“คุณหนูใหญ่ จะทำอย่างไรกันดีขอรับ!”
พ่อบ้านเซี่ยงร้อนใจยิ่งนัก
อวี้เฟยเยียนเงยหน้ามองฟ้า ในใจก็ยังครุ่นคิดถึงคำพูดที่ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวออกมาเมื่อครู่
บิดาบังเกิดเกล้าของนางคืออวี้เชียนหาน มารดาของนางก็คือตี้อู่เยียนเอ๋อร์
‘นางเป็นลูกของท่านลุงรองท่านป้ารอง’
“คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่!”
เห็นอวี้เฟยเยียนเหม่อเลย พ่อบ้านเซี่ยงก็เดินไปด้านหน้า ยกมือขึ้นโบกไปมาที่เบื้องหน้าของนาง
“พ่อบ้านเซี่ยงท่านไม่ต้องกังวลใจ ข้าจะไปดูพวกเขาเอง!”
ในใจของอวี้เฟยเยียนเกิดคำถามขึ้นมากมาย ที่ต้องการจะถามอวี้จิงเหลยต่อหน้า
“ท่านอยู่รอข้าที่จวน ข้าจะไปตามท่านปู่!”
ที่ที่ซย่าโหวฉิงเทียนเลือกกว้างใหญ่ไพศาล ไร้ซึ่งผู้คน
รอจนกระทั่งอวี้จิงเหลยเท้าแตะถึงพื้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงทำมือคือคารวะในความหมายว่า ‘เชิญ’
“ท่านอาวุโสกว่าข้า ข้าจะรับท่านสามกระบวนท่า!”
ยิ่งซย่าโหวฉิงเทียนอวดดีมากเท่าไหร่ อวี้จิงเหลยก็ยิ่งโกรธเกรี้ยวมากขึ้นเท่านั้น
เจ้าหนุ่มนี่ ไม่เข้าใจการส่งสัญญาณผ่านสายตาหรืออย่างไรกัน
เหตุใดถึงได้พูดความจริงออกมาเช่นนั้น!
อวี้จิงเหลยหารู้ไม่ว่า ในฐานะที่เป็นสุนัขที่จงรักภักดีต่ออวี้เฟยเยียนอย่างที่สุด ซย่าโหวฉิงเทียนจึงไม่เคยมีเรื่องอันใดปิดบังต่ออวี้เฟยเยียนเลย ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงว่าเขาจะหลอกลวงอวี้เฟยเยียนได้
แท้จริงแล้วเรื่องนี้เขาสงสัยมานาน เพียงแต่ไม่เคยได้รับการยอมรับจากปากอวี้จิงเหลย ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเก็บเอาไว้ไม่ได้บอกกล่าวข้อสงสัยของตนให้อวี้เฟยเยียนได้รู้
มาตอนนี้อวี้จิงเหลยต้องการที่จะให้เขาเป็นผู้ร่วมขบวนการ ‘โกหก’ อวี้เฟยเยียนด้วย ซย่าโหวฉิงเทียนจึงไม่ยอมรับปาก!
“ได้! สามกระบวนท่าก็สามกระบวนท่า!”
อวี้จิงเหลยใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีออกหมัดไปที่หน้าอกของซย่าโหวฉิงเทียน ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่ได้หลบหลีก กลับยืนตัวตรงรับหมัดนั้นของเขาเต็มๆ
ปึ่ง…
อวี้จิงเหลยมั่นอกมั่นใจในพลังหมัดของตนเองหนักหนา
พลังหมัดขวาของเขาหนักหน่วงราวห้าร้อยกรัม ต่อยวัวป่าตายได้หนึ่งตัวทีเดียว ถึงแม้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะเป็นถึงจอมเทวา แต่ก็เป็นเพียงเนื้อหุ้มเกราะเท่านั้น
ครั้งแรกซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นว่าซย่าโหวฉิงเทียนนิ่งเงียบลงไปนาน อวี้จิงเหลยก็รู้สึกหัวใจกวัดแกว่งขึ้นมา
คงจะไม่ใช่ถูกต่อยจนสมองเสื่อมแล้วกระมัง!
หากเขาเกิดเป็นอะไรขึ้นมาจริง หลานสาวของเขาจะต้องไม่ยินยอมเป็นแน่!
ในขณะที่อวี้จิงเหลยกำลังเป็นกังวลอยู่นั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็ปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บริเวณหน้าอกของตนออกไปราวกับไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น เขายักไหล่เบาๆ แล้วจึงเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงราบเรียบสองคำว่า
“อ่อนหัด!”
“แคก…”
อวี้จิงเหลยได้ยินเช่นนั้นก็แทบกระอักเลือดออกมา
ดีนี่!
นึกว่าตนเองเป็นจอมเทวา ถึงได้ปากกล้าอวดดีถึงเพียงนี้สินะ!
“เจ้าหนุ่ม ปากแข็งไม่ถือว่าเป็นความสามารถหรอกนะ!”
กล่าวจบอวี้จิงเหลยก็ออกหมัดทั้งสองข้างไปที่ซย่าโหวฉิงเทียนอีกครั้ง
หมัดที่เต็มไปด้วยพละกำลังของเขาทว่าเมื่อไปสัมผัสกับถูกซย่าโหวฉิงเทียนก็นุ่มนิ่มราวกับปุยนุ่นก็ไม่ปาน สูญสิ้นพลังไปจนหมด
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
ในตอนนั้นเองอวี้จิงเหลยถึงได้ประเมินเจ้าหนุ่มตรงหน้าอย่างจริงจัง
เขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ด้วยใบหน้านั้นสามารถทำให้ผู้คนที่พบเห็นลืมเลือนลำดับของวรยุทธ์และฐานะของเขาไป
อวี้จิงเหลยดูแล้ว หากว่าซย่าโหวฉิงเทียนเป็นผู้หญิงละก็ เขาจะต้องเป็นนางมารที่นำความหายนะมาสู่ราชอาณาจักรเลยทีเดียว
“ผู้อาวุโส ท่านเหลืออีกเพียงกระบวนท่าเดียวแล้ว”
ซย่าโหวฉิงเทียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เมื่อลมพัดมา เสื้อผ้าสีม่วงของเขาก็จะปลิวไสว ลวดลายดอกหยวนเหว่ยสะบัดแกว่งรับลม มองดูแล้วสวยงามราวกับภาพวาดที่งดงามเป็นที่สุด
เพียงแต่ว่า บุคคลในภาพวาดนี้เป็นชาย จึงน่ารำคาญยิ่งนัก!
อวี้จิงเหลยสีหน้าเข้มและเงียบขรึม
ในเมื่อเขาเอ่ยวาจาสามหาวว่าจะปกป้องอวี้เฟยเยียน ข้าก็จะดูสิว่าตกลงแล้วเจ้ามีความสามารถเพียงไหนกันแน่!
เมื่อสามกระบวนท่าผ่านไป ซย่าโหวฉิงเทียนหยักยิ้มบางๆ ที่มุมปาก
“ตอนนี้ ถึงคราวข้าบ้างละ!”
เมื่อเขากล่าวจบ กระแสลมมหาศาลโหมกระหน่ำพัดมา พัดพาทุกสิ่งทุกอย่างบนพื้นปลิวว่อน ผืนทรายบนพื้นลอยละลิ่วหมุนวนกลางอากาศ ท้องฟ้าที่เดมทีสว่างสดใสกลับหายลับไปกับตา กลุ่มเมฆสีดำกำลังล่องลอยเข้ามาแทนที่ พร้อมกับสายฟ้าที่สาดลงมา
“ดีมากเจ้าหนุ่ม ไม่เลว!”
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าทำให้อวี้จิงเหลยตื่นตะลึงยิ่งนัก
เขาแน่ใจแล้วว่า ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เพียงแต่สำเร็จขั้นจอมเทวา เกรงว่าจะถึงขั้น…
อวี้จิงเหลยยังไม่ทันจะได้ใคร่ครวญพิจารณาเรื่องราวภายหลัง เพราะซย่าโหวฉิงเทียนลงมือกดอวี้จิงเหลยไว้อย่างแน่นหนา
นี่คือ….
อวี้จิงเหลยไม่เคยได้พบพลังที่มหาศาลรุนแรงเท่านี้มาก่อน
ปรมาจารย์
ไม่สิ! ความรู้สึกราวกับจะขาดใจเช่นนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจะต้องอยู่เหนือกว่าปรมาจารย์ขึ้นไป!
ในตอนนั้นเอง แววตาที่จ้องมองซย่าโหวฉิงเทียนของอวี้จิงเหลยจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เจ้าหนุ่มนี่ ปิดบังเอาไว้ลึกล้ำเหลือเกิน!
เกรงว่าแม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่รู้ระดับขั้นวรยุทธ์ที่แท้จริงของเขาด้วยซ้ำ
เหอะ…
มิน่า ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้มั่นอกมั่นใจหนักหนาจนกล้าเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมา
เพียงแต่ปลาเกล็ดทองหาใช่สัตว์ที่สมควรอยู่แต่ในน้ำไม่!
ที่นี่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่ารั้งเขาเอาไว้ไม่ได้
ซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวได้ถูกต้อง การหลบหลีกแก้ไขปัญหาไม่ได้ เพราะกระดาษอย่างไรกระดาษก็ห่อไฟเอาไว้ไม่มิด! ยิ่งอวี้เฟยเยียนสำเร็จขั้นได้รวดเร็วเท่าไหร่ก็จะยิ่งไปยืนอยู่จุดที่สูงขึ้นเท่านั้น และสักวันหนึ่งนางก็ต้องไปที่เมืองอู๋โยว ได้พบกับชาวเผ่าตัน
หากว่านี่เป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต ตอนนี้อวี้จิงเหลยก็ขอน้อมรับในโชคชะตา
“ซย่าโหวฉิงเทียน ท่านกำลังจะทำอะไร!”
เมื่ออวี้เฟยเยียนรีบเดินทางตามมา ก็เห็นอวี้จิงเหลยนอนคว่ำอยู่บนพื้นทั้งเนื้อทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยฝุ่นดิน ส่วนซย่าโหวฉิงเทียนกลับเนื้อตัวสะอาดเอี่ยมตรงกันข้ามกับอวี้จิงเหลยอย่างสิ้นเชิง
การมาของอวี้เฟยเยียนทำให้การแข่งขันในครั้งนี้ยุติลง
เมื่อเห็นสภาพของผู้เป็นปู่สะบักสะบอมเช่นนั้น อวี้เฟยเยียนก็ตวัดสายตาคมกริบจ้องมองไปที่ซย่าโหวฉิงเทียน
“ท่านปู่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”
อวี้เฟยเยียนช่วยปัดเศษฝุ่นเศษดินที่ปกคลุมตามร่างกายของอวี้จิงเหลยออก
“ท่านปู่ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนใช่ไหม”
“พี่รู้หนักเบาดี”
“ท่านหุบปากเดี๋ยวนี้นะ!” อวี้เฟยเยียนโกรธเคืองจนหน้าแดง
ท่านเป็นถึงจอมเทพอาวุโส
ท่านปู่ของข้าเป็นเพียงนักรบขั้นราชาเท่านั้นเอง!
“มีใครรังแกผู้อื่นเช่นนี้เหมือนท่านบ้าง”
ถูกอวี้เฟยเยียนตำหนิเข้าให้ ซย่าโหวฉิงเทียนถึงกับจนใจ
“แมวน้อย หากว่าพี่รักแกท่านปู่ของเจ้าจริง พี่ใช้เพียงนิ้วเดียวก็บี้เขาจนตายไปแล้ว!”
“ยังจะมามีเหตุผลอีก!”
อวี้เฟยเยียนถึงกับหมดคำพูด
นี่เขามาสู่ขอหรือมาสร้างความบาดหมางกันแน่นะ!
อย่าได้โง่เขลาเบาปัญญาถึงเพียงนี้ได้ไหมเล่า!