ท้ายที่สุด การถอนพิษของกูสือซานก็ไม่เป็นผล เขากระซิบกับไหวชิ่งกงจู่ที่เจ็บจนแทบจะสูญสิ้นสัมปชัญญะว่า “องค์หญิง พิษนี้… ราชครูไม่อาจถอนได้พ่ะย่ะค่ะ! ”
ไม่เพียงถอนไม่ได้เท่านั้น กูสือซานตรวจร่างกายไหวชิ่งกงจู่อยู่ครึ่งค่อนวัน ทว่าตรวจไม่พบสารพิษใดๆ
นี่มัน… ช่างน่ากลัวจริงๆ
แม้แต่ราชครูก็ไม่อาจถอนพิษได้?
ไหวชิ่งกงจู่เจ็บปวดและสิ้นหวัง นางกัดฟันกรอด
“ตงหลิงหวง เจ้าวางพิษอันใดข้า? เจ้า… เจ้าคิดจะทำร้ายข้าอย่างนั้นหรือ? ”
ตงหลิงหวงขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยท่าทางราวกับคนถูกปรักปรำ “ไหวชิ่งกงจู่ เจ้าต้องรับผิดชอบคำพูดด้วย คิดทำร้ายเจ้าอันใด ไม่ใช่ว่าพวกเรากำลังแข่งขันกันอยู่หรือ? ”
“ใช่… ใช่ กำลังแข่งขันกันอยู่ ทว่าเหตุใด พิษที่เจ้าวางไว้ แม้แต่ราชครูกูก็ถอนไม่ได้? ”
ทันใดนั้น สีหน้าของตงหลิงหวงก็แปรเปลี่ยนเป็นไร้เดียงสา
“โอ้… ไหวชิ่งกงจู่ เหตุใดเจ้าไม่รีบพูด? เพียง… ก่อนหน้าที่เราจะแข่งขัน หาได้มีกฎว่าข้าไม่สามารถวางยาพิษที่ราชครูกูถอนไม่ได้! ”
ไหวชิ่งกงจู่กระตุกมุมปากอย่างเจ็บปวด คำพูดของตงหลิงหวงผู้นี้ยิ่งทำให้กล้ามเนื้อมุมปากของนางกระตุกด้วยความเดือดดาล
ยามนี้ กูสือซานยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยจนแทบจะมองไม่เห็น เมื่อมองไปยังตงหลิงหวง แววตาของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม
“ตงหลิงหวง เจ้า… เจ้าวางพิษอันใดข้า? เจ้า… เจ้าต้องถอนพิษให้ข้า” ไหวชิ่งกงจู่เจ็บปวดจนทนไม่ไหวแล้ว
ทว่าตงหลิงหวงยังมีท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว นางจิบน้ำชาราวกับกำลังร่ำสุรา
“โอ้? ความหมายขององค์หญิงคือ เจ้ายอมแพ้แล้วหรือ? ”
“ยอมแพ้? ข้าจะยอมแพ้ได้อย่างไร? ”
“ในเมื่อองค์หญิงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ เช่นนั้นการแข่งขันก็ยังดำเนินต่อไป! และเนื่องจากการแข่งขันยังไม่สิ้นสุด ข้าจึงไม่สามารถถอนพิษให้เจ้าได้”
“เจ้า… เจ้าต้องการให้ข้าทรมานจนตายหรือ? ”
ต่อให้ต้องเจ็บปวดจนตาย ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับตงหลิงหวงแม้แต่น้อย!
ไหวชิ่งกงจู่กัดฟันกรอด นางนอนเกลือกกลิ้งบนพื้นหลายครั้ง ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบสาเหตุของอาการปวดท้องจนแทบทนไม่ไหว ทว่าตรวจเท่าไรก็ไม่พบ
สุดท้ายก็นอนกอดขาโต๊ะ และกระแทกศีรษะเข้ากับมัน “ราชครูกู ท่าน… ท่านพบเบาะแสอันใดหรือไม่? ”
เมื่อเห็นไหวชิ่งกงจู่เป็นเช่นนี้ ใบหน้าของกูสือซานก็แสดงถึงความทุกข์ใจ
“องค์หญิงโปรดอภัย กระหม่อม… ตรวจไม่พบสิ่งใดเลย”
“ข้าแพ้ไม่ได้… ข้าจะแพ้ได้อย่างไร! ”
ไหวชิ่งกงจู่ยังไม่หยุดโขกศีรษะกับขาโต๊ะ แต่ไหนแต่ไรมา นางไม่คิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ เพราะตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่เคยรู้สึกว่าบนโลกนี้จะมีพิษที่นางถอนไม่ได้
ความคิดที่หยั่งรากลึกถูกทำลายลงอย่างฉับพลัน มันเจ็บปวดยิ่งกว่าความเจ็บจากการโดนพิษทั้งร่างเสียอีก
“ไหวชิ่งกงจู่ เหตุใดเจ้าจึงดื้อรั้นเช่นนี้? ” ตงหลิงหวงขมวดคิ้วแน่น
เล็บอันแหลมคมและเรียวยาวของไหวชิ่งกงจู่เกาะขาโต๊ะแน่น นางกัดฟันกรอด
“ตงหลิงหวง… เจ้า… เจ้าหุบปาก! ”
“ได้ ข้าจะหุบปาก! ดูจากสภาพของเจ้า อีกสักครู่ ไหวชิ่งกงจู่ เจ้าคงเจ็บปวดจนตาย ข้าขอตัวไปนอนก่อน! ทุกท่าน ขออภัยด้วย! ”
ตงหลิงหวงพูดพลางเก็บพัดดัง ‘ขวับ’ ก่อนจะใช้มือยันหน้าผาก และงีบหลับไปจริงๆ
ไหวชิ่งกงจู่โขกศีรษะตนเองกับขาโต๊ะสามร้อยครั้ง กูสือซานและองครักษ์ของนางต่างพากันยื้อยุดอยู่หลายครั้ง ทว่าไม่สำเร็จ จึงทำได้เพียงมองนางโขกศีรษะจนหน้าผากเต็มไปด้วยเลือด
ท้ายที่สุด ไหวชิ่งกงจู่ก็ทนไม่ไหว นางปีนไปเกาะขาตงหลิงหวงเพื่อขอความเมตตา
“ตงหลิงหวง ข้า… ข้ายอมแพ้แล้ว เจ้า… เจ้ารีบถอนพิษให้ข้าเถิด! ”
“ตงหลิงหวง… ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว เจ้ารีบถอนพิษให้ข้าเถิด! ”
ตงหลิงหวงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา พลางเหยียดแขนทั้งสองข้างอย่างเกียจคร้าน
“ไหวชิ่งกงจู่ เจ้ามั่นใจแล้วหรือว่าจะยอมรับความพ่ายแพ้? ”
“ข้ายอมแพ้ ตงหลิงหวง ข้ายอมแพ้แล้ว การแข่งขันของเราในวันนี้ เจ้าคือผู้ชนะ เจ้าชนะแล้ว! รีบถอนพิษให้ข้าเถิด”
“ตกลง! ”
จากนั้น ตงหลิงหวงก็ถอนพิษให้ไหวชิ่งกงจู่
ไหวชิ่งกงจู่หาได้เป็นยอดฝีมือด้านพิษของแคว้นไหวเจียง นางเป็นเพียงผู้ที่รู้วิชาพิษเท่านั้น นางไม่เคยเห็นพิษที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน จึงต้องการจะมองชัดๆ ว่าตงหลิงหวงถอนพิษอย่างไร
รวมถึงซูจิ่นซีที่อยู่ชั้นบนด้วย
ทว่า….
ผลลัพธ์กลับทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังอย่างมาก
ตงหลิงหวงไม่ได้ทำอันใด นางเพียงให้เม็ดยาสีขาวหิมะแก่ไหวชิ่งกงจู่ หลังจากไหวชิ่งกงจู่ทานยา อาการปวดก็ทุเลาลง
หลังจากเม็ดยาสีขาวหิมะถูกนำออกมา ซูจิ่นซีใช้ระบบถอนพิษตรวจสอบทันที ทั้งนางยังตรวจพบส่วนผสมในยาเม็ดนั้น และนำส่วนผสมมาอนุมานส่วนประกอบของยาพิษ ทว่า… กลับล้มเหลว
เมื่อความเจ็บปวดบรรเทาลง เส้นผมของไหวชิ่งกงจู่ก็พันกันยุ่งเหยิง ตอนที่เจ็บปวดจนหมดหนทาง เสื้อผ้าของนางก็ขาดวิ่นเสียหลายรู
กูสือซานและองครักษ์เข้าไปพยุงไหวชิ่งกงจู่ ทว่านางกลับผลักพวกเขาออกอย่างแรง
“ข้าไม่ได้พิการ เดินเองได้”
พูดจบ ไหวชิ่งกงจู่ก็ชี้ไปที่ตงหลิงหวง “ตงหลิงหวง… เจ้า… ” เพียงคำว่า ‘เจ้า’ ออกมาจากปาก ไหวชิ่งกงจู่ก็กัดฟันแน่นและเปลี่ยนท่าที “ตงหลิงหวง ข้าจะจดจำเจ้าไว้! ”
“ออมมือแล้ว! ”
ตงหลิงหวงกางพัดออกอีกครั้ง ดัง ‘ขวับ’
ไหวชิ่งกงจู่กัดริมฝีปากตนเองแน่น และเดินออกจากประตู โดยมีองครักษ์ของนางรีบตามออกไป
อย่างไรก็ตาม ไหวชิ่งกงจู่ยังไม่ทันเดินพ้นประตู ตงหลิงหวงที่อยู่ด้านหลังก็พูดขึ้นมา ทำให้ไหวชิ่งกงจู่แทบอาเจียนออกมาเป็นเลือด
“ไหวชิ่งกงจู่ อย่าลืมเล่า เจ้าต้องเปลือยกายเข้าร่วมการแข่งขันซิ่งหลิน ห้ามใส่เสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว! ”
ไหวชิ่งกงจู่หยุดฝีเท้า ทั้งยังกัดฟันดังกึกกึก
ตงหลิงหวงพูดเสริมขึ้นมาอีกประโยค “ยังมีอีก เต่า! อย่าลืมเล่า หากวาดไม่ได้ก็มาหาข้า! ข้าจะช่วยวาดเต่าพันปีอันแสนทรงพลังให้เจ้า! ”
ไหวชิ่งกงจู่เดือดดาลจนร่างกายซวนเซ หากไม่จับขอบประตูไว้ นางคงโกรธจนล้มพับไปแล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางจึงก้าวข้ามธรณีประตูไปด้วยความยากลำบาก
กูสือซานกวาดสายตามองใบหน้าตงหลิงหวง ก่อนจะเดินตามไหวชิ่งกงจู่ไป ทว่าเดินไปได้เพียงสองก้าวก็หันกลับมา “องค์รัชทายาทตงหลิง! ”
ตงหลิงหวงหันกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ราชครูกูมีอันใดหรือ? ”
“ไม่… ไม่พ่ะย่ะค่ะ… ” กูสือซานไม่รู้เช่นกันว่า เหตุใดเขาจึงเรียกตงหลิงหวงออกไป เมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว เขาพลันรู้สึกประหม่า “วิชาพิษของพระองค์ไม่เลวจริงๆ ! ”
ใบหน้าของตงหลิงหวงแสดงออกอย่างไม่ทุกข์ร้อน นางไม่พูดอันใด นับเป็นการยอมรับอย่างเรียบเฉย
กูสือซานไม่พูดอันใดอีก และเดินตามไหวชิ่งกงจู่ออกไป
ภายในโรงน้ำชาเหลือเพียงซูจิ่นซีกับพรรคพวกที่อยู่ชั้นบน และตงหลิงหวงกับคนอื่นๆ ที่อยู่ชั้นล่าง
ตงหลิงหวงเรียกเถ้าแก่และสั่งชาที่ดีที่สุดของโรงน้ำชามาสองกา
เถ้าแก่รีบนำชามาให้
“นี่คือชาที่ดีที่สุดในร้านขอรับ”
ตงหลิงหวงเปิดฝากาน้ำชาและดมกลิ่น “ชาอันใด? ”
“นี่คือชาหงเหอ เป็นชาที่มีชื่อที่สุดในบรรดาชาดำ ในแคว้นหนานหลี มีเพียงสามร้านที่มีชานี้ ร้านข้าน้อยมีสามกา หนึ่งกาเก็บไว้ที่ตนเอง ส่วนอีกสองกาที่เหลือเป็นของท่านขอรับ”
เถ้าแก่ไม่ได้พูดโกหก ก่อนหน้านี้ที่ไหวชิ่งกงจู่กับตงหลิงหวงเรียกสถานะระหว่างกัน เถ้าแก่ผู้ฉลาดหลักแหลมก็เดาสถานะของตงหลิงหวงออก ดังนั้น ตอนนี้เขาจึงนำชาดีออกมาเพื่อเอาใจรัชทายาทตงหลิงหวง
การประจบประแจงผู้ใดเป็นพิเศษ ไม่ควรทำแบบขอไปที
ตงหลิงหวงเก็บกวาดไหวชิ่งกงจู่ นับว่าเป็นการแก้แค้นแทนเขา!
สมเหตุสมผลที่เขาจะนำชาสองกานี้มามอบให้แขกผู้มีเกียรติท่านนี้
หลังจากตรวจสอบแล้วว่าชาสองกานี้มีคุณภาพชั้นสูง ไม่มีสิ่งเจือปน นางก็ยื่นกาน้ำชาที่ยังไม่ได้เปิดฝาไปให้เถ้าแก่
“นำไปให้สหายทั้งสองท่านที่อยู่ชั้นบนให้ข้าด้วย “