TB:บทที่ 162 การปรากฏตัวของเฉินหลง
“แข็งแกร่งเพียงไหน”
ซ่งเจิ้งและเพื่อนของเขาตะลึงงันเมื่อได้เห็นความทรงพลังของหวังเจียน
ก่อนที่หวังเจียนจะแสดงพลังออกมา ซ่งเจิ้งและพวกของเขาเคยโต้เถียงกันอยู่ว่าใครจะเป็นนายใหญ่ของคนรุ่นใหม่แห่งสี่ตระกูลเก่าแก่ได้ ตอนนี้พวกเขาเริ่มไม่แน่ใจแล้ว
แต่ไม่ว่าจะมองในมุมของพละกำลังหรือความแข็งแกร่งอันไม่อาจปราบได้ในระดับของหวังเจียนที่ทำให้อิจิโร มิยาโมโตะต้องยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว ในตอนนี้พวกเขาคงไม่อาจข้ามผ่านจุดนั้นไปได้
เช่นเดียวกับที่เมื่อได้เห็นกำลังของหวังเจียนแล้ว พวกต่างชาติก็ล้วนประหลาดใจกันอย่างมาก
แต่อย่างไรเสีย ชาวจีนกลับมองหวังเจียนด้วยสายตาชื่นชม และถึงแม้พลังของหวังเจียนจะยังไม่ถึงขั้นกำเนิดก็ตามแต่ในระดับเดียวกันนั้นเขาไร้พ่าย และถึงแม้จะเป็นระดับเดียวกันก็คงได้แค่เสมอกันเท่านั้น
ต่อจากนั้นพรรคพวกชาวต่างชาติได้เข้ามาท้าทายหวังเจียน
แต่ด้วยฝีมือเพลงดาบของหวังเจียนที่เกินจะต้านทาน ทำให้แม้จะล้อมกันสู้แต่ก็ไม่มีใครชนะหวังเจียนได้ในห้าเพลงดาบเลย
ชายชราที่ดูงดงามผู้บดขยี้หินด้วยเท้าข้างเดียว โดนหวังเจียนหักขาขวาหลังเขาใช้ดาบไปสามครั้ง ตอนแรกหวังเจียนจะตัดขาขวาเขาทิ้งแต่สุดท้ายแล้ว หวังเจียนใช้ไปเพียงด้านทื่อของมีด
ชายผิวสีที่หักท่อเหล็กกล้า แพ้ไปทันทีหลังดาบที่สอง หวังเจียนใช้เพียงด้านทื่อของมีด
ชาวอีเกิ้ลที่สู้อย่างอิสระโดนเขาทำให้สลบไปโดยใช้ด้านไม่คมของมีดก่อนที่เขาจะได้เข้าใกล้หวังเจียนเสียอีก
และชายที่ใช้ไม้เท้านั้น เขาแพ้ยับเยินทันทีและกลายเป็นตัวตลกที่กระโดดไปมา สุดท้ายแล้วเขาเสียหน้าอย่างมากและยอมรับความพ่ายแพ้ไป
…….
หลังสู้กับชาวต่างชาติเก้าคนแล้ว หวังเจียนยังยืนหยัดอยู่ในสนาม ช่วงอกเข้าขยับขึ้นลงเล็กน้อย คนต่างชาติทั้งเก้าคนที่เข้ามาสู้กับเขาในทีเดียวกินพลังเขาไปมากมายนัก
แต่ในตอนนี้ ศิลปะการต่อสู้ของประเทศจีนอันยิ่งใหญ่ในงานชุมนุมแลกเปลี่ยนทักษะนี่ ถือได้ว่ามีศักยภาพสูงสุด ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถกำราบชายจีนที่เหลืออยู่คนนั้นได้ งานชุมนุมแลกเปลี่ยนทักษะจะสรุปได้ว่าประสบความสำเร็จ
จากนั้นไม่นานคนหลายคนต่างมองไปที่ชาวจีนคนเดียวที่ยังเหลืออยู่ตรงฝั่งพรรคพวกของชาวต่างชาติ
ชายคนนั้นยิ้มและเดินไปที่สนาม เขาชอบการที่ผู้คนจ้องมองเขา
“จาง เฟิงหยาน” ชายคนนั้นชูกำปั้นไปยังหวังเจียน
“จะสู้กับมีดฉันด้วยมือเปล่าหรือ” หวังเจียนมองจางเฟิงหยานและรู้สึกโดยสัญชาตญาณได้ว่าคนตรงหน้าเขาช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก
“ถ้าจะใช้ดาบ ฉันขอไม่สู้ดีกว่า” จางเฟิงหยานกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“หวังว่านายจะไม่ตายไปซะก่อนนะ เพราะตอนนี้ฉันคุมเพลงดาบตัวเองไม่ได้เสียด้วย ถ้าฉันเผลอตัดหัวนายไปแล้วฉันจะเผาเงินกงเต๊กไปให้ในวันแรกและวันที่สิบห้าของช่วงเทศกาลนะ” หวังเจียนแตะมีดหัวผีสางในมือและกล่าวไป
“ดาบกุดหัว” ต้องใช้การควบคุมขั้นสูง ก่อนที่หวังเจียนจะตัดหัวนั้นเขาต้องใช้พลังอยู่มากตอนนี้เขาควบคุมให้หยุดดาบไม่ได้แล้ว
“ถ้านายตัดหัวฉันได้ละก็นะ ฉันจะยื่นหัวฉันให้แบบถือสองมือเลย” จางเฟิงหยานว่าอย่างมั่นใจ
ระดับของจางเฟิงหยานคือระดับกำเนิด แต่พลังของหวังเจียนยังเป็นแค่ “ผู้เชี่ยวชาญ” เท่านั้น แถมยังใช้พลังไปแล้วด้วย แน่นอนว่าจาง เฟิงหนานมั่นใจเป็นที่สุด และหากเขาบาดเจ็บในการต่อสู้ครั้งนี้ เขาคงได้ตายจริงๆ
หวังเจียนไม่พูดคุยต่ออีกแล้ว เขาพุ่งมีดไปใส่จางเฟิงหยาน
ด้วยปราศจากการควบคุมของหวังเจียน เพลงดาบของเขาคลุ้มคลั่งกว่าเก่า ทรงพลังกว่า และว่องไวกว่าเดิม
จางเฟิงหยานยังคงประดับยิ้มบนใบหน้า และก้าวออกไปด้วยการวางเท้าที่พิสดารเพื่อหลบมีดของหวังเจียน
เขาหลบการลงมีดครั้งแรกไปได้ แต่หวังเจียนเตรียมตัวแล้วว่าจะเป็นเช่นนั้น ดาบที่สองโจมตีจางเฟิงหยานต่อโดยไม่ลังเล
พลังของหวังเจียนแข็งแกร่งกว่าเมื่อเขาปลดปล่อยมัน เขาใช้เพลงดาบอย่างต่อเนื่องแบบดาบต่อดาบ ซึ่งมีความดุดันอย่างมาก
แต่การตอบโต้ของร่างกายจางเฟิงหยานว่องไวราวกับเขาเป็นกวางที่กระโดดไปมา และไม่มีทางหาร่องรอยเจอได้ มีดของหวังเจียนจึงฟันได้แต่อากาศ
“ช่างเป็นเพลงดาบที่ทรงพลัง และมีวิธีตอบโต้ที่แปลกประหลาด”
เมื่อได้เห็นการเคลื่อนไหวของร่างของจางเฟิงหยานและเพลงดาบของหวังเจียนแล้ว ทุกคนในที่นั้นอดไม่ได้ที่จะชมพวกเขาในใจ
หลังจากใช้มีดฟันไปเจ็ดพันเจ็ดร้อยสี่สิบเก้าครั้งในอึดใจเดียวแล้ว หวังเจียนก็หยุดการโจมตี ช่วงอกของเขาขยับขึ้นลงถี่ๆ
“นายเก่งนี่ ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาย” หลังยืนนิ่งได้ห้านาที หวังเจียนเปิดปากกว่าก่อน
ในตอนนี้ แม้จางเฟิงหยานทำเพียงหลบไปมาและไม่ได้ทำอะไรอื่น หวังเจียนรู้ตัวว่าเพียงโจมตีห้าครั้งจางเฟิงหยานคงล้มตัวเขาได้ และในขณะเดียวกันเขายังรู้ด้วยว่าระดับของคู่ต่อสู้เขาจะต้องไปถึงระดับกำเนิดแล้ว นี่จึงเป็นการแข่งขันที่ไม่ต้องเปรียบเทียบอะไรเลย
“ไปเถอะ” จางเฟิงหยานยิ้ม
“พ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้ ไม่มีการยอมรับใด” จบคำหวังเจียนก็ออกจากสนามไป
เมื่อหวังเจียนไปแล้วจางเฟิงหยานก้มหัวคำนับซ่งเจิ้งและกล่าวว่า “โปรดแนะนำฉันด้วย”
“นายไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้เขา พลังของเขาเป็นถึงขั้นกำเนิด” หวังเจียนเตือนซ่งเจิ้งด้วยเสียงต่ำ
ได้ยินคำของหวังเจียนเช่นนั้น ซ่งเจิ้งรู้สึกแปลกใจที่ยังเห็นจางเฟิงหยานยังยืนในสนาม เขายังหนุ่มและดูเป็นธรรมชาติ คนคนนี้เป็นใครกันแน่
เมื่อซ่งเจิ้งได้ยินคำของหวังเจียนแล้ว เขาไม่มีปฎิกิริยาใด จางเฟิงหยานเห็นดังนั้นจึงกล่าวไปว่า “ไม่มีใครเข้ามาเลยหรือ”
ตอนนั้นเองที่จางเฟิงหยานที่ได้รับภารกิจมาช่วยพวกต่างชาตินั้นกำลังจะนำชัยชนะให้พรรคพวกชาวต่างชาติ อย่างไรแล้วเขาไม่ได้สนใจอะไรในงานชุมนุมแลกเปลี่ยนนี่ แต่ครั้งนี้ไม่น่าเบื่อเท่าไร อย่างน้อยแล้วเขาก็ได้เจอคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจ
“เช่นนั้น ฉันจะลองดู”
ขณะที่ซ่งเตรียมตัวจะออกไป จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ซ่งเจิ้งหันไปมองเฉินหลงที่ใบหน้าไม่เหมือนเดิม
เมื่อเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของเฉินหลงแล้ว สีหน้าของซ่งเจิ้งเต็มไปด้วยความสับสน คนคนนี้คือใครกัน ทำไมถึงเชิญเขามาด้วย แล้วเขาพูดถึงอะไรอยู่ เขาจะลงไปสู้หรือ
ซ่งเจิ้งกำลังจะกล่าวอะไรออกไป แต่หวังเจียนขัดขึ้น “ให้เขาลอง”
เฉินหลงทำให้หวังเจียนได้รู้สึกอย่างที่จางเฟิงหยานรู้สึก คือมองตัวเขาไม่ขาด
“รู้จักเขาหรือ” ซ่งเจิ้งถาม
หวังเจียนส่ายหัว
ในตอนนี้ เฉินหลงได้เดินเข้าสนามไป
แม้ใบหน้าเขาจะไม่ได้แสดงความแข็งแกร่งแบบก่อนหน้า เพราะเขาไม่รู้สึกมั่นใจเมื่อได้อยู่บนเวทีเป็นครั้งแรก
“นายท่านคือใครกันหรือ” จางเฟิงหยานถาม
“ชื่อของฉันคือ ฉือเฮยหู” เฉินหลงกำหมัด
“พี่ชิ เชิญเลย” จางเฟิงหยานว่า
“เช่นนั้น ขอเสียมารยาท รับมือ”
สิ้นคำ เฉินหลงหยิบกระบองคู่ออกมาและร่ายรำท่าดอกไม้ เขาพุ่งเข้าหาจางเฟิงหยาน
เมื่อได้เห็นสิ่งที่เฉินหลงทำ ซ่งเจิ้งและพวกพ้องต่างไม่เต็มใจที่จะมองต่อไป กระบองคู่นี้ช่างร่ายรำได้งดงาม แต่เบื้องหลังคืออะไรกัน ล้อเล่นกันหรืออย่างไร
ชาวต่างชาติพวกนั้นก็งุนงงในตัวเฉินหลงเช่นกัน เมื่อเฉินหลงพุ่งผ่านไป เขาดูเป็นคนธรรมดาที่มีช่องโหว่เต็มไปหมด แต่เมื่อเขาร่ายรำด้วยกระบองคู่ เขากลับปิดช่องโหว่ทั่วร่างเขาได้ทั้งหมด
เช่นเดียวกับจางเฟิงหยาน เขาเห็นได้เช่นกัน และนี่ทำให้เขาต้องจริงจัง