเนื่องส่งผลให้ร่างเขาส่องแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากข้างใน อักขระเวียนวนอย่างไม่หยุดหย่อนในใจเพื่อนำทาง ละลายเข้าไปอยู่ในเลือดเนื้อ ปิดผนึกเข้าไปในกระดูก หล่อหลอมเข้าหากันด้วยแสงแห่งเทพ นี่เป็นการควบคุมที่ยากมาก การเพิ่มพูนพลังอย่างมีประสิทธิภาพและทำให้วิญญาณอิ่มเอม คนทั้งคนได้ขึ้นไปถึงจุดสุดยอดอีกจุด ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากมาก
พลังจิตของเขาก็พยายามที่จะเปลี่ยนแปลง เพลิงแห่งจิตวิญญาณได้ลุกโชติที่ตรงกลางหน้าผาก ร่างกายของเขาโปร่งแสงเหมือนกินหยกที่เปล่งประกาย หมอกควันรวมตัวเข้ากับแสงศักดิ์สิทธิ์กระจายออกเป็นประกายอันน่าทึ่งที่พุ่งสู่ฟ้า แสงต่างๆรวมเข้าด้วยกันราวกับมีรูปลักษณ์
สิ่งที่น่าตกตะลึงที่สุดคือรอบกายเขามีเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ลุกอยู่เสมือนกำลังเต้นรำ ในแต่ละกลุ่มเพลิงมีร่างเงาของเทวากำลังบูชากราบไหว้เขาอยู่
นี่เป็นภาพที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์และเพลิงศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบตัวเขาไว้ เกิดเป็นแสงสลัวๆ ทำให้ร่างนี้เป็นหนึ่งเดียวในใต้หล้าและเป็นอมตะ
กลิ่นไอที่ทรงพลังแผ่ซ่านออกมา ร่างเนื้อของโม่ซวนซุนมีไอเลือดหลั่งไหลออกมาจากทุกส่วนของผิวใสผลึก ในขณะนั้นอวัยวะภายในของเขาส่องแสง ร่างกายของเขาเจิดจรัสเป็นแสงหลากสีราวกับว่ากำลังจะโบยบินสู่ท้องฟ้า
แสงศักดิ์สิทธิ์หลั่งไหลออกมาเรื่อยๆ เกิดเสียงระเบิดขึ้นในกระดูกของโม่ซวนซุน เลือดเนื้อทั้งร่างกายสั่นไหวและส่งเสียงด้ง ราวกับเสียงศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังในการเปลี่ยนแปลงร่างของเขา
จากนั้นก็มีเสียงเทศนาเต๋าในห้องโถงที่กลายเป็นพลังบริสุทธิ์ไร้ขอบเขตพุ่งเข้าไปในร่างกายของเขา ค่อยๆเลื่อนระดับขึ้นไปทีละขั้นตอน ประเสริฐเหนือโลกีย์ รองรับได้ทุกสรรพสิ่ง เกิดเป็นแสงอันเจิดจรัส
ชั่วขณะนั้นทั้งโลกดูเหมือนจะสงบลง ทุกอย่างกลับไปอยู่ในความเงียบ เสมือนว่าเขาได้เดินทางผ่านความเวิ้งว้างของจักรวาล ผ่านโลกมานานนับล้านปี ได้เห็นประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
หลังจากนั้นก็มีกลิ่นไอออกมาจากตัวเขา มีความหอมของกลิ่นไม้จันทน์ และก็เหมือนเป็นกลิ่นหอมที่บอกไม่ถูกว่าเป็นอย่างไรฟุ้งไปทั่ว
ไม่ว่าโม่ซวนซุนจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเขาก็ยังหลับตาอยู่ เหมือนกับหลับไป แต่ก็เหมือนกับละสังขารไปแล้ว จิตวิญญาณหยวนหายไปจนหมดราวกับว่าเหลือไว้เพียงกายหยาบที่ว่างเปล่า
วันรุ่งขึ้น หญิงสาวทั้ง 2 ก็ออกมาจากมิติ
หยูเฮงน้อยส่งหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกออกไปทันที ส่วนพวกนางจะลงกับเป้าหมายไหนนั้น ก็ให้พวกนางไปหารือกันเอาเอง
แต่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้ถึงฤทธิ์เดชของหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกดี จึงกำชับพวกนางว่าอย่าทำร้ายคนอื่นโดยพลการ เว้นแต่ว่าคนเหล่านั้นจะเป็นคนไม่ดีหรือในสถานการณ์ที่ต้องปกป้องตัวเอง ถึงจะอนุญาตให้ลงมือได้ ถ้าหากทำร้ายประชาชนและผู้ฝึกฝนทั่วไปโดยไม่มีสาเหตุละก็ จะต้องได้รับการลงโทษอย่างหนัก
พวกนางล้วนเป็นสัตว์เลี้ยงที่มีพันธะสัญญาของเฉิงเสี่ยวเสี่ยว ถ้าพวกนางกล้าทำไม่ดีเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็จะรู้ได้ในทันที ดังนั้นนางจึงไม่ได้กังวลมากนักกับการส่งหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกเหล่านี้ออกไป
เมื่อเฉิงเสี่ยวเสี่ยวปรากฏตัวที่ห้องรับแขก คนที่รอมาทั้งคืนต่างมองนางด้วยความคาดหวัง
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็ไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง นอกจากท่านย่าและท่านปู่เล็กแล้ว ทุกคนต่างได้รับในส่วนของตัวเอง
เมื่อได้สิ่งที่ตัวเองเฝ้าใฝ่ฝันทุกคนตื่นเต้นกันมาก กล่าวขอบคุณเฉิงเสี่ยวเสี่ยวกันเสียยกใหญ่ รวมถึงสามีภรรยาฟางเต๋อหยวนด้วย
“ท่านปู่ทวด ท่านย่าทวด พวกท่านรีบไปเก็บตัวฝึกฝนกันเถอะ” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฟางเต๋อหยวนเก็บขวดหยกไว้พลางเอ่ย “ไม่ต้องรีบ ผ่านวันนี้ไปค่อยเก็บตัวก็ได้”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเข้าใจความหมายของเขาดี นั่นก็คือรอเจอคนของสำนักมารก่อน อย่างไรซะไม่ว่าตระกูลฟางจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็เป็นเพียงตระกูลหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถเทียบได้กับสำนักชั้น 2 อย่างสำนักมาร การปรากฏของสำนักมารจำเป็นต้องได้รับการต้อนรับจากทุกคน
“ท่านปู่ทวด มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ข้าจะบอกว่าท่านและทุกๆคนไปเก็บตัวฝึกฝน ไม่มีใครหน้าไหนสำคัญกว่าการฝึกฝนหรอก”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวหุบรอยยิ้มจางๆที่มุมปากและถามเรียบๆ “ท่านปู่ทวด ถ้าท่านบรรลุจากปรากฏเทพเทวาเป็นจักรพรรดิ์แห่งเทพล่ะ ท่านว่าถ้าตระกูลฟางของเรามีจักรพรรดิ์แห่งเทพดูแลอยู่ คนของสำนักมารจะกล้าทำอะไรเรารึเปล่า”