“เถ้าแก่ตู้ นี่คุณจงใจถ่วงเวลาอยู่รึเปล่า”
เมื่อเห็นตู้เฮิงฉุนตั้งใจจะเล่าจากประวัติความร่ำรวยของเขา เย่เทียนก็มีสีหน้าบึ้งตึง เขาเอ่ยเสียงเย็น “ผมไม่มีเวลามากมายขนาดนั้นจะมาเสียกับคุณ หรือจะให้ผมช่วยคุณ”
พอเห็นเย่เทียนมีสีหน้าเย็นเยียบขึ้น ตู้เฮิงฉุนรีบตะโกนเสียงดัง “แก๊ง แก๊งหย่งเย่กำลังวางแผนใหญ่อยู่”
“แผนอะไร” เย่เทียนกลั้นหายใจทันที
ตู้เฮิงฉุนส่ายหัวอย่างขมขื่น และพูดอย่างเหนื่อยใจ “ฉัน ฉันไม่รู้”
ที่บอกมามันต่างจากไม่บอกตรงไหนวะ?!
เย่เทียนแทบจะหยุดลมหายใจ เขาข่มความคิดที่อยากเข้าไปตบหน้าตู้เฮิงฉุนสักสองฉาดไว้ และพูดเสียงเย็น “เถ้าแก่ตู้ ทำไมผมรู้สึกว่าคุณตอบผมส่งๆล่ะ”
“ฉัน ฉันไม่รู้จริงๆ”
ตู้เฮิงฉุนส่ายหัวเล็กน้อย “เมื่อกี้ฉันได้บอกแกไปแล้วว่าฉันไม่ค่อยรู้เรื่องแก๊งหย่งเย่ บางทีต่อหน้าคนอื่นฉันอาจจะดูยิ่งใหญ่เกรียงไกร แต่ในสายตานักบู๊ ฉันเป็นเพียงมดปลวกที่จะบีบตายตอนไหนก็ได้ แกคิดว่าฉันมีสิทธิ์รู้เรื่องพวกนี้เหรอ”
“พูดต่อไป!”
เย่เทียนพยักหน้าอย่างใช้ความคิด ดูจากความรัดกุมของแก๊งหย่งเย่ ตู้เฮิงฉุนรู้ว่ามีพวกเขาอยู่ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
“เชื่อว่าแกคงเคยได้ยินเรื่องที่ลูกชายฉันโดนหักแขนหักขามาใช่มั้ย”
ตู้เฮิงฉุนเปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน พูดอย่างเศร้าใจ “ถ้าฉันเดาไม่ผิด อีกฝ่ายก็คงเป็นนักบู๊เหมือนกัน”
น่าสงสารตู้เฮิงฉุน ทั้งๆที่คนที่หักแขนหักขาตู้เคอหลินอยู่ตรงหน้าเขาแท้ๆ แต่เขากลับไม่รู้เลย
นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขารู้เพียงคนที่หักแขนหักขาตู้เคอหลินชื่อว่าเย่เทียน แต่ไม่รู้ว่าเย่เทียนหน้าตาเป็นยังไง จนบัดนี้เย่เทียนไม่เคยเปิดเผยชื่อ ตู้เฮิงฉุนจะรู้ได้ยังไง
“เถ้าแก่ตู้ คุณเปลี่ยนเรื่องพูดเร็วไปหรือเปล่า”
เย่เทียนมองตู้เฮิงฉุนด้วยสีหน้าประหลาด พูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ “อีกอย่าง นี่เป็นเรื่องของลูกชายคุณ เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่ผมอยากรู้”
“ถือว่าเกี่ยวกันเล็กน้อย!”
ตู้เฮิงฉุนยิ้มเฝื่อนๆ “เพราะลูกชายของฉันโดนหักแขนหักขา เมื่อวานฉันจึงโทรติดต่อคนของสำนักกุยอี อยากให้พวกเขามาช่วยดูลูกชายของฉันหน่อย ตอนนั้นได้ยินผ่านโทรศัพท์ลางๆว่าท่านหย่งเย่….”
ไม่รอให้ตู้เฮิงฉุนพูดจบ เย่เทียนก็รีบโบกมือขัดขึ้นก่อน ขมวดคิ้วพลางพูด “เมื่อกี้คุณว่ายังไงนะ? คุณบอกว่าหย่งเย่เป็นคน ไม่ใช่แก๊งเหรอ?”
“หา? หย่งเย่เป็นแก๊งเหรอ?”
ตู้เฮิงฉุนมองเย่เทียนอย่างตกใจ พร้อมบอกอย่างตรงไปตรงมา “เรื่องนั้นฉันไม่รู้จริงๆ เมื่อวานตอนฉันคุยโทรศัพท์กับรองเจ้าสำนักกุยอีได้ครึ่งทาง จู่ๆรองเจ้าสำนักก็ตะโกนว่าคารวะท่านหย่งเย่ แล้วสายก็ตัด”
มองสีหน้างุนงงของตู้เฮิงฉุนแล้วไม่เหมือนเสแสร้งเท่าไหร่ ส่งผลให้เย่เทียนขมวดคิ้ว
ก่อนหน้านี้เขาเชื่อเสมอว่าหย่งเย่เป็นแก๊ง แต่จากที่ตู้เฮิงฉุนพูดมา เป็นการล้มสมมติฐานก่อนหน้านี้ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
หย่งเย่เป็นคนเหรอ? หรือว่าเป็นแก๊ง?
ไม่รู้ว่าทำไม เย่เทียนเอนเอียงไปทางข้อแรกมากกว่า
ยังไงซะเมื่อกี้ตู้เฮิงฉุนก็บอกแล้วว่าเขาได้ยินรองเจ้าสำนักกุยอีตะโกนด้วยตัวเอง ถ้าเขาไม่ได้โกหก ข้อนี้มีความน่าเชื่อถือสูงกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
“อย่ามัวยืนเอ๋ออยู่สิ เล่าต่อไป!”
ความคิดผุดขึ้นในใจมากมาย แต่เย่เทียนไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า เขาเห็นตู้เฮิงฉุนเงียบไป ก็รีบเร่งเร้า
“ไม่ ไม่มีแล้ว”
ตู้เฮิงฉุนผงะ ก่อนจะหันมองเย่เทียนด้วยความระมัดระวัง และพูดเสียงเจื่อนๆ “เมื่อกี้ฉันก็บอกแกไปแล้วไง ว่าฉันไม่ค่อยรู้เรื่องหย่งเย่”
“ผม…..”
เย่เทียนโดนสวนจนสั่นไปทั้งตัว ความคิดอยากจะพุ่งเข้าไปตบหน้าเขาสักสองฉาดยิ่งรุนแรงขึ้น
คุณรู้แค่ประโยคเดียว ก็รู้ไม่มากจริงๆนั่นแหละ!
แม้จะพูดอย่างนั้น แต่อารมณ์เย่เทียนก็ดิ่งลงถึงก้นเหว แม้แต่รองเจ้าสำนักกุยอียังต้องเรียกอีกฝ่ายว่าท่านอย่างนอบน้อม เห็นได้ชัดว่าสถานะของอีกฝ่ายอยู่เหนือรองเจ้าสำนัก!
ไม่ว่ายังไง สำนักกุยอีก็เป็นการดำรงอยู่ที่ติดหนึ่งในสิบสุดสยองขวัญในโลกศิลปะการต่อสู้ คนที่เป็นถึงรองเจ้าสำนักยังไงก็ต้องอยู่ระดับฟ้า ความสามารถของอีกฝ่ายมีแต่จะยิ่งเหนือกว่า
“เมื่อกี้คุณบอกให้คนของสำนักกุยอีมาไม่ใช่เหรอ ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน”
คิดไปคิดมา เย่เทียนมีไอเดียขึ้นมาอีกอย่าง ในเมื่อตู้เฮิงฉุนรู้ไม่เยอะ ตัวเองไปหาคนของสำนักกุยอีก็ได้!
“คืนนี้ พวกเขาจะมาคืนนี้”
บอกคำเดียวคือบอก สองคำก็คือบอก เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ตู้เฮิงฉุนเหมือนจะยอมรับชะตากรรมแล้ว ไม่คิดจะปิดบังอะไรอีก
หลังจากนั้นเย่เทียนก็หลอกถามซักไซ้อีกสองสามคำถาม เมื่อมั่นใจแล้วว่าตู้เฮิงฉุนไม่รู้ข้อมูลอื่นแล้วจริงๆ เขาก็ชักจะลำบากใจ
เหตุผลที่เขาลำบากใจนั้นง่ายมาก จะทำยังไงกับตู้เฮิงฉุนดี? จะฆ่าหรือจะเก็บไว้
หากฆ่าตู้เฮิงฉุน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำตามสัญญากับฮาชิโมโตะ มินาโตะได้อย่างไม่ต้องสงสัย และรู้ที่อยู่ของคนคลั่ง และถือว่าเป็นการตอบแทนฟู่เซิ่งหนานที่ช่วยตัวเองมาตลอด
แต่ตู้เฮิงฉุนก็ยังเป็นผู้นำของตู้ซื่อกรุ๊ป ถ้าจู่ๆตายขึ้นมาต้องมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของคนมากมาย ถึงเวลานั้นเบื้องบนสืบลงมาก เขาต้องไม่รอดแน่ๆ
แต่ถ้าตู้เฮิงฉุนไม่ตาย ไม่แน่กลับไปแล้วอาจจะรายงานสำนักกุยอี เขาจะไม่สามารถแอบสืบเรื่องของหย่งเย่ในมุมมืดอีกต่อไป
ตึกตึก!
ในขณะที่เย่เทียนกำลังชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียอยู่ เสียงฝีเท้ารีบร้อนกลับดังขึ้นข้างหู เงาของคนหลายคนโผล่ออกมาจากทางเลี้ยวด้านหน้า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ดึงดูดความสนใจจากเย่เทียนและตู้เฮิงฉุนสองคนอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาเบนสายตาไปมองทั้งคู่
หลังจากเห็นหน้าคนทั้งหมดชัดเจนแล้ว สีหน้าเย่เทียนก็ประหลาดขึ้นมา
ไม่มีเหตุผลอื่น ทั้งหมดที่เดินอยู่ด้านหน้าเขารู้จักหมด
หนึ่งในสิบแพทย์มือพระกาฬของประเทศจีน หัวหน้าสมาคมแพทย์แผนจีนสาขาเจียงหวยหยูเกาหมิง รองหัวหน้าสมาคมที่พยายามฝากตัวเป็นศิษย์เขา ว่านชิงเฟิง รวมถึงแพทย์แผนจีนผู้เฒ่าที่มีโอกาสได้เจอกันครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ที่งานสัมมนาแพทย์แผนจีน
แล้วยังมีหมอในชุดกราวน์อีกไม่น้อย คิดว่าคงเป็นเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลนี้ หลังจากนั้นมี รปภ ในเครื่องแบบตามมาด้วยอีกมากมาย
กลับมามองตู้เฮิงฉุน หลังจากเห็นทุกคนก็มีความสุขสุดๆ
แต่ไม่รอให้เขาได้มีปฏิกิริยาอะไร ว่านชิงเฟิงที่เดินติดกับหยูเกาหมิงกลับส่งเสียงขึ้นมาเสียก่อน
“หมอเทวดาเย่? ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ”
ขณะที่พูด ว่านชิงเฟิงวิ่งเหยาะๆเข้ามาโดยไม่คำนึงถึงฐานะตัวเอง
หยูเกาหมิงก็ทักทายเย่เทียนอย่างสนิทชิดเชื้อ “เสี่ยวเย่ บังเอิญจัง นายก็มาเมืองจินเหรอ?”
ได้พบกับเย่เทียนที่นี่ อย่าให้พูดเลยว่าเขาดีใจมากขนาดไหน เย่เทียนเป็นคนระดับอัจฉริยะทางการแพทย์เชียวนะ ครั้งก่อนที่เจียงหนันหลอกเย่เทียนมาเมืองจินไม่ได้ทำให้เขาติดใจมาตลอด ครั้งนี้ได้เจอกันอีกเขามีความสุขมาก
ภาพที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้ทำให้ตู้เฮิงฉุนตกตะลึง เขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าหยูเกาหมิงที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในวงการแพทย์แผนจีนจะรู้จักเย่เทียน ดูจากท่าทางแล้วเกรงใจมากด้วย……