เถ้าแก่คิดว่าตงหลิงหวงรู้จักกับพวกซูจิ่นซี จึงตอบรับคำและนำใบชาไปมอบให้
เรื่องราวทั้งหมด ซูจิ่นซีเห็นตั้งแต่ต้นจนจบ นางจึงไม่ปฏิเสธ และรับใบชามาเก็บไว้ ก่อนจะมองไปทางตงหลิงหวงที่อยู่ด้านล่าง
ตงหลิงหวงยกถ้วยชาขึ้นมาทักทายซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเข้าใจความหมายทันที และยกถ้วยชาของตนเองยื่นไปทางตงหลิงหวงเช่นกัน
“ฝ่าบาท กระหม่อมล่าช้า ฝ่าบาทโปรดประทานอภัย! ”
‘ตุก ตุก ตุก’ องครักษ์จำนวนหนึ่งวิ่งเข้ามาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าตงหลิงหวง
“กลับค่าย”
ตงหลิงหวงลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก
“รัชทายาทตงเฉิน! ” ซูจิ่นซีรีบยืนขึ้นและเรียกตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงหันหลังกลับมากล่าวว่า “พระชายาโยวอ๋องมีอันใดหรือ? ”
ซูจิ่นซีตกใจมาก นางไม่คิดว่าตงหลิงหวงจะคาดเดาสถานะของนางออก ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
นางกุมมือคำนับไปทางตงหลิงหวง “กระหม่อมมีเรื่องให้รัชทายาทช่วยเหลือ ทูลเชิญรัชทายาทขึ้นมาด้านบน และร่วมดื่มน้ำชาด้วยกันสักถ้วย”
“ตกลง! ” ตงหลิงหวงไม่ปฏิเสธ ทั้งยังตอบรับคำอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าเรื่องที่ซูจิ่นซีได้รับพิษจะเกี่ยวข้องกับตงหลิงหวงหรือไม่ ทว่าวันนี้นางต้องลองหยั่งเชิงตงหลิงหวงดูสักครั้ง
ตงหลิงหวงเดินขึ้นมาชั้นบน ทั้งสองหาที่นั่ง ซูอวี้พาหลินเฟิงกับพรรคพวกเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าโรงน้ำชา และทางเดินขึ้นบันไดชั้นสอง เพื่อสังเกตความเคลื่อนไหวโดยรอบ ขณะเดียวกันก็กำชับเถ้าแก่โรงน้ำชาและเสี่ยวเอ้อให้ปิดปากให้สนิท อย่าได้พูดออกไป และห้ามแพร่งพรายเรื่องที่พวกเขาได้ยินในวันนี้ทั้งหมด โดยเฉพาะสถานะพระชายาโยวอ๋องของซูจิ่นซี
“ไม่ทราบว่าพระชายาโยวอ๋องเชิญข้าขึ้นมา มีเรื่องอันใด? ”
ตงหลิงหวงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
ซูจิ่นซีก็ไม่คิดปกปิดอันใด
“เมื่อครู่เห็นรัชทายาทต่อสู้ด้านพิษกับไหวชิ่งกงจู่ คิดว่ารัชทายาทคงมีความชำนาญด้านพิษเป็นอย่างมาก ข้าขอพูดตามตรง หลายวันก่อนข้าได้รับพิษ และไม่รู้ว่าเป็นพิษชนิดใดกันแน่ จึงต้องการขอให้รัชทายาทช่วยตรวจดูสักหน่อย”
ตงหลิงหวงเลิกคิ้ว “ได้ยินมาว่าวิชาพิษของพระชายาโยวอ๋องนั้นร้ายกาจไม่ธรรมดา หรือว่าใต้หล้านี้ยังมีพิษที่พระชายาโยวอ๋องไม่สามารถถอนได้”
หลังจากซูจิ่นซีทำลายชื่อเสียงที่ว่านางเป็นคนไร้ประโยชน์ ชื่อเสียงของนางก็เลื่องลือไปหลายแว่นแคว้น
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากด้วยความละอายใจ “ขอบอกตามตรง พิษนี้ ข้าตรวจไปพบจริงๆ ”
นางพูดพลางถลกแขนเสื้อ และวางมือไว้เบื้องหน้าตงหลิงหวง
ทว่าตงหลิงหวงไม่ได้จับชีพจรเพื่อตรวจสารพิษให้ซูจิ่นซีในทันที
“ข้าได้ยินเรื่องวิชาการถอนพิษของพระชายาโยวอ๋องมาไม่น้อย หากแม้แต่พระชายาโยวอ๋องยังไม่สามารถถอนพิษได้ เกรงว่าข้าก็ไม่สามารถช่วยอันใดได้เช่นกัน”
ซูจิ่นซียังคงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย พลางพูดออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า”
“เช่นนั้นก็ย่อมได้ ข้าคงต้อง ‘กวัดแกว่งขวานด้ามใหญ่หน้าบ้านของหลู่ปาน’ [1] ขออภัยด้วย”
ตงหลิงหวงพูดพลางยื่นมือออกมาตรวจชีพจรให้ซูจิ่นซี
สายตาแหลมคมของซูจิ่นซีสังเกตการเคลื่อนไหวทุกขั้นตอนของตงหลิงหวงอย่างละเอียด อาทิ การวางนิ้ว วิธีตรวจสารพิษ เป็นต้น
ซูจิ่นซีเคยได้ยินมาว่า เชื้อพระวงศ์ตงหลิงได้ฝึกฝนด้านวิชาแพทย์เช่นกัน ดังนั้นนางจึงไม่พบความผิดปกติอันใดจากขั้นตอนการตรวจชีพจร อีกทั้งวิธีการตรวจสารพิษก็เป็นรูปแบบที่นิยมกันทั่วไป เหมือนกับวิธีการตรวจสารพิษของหมอท่านอื่น ไม่มีความผิดปกติอันใด
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีคิดว่า เพราะเหตุนี้ จึงทำให้นางรู้สึกแปลกใจและสงสัยมากยิ่งขึ้น
หากเป็นเหมือนเมื่อครู่ที่ตงหลิงแสดงฝีมือการตรวจสอบพิษ วิธีการและขั้นตอนทั้งหมดของการตรวจสอบพิษล้วนเป็นเหมือนหมอทั่วไปไม่ผิดเพี้ยน เช่นนั้น นางสามารถเอาชนะไหวชิ่งกงจู่ได้อย่างไร?
ไหวชิ่งกงจู่เป็นผู้ชำนาญด้านพิษ!
วิธีการและรูปแบบการเล่นพิษนับว่าพิสดารแปลกใหม่เหนือกว่าหมอทั่วไปหลายขั้นนัก
ทว่าซูจิ่นซีคาดไม่ถึงว่า ขณะที่นางกำลังตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับตงหลิงหวง ตงหลิงหวงกลับทำลายความคิดทั้งหมดของนางก่อนหน้านี้ และหยิบกระถางกำยานขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อ
เมื่อวางกระถางกำยานลงบนโต๊ะ มันก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดเท่ากับถ้วยน้ำแกง
“พระชายาโยวอ๋อง ข้าขอใช้เลือดของท่านสักหยดได้หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีครุ่นคิด ตงหลิงหวงต้องการเลือดของนางเพื่อนำไปทดสอบสารพิษ นางจึงไม่ปฏิเสธและพยักหน้าตอบรับ
‘ขวับ’ ตงหลิงหวงเก็บพัดในมือ
เป็นดั่งที่ซูจิ่นซีคาดไว้ เมื่อพัดปิดเข้าหากัน มันจะกลายเป็นอาวุธที่มหัศจรรย์ ที่ปลายพัดทั้งสี่ด้านมีปลายแหลมคมทุกด้าน ยกเว้นด้ามจับ ส่วนปลายสุดยังมีปลายแหลมแยกออกมาอีกหกแฉก
ตงหลิงหวงยื่นอาวุธนั้นให้ซูจิ่นซี และพูดว่า “พระชายาโยวอ๋อง เชิญ! ”
เป็นโอกาสอันดีที่จะได้สำรวจอาวุธของตงหลิงหวง ทว่าซูจิ่นซีไม่ได้รับไว้ นางหยิบห่อเข็มเงินของตนออกมาคลี่ลงบนโต๊ะ และเลือกเข็มเงินออกมาหนึ่งเล่ม จากนั้นจึงใช้เข็มเงินเจาะไปที่ปลายนิ้วของตนเอง
หากใช้มีดจะทำให้เกิดบาดแผลกว้างเกินไป ซูจิ่นซียังเป็นสตรีรักสวยรักงาม
ตงหลิงหวงเห็นท่าทางเช่นนี้จึงแย้มยิ้มเล็กน้อย ทว่าเป็นเพียงรอยยิ้มปกติทั่วไป นางเก็บอาวุธของตนเอง ก่อนจะเลื่อนกระถางกำยานไปอยู่ด้านหน้าซูจิ่นซี และเปิดฝากระถางกำยานเป็นช่องเล็กๆ
“พระชายาโยวอ๋อง หยดเลือดลงไปด้านในก็ได้แล้ว”
ซูจิ่นซีทำตามที่นางบอก และหยดเลือดลงไปสองหยด
ตงหลิงหวงเลื่อนกระถางกำยานมาอยู่ด้านหน้าตนเอง พลางมองดูการเปลี่ยนแปลงภายในกระถางกำยานอย่างละเอียด
ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เลื่อนกระถางกำยานมาด้านหน้า และอธิบายให้ซูจิ่นซีฟัง
“กระถางใบนี้มีชื่อว่ากระถางเสวียนมู่หวัง ภายในกระถางมีแมงมุมพิษที่เลี้ยงด้วยพิษเก้าสิบเก้าชนิด ตะขาบพิษที่เลี้ยงด้วยน้ำพิษนับหมื่นชนิด และคางคกน้ำแข็งที่เก็บมาจากถ้ำน้ำแข็งพันปีในเขาคุนหลุน จากนั้นจึงใช้พิษนับหมื่นชนิดหลอมรวมเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงมีประโยชน์ต่อการทดสอบพิษอย่างมาก
เพียงใส่สิ่งของที่มีพิษลงไป หลังจากที่พวกมันกลืนกินเข้าไปแล้ว สีบนร่างกายของพวกมันจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแตกต่างไปตามความรุนแรงของสารพิษ
สียิ่งอ่อนแสดงว่าพิษไม่รุนแรง หากสียิ่งเข้มแสดงว่าพิษนั้นรุนแรงมาก”
เมื่ออธิบายมาถึงตรงนี้ ก็สามารถเข้าใจได้เกือบทั้งหมด
ดังนั้น ซูจิ่นซีจึงค่อยๆ เปิดช่องฝาด้านบนกระถางกำยานออกและก้มดู เป็นจริงดั่งที่คาดไว้ ลำตัวของสัตว์พิษทั้งหมดกลายเป็นสีแดงฉาน
ในส่วนที่เป็นสีแดง บางจุดมีสีดำคล้ำ
หมายความว่าอย่างไร?
แสดงให้เห็นว่าพิษในร่างกายของซูจิ่นซีนั้นรุนแรงมาก
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเครียด นางถือกระถางไว้ในมืออยู่นานไม่ยอมคลายออก
“พระชายาโยวอ๋อง ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ความสามารถของข้ามีจำกัด ช่วยเหลือพระชายาโยวอ๋องได้เพียงเท่านี้ ส่วนวิธีการถอนพิษ… ข้าไม่ทราบว่าพระชายาโยวอ๋องได้รับพิษชนิดใด จะถอนพิษได้อย่างไร ข้าไร้ความสามารถ จนปัญญาจริงๆ ”
ซูจิ่นซีครุ่นคิด ดูเหมือนว่าครั้งนี้ นางได้พบยอดฝีมือตัวจริงเข้าแล้ว
นางเลื่อนกระถางกำยานให้ตงหลิงหวง
“ไม่เป็นไร ข้าเคยพูดไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า”
ตงหลิงหวงเก็บกระถางกำยาน “พระชายาโยวอ๋องมีจิตใจห้าวหาญเช่นนี้ หาได้ยากยิ่งนัก คนที่มีจิตใจห้าวหาญ เทพเจ้าย่อมคุ้มครอง”
ซูจิ่นซีจิบน้ำชา ภายในแววตาเผยให้เห็นความประหลาดใจ “ได้ยินมาว่า ในวัยเยาว์ องค์รัชทายาทรักการศึกษาเล่าเรียน ทั้งยังมีพรสวรรค์ตั้งแต่เล็ก พระองค์เชื่อเรื่องเทพเจ้าด้วยหรือ? ”
ไม่คิดว่าตงหลิงหวงจะตอบกลับว่า “หากไม่เชื่อ เช่นนั้น พรสวรรค์ที่ข้ามีมาแต่กำเนิด จะมาได้อย่างไร? ”
ซูจิ่นซีจิบชาพลางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ทว่าไม่พูดอันใด
ตงหลิงหวงกลับหัวเราะขึ้นมา “ข้าเพียงหยอกล้อพระชายาโยวอ๋องเท่านั้น พระชายาอย่าได้ใส่ใจเลย เชื้อพระวงศ์แคว้นตงเฉินของพวกเรา ไม่เคยเชื่อเรื่องเทพเจ้า ข้า ตงหลิงหวงยิ่งไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ เพียงในวัยเยาว์ ข้าเคยไปเยือนเขาคุนหลุนเพื่อร่ำเรียนวิชากระบี่ที่สำนักกระบี่คุนหลุนสองปี จึงได้รับแนวคิดเทวสิทธิราชย์ [2] นี้มาจากแคว้นเป่ยอี้เท่านั้น”
เรียนวิชากระบี่มาจากสำนักกระบี่คุนหลุนอีกแล้ว…
เยี่ยโยวเหยาก็เคยเรียนวิชาที่สำนักกระบี่คุนหลุนเช่นกัน ทว่าเหตุใด เยี่ยโยวเหยาจึงไม่ได้รับผลกระทบเช่นนี้?
เยี่ยโยวเหยาไม่เชื่อเรื่องตำนานเทพเจ้าแม้แต่น้อย
ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเชื่อหรือไม่ เกรงว่าเมื่อเทพเจ้ากับเขาประจันหน้ากัน ผู้ที่ต้องตกใจเป็นคนแรกคงไม่ใช่เขา แต่เป็นเทพเจ้ามากกว่า
……
เชิงอรรถ
[1] กวัดแกว่งขวานด้ามใหญ่หน้าบ้านของหลู่ปาน หลู่ปานคือปรมาจารย์ช่างไม้ของจีน สำนวนนี้สอนให้เรียนรู้ที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน และไม่แสดงทักษะของตนต่อหน้าผู้อื่น ไม่เช่นนั้น มีความเป็นไปได้ว่าจะถูกเยาะเย้ยและถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ เป็นการอุปมาว่า แสดงทักษะของตนต่อหน้าผู้ที่เชี่ยวชาญมากกว่า ดั่งสุภาษิตไทยที่ว่า สอนจระเข้ว่ายน้ำ
[2] เทวสิทธิราชย์ เป็นหลักความเชื่อทางการเมืองและทางศาสนาของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ว่า พระมหากษัตริย์ไม่ทรงอยู่ภายใต้อำนาจใดภายในโลกียวิสัย เพราะทรงเป็นผู้ที่ได้รับอำนาจโดยตรงจากพระเจ้า ดังนั้นพระมหากษัตริย์จึงไม่ทรงอยู่ภายใต้อำนาจของประชาชน ขุนนาง หรือสถาบันใดๆ ทั้งสิ้น (ทั้งนี้ ผู้ที่นับถือนิกายโปรแตสแตนท์ส่วนมากเชื่อว่า พระมหากษัตริย์ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของศาสนจักรอีกด้วย ส่วนผู้ที่นับถือนิกายคาทอลิกถือว่า พระศาสนจักรไม่ขึ้นต่อพระมหากษัตริย์) หลักความเชื่อนี้เป็นนัยว่า ความพยายามในการโค่นล้มราชบัลลังก์ หรือความพยายามในการจำกัดสิทธิของพระมหากษัตริย์เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และเป็นการขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า มีผลด้านการเมืองคือ ทำให้ประชาชนเข้าใจว่า ผู้ที่พยายามกระทำการดังกล่าวเป็นพวกนอกรีต