ตอนที่ 784 ส่งตัวผู้จัดการหวงไปกักตัว / ตอนที่ 785 รับมือกับคนที่เลี่ยงไม่ได้

ตามใจรัก สาวนักแฮก

ตอนที่ 784 ส่งตัวผู้จัดการหวงไปกักตัว

 

 

เต๋อชิงรู้ได้ถึงความตึงเครียดของสถานการณ์และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ถึงแม้พระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้าไปแล้วแต่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้ายังคงอยู่ในความวุ่นวาย หมอกควันแห่งความตึงเครียดปกคลุมไปทั่ว หากเชื้อไข้หวัดใหญ่เกิดแพร่กระจายไปทั่วจริง ความลับของพวกเขาจะถูกเปิดเผย จะไม่มีใครรอดพ้นจากการถูกพิพากษาไปได้ต่อให้พวกเขาทำงานให้กับครอบครัวทรงอำนาจอย่างตระกูลเฮ่อหลานก็ตาม ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ภาวนาให้นี่เป็นเพียงไข้หวัดธรรมดาที่จะผ่านเลยไป

 

 

หลังจากวันแห่งความยุ่งวุ่นวายและรีบเร่ง ทุกคนต้องประหลาดใจเมื่ออยู่ๆ เต๋อชิงเริ่มไอ เขาถึงกับประหลาดใจกับการไอครั้งแรกของตัวเอง ราวกับภาพในการ์ตูน ทุกคนที่อยู่รอบข้างหันไปมองเขาเป็นตาเดียวและพร้อมใจกันก้าวถอยห่างออกมาจากตัวเขา

 

 

“ฉัน…” เต๋อชิงอ้าปากเพื่อเตรียมจะอธิบายแต่กลับถูกขัดด้วยอาการไอที่เพิ่มมากขึ้น

 

 

ซิงเหอออกคำสั่งทันที “ทุกคน พาผู้จัดการหวงไปกักตัวเพื่อทำการวินิจฉัยต่อไป”

 

 

“ครับ!” วูลฟ์และแซมที่สวมหน้ากากอนามัยและถุงมือซึ่งกำลังปลอมตัวเป็นบอดี้การ์ดของซิงเหอตรงเข้าไปพาตัวเต๋อชิงออกไปจากห้อง

 

 

เต๋อชิงดิ้นรนด้วยความตื่นตระหนก “ปล่อยฉันนะ ฉันไม่ได้ป่วย! ฉัน… แค่ไอ…”

 

 

ซิงเหอถูกอย่างเป็นทางการ “ผู้จัดการหวงได้โปรดให้ความร่วมมือด้วยนะคะ เราต้องไม่ปล่อยให้เชื้อไข้หวัดนี้แพร่ต่อไปอีก!”

 

 

หลังซิงเหอพูดเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ที่นั่นได้แต่หวังให้เต๋อชิงถูกพาตัวออกไปให้เร็วที่สุด พวกเขาไม่ยอมสูญเสียทุกอย่างไปเพราะคนเพียงคนเดียวต่อให้คนคนนั้นคือผู้จัดการก็ตามที ดังนั้นเต๋อชิงที่น่าสงสารจึงถูกนำตัวออกไป

 

 

ในเมื่อข่าวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นไม่อาจถูกเปิดเผยต่อสาธารณชนได้เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา บรรดาแพทย์ที่ซิงเหอพามาด้วยจึงเปลี่ยนอาคารหลังหนึ่งภายในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นศูนย์กักตัว ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้หากไม่ได้รับอนุญาต แน่นอนว่าไม่มีใครปรารถนาจะเข้าไปใกล้อยู่แล้ว

 

 

หลายห้องที่อยู่ภายในตัวอาคารแห่งนั้นถูกฆ่าเชื้อและแยกตัวออกต่างหาก มีคนคอยเฝ้าอยู่ที่หน้าห้องกักตัวทุกห้อง เพียงครู่เดียว เต๋อชิงก็ถูกพาตัวมายังห้องห้องหนึ่ง ไม่นานหลังจากนั้นศูนย์แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้คน…

 

 

เด็กหลายคนก็เป็นผู้ป่วยด้วยเช่นกัน ในตอนแรกทุกคนคิดว่าไข้หวัดนี้จะไม่น่าเป็นกังวลและกลุ่มของซิงเหอนั้นตื่นตระหนกมากไปเอง แต่กระนั้นหลังจากที่หลายคนถูกส่งตัวมากักตัว ทั้งสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็เริ่มหวาดวิตก

 

 

ที่นั่นมีคนงานกว่าสามสิบคนและมีเด็กกำพร้ามากกว่าสองร้อยคน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าทุกคนเกิดติดเชื้อ?

 

 

ผลลัพธ์จะเหมือนกัน คือพวกเขาจะถูกเปิดโปง!

 

 

เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ตระกูลเฮ่อหลานจึงให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่และขอให้ทุกคนกักตัว นั่นเป็นเพราะหากไข้หวัดนี้กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งออกไปสู่สาธารณชนแล้วละก็ ความลับของพวกเขาจะถูกเปิดเผยและตระกูลเฮ่อหลานทั้งหมดจะพังพินาศ

 

 

ดังนั้นต่อให้มีเสียงต่อต้านจากความไม่พอใจของเหล่าคนงานที่ถูกบังคับให้ต้องถูกกักตัวก็ตาม ตระกูลเฮ่อหลานก็ไม่สนใจเพราะพวกเขาต้องการให้เรื่องนี้ได้รับการแก้ไขให้เงียบที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

 

 

ซิงเหอเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของเฮ่อหลานฉี ดังนั้นเธอจึงกลายเป็นผู้นำไปโดยปริยาย ไม่มีคนในตระกูลเฮ่อหลานคนใดกล้าเข้ามาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้เพราะพวกเขากลัวว่าจะติดเชื้อไปด้วย

 

 

หลังจากจัดการกักตัวคนได้จำนวนหนึ่งแล้ว แพทย์จำนวนหนึ่งเข้ามาหาซิงเหอพร้อม ‘คำแนะนำ’ ให้แยกการกักตัวระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กออกจากกัน ซึ่งมีเหตุผลที่น่าเชื่อถืออยู่เบื้องหลังคำแนะนำนั้น เนื่องจากเด็กๆ มีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้นจึงไม่เกิดผลดีหากกักตัวเด็กๆ ร่วมกับผู้ป่วยที่เป็นผู้ใหญ่ เด็กๆ อาจติดเชื้อง่ายขึ้น ดังนั้นผู้ใหญ่และเด็กจะต้องถูกแยก

 

 

แม้คนที่ไม่แสดงอาการป่วยก็จำเป็นต้องถูกกักตัวอยู่สองวันเพื่อการเฝ้าดูอาการ

 

 

เด็กทั้งหมดถูกแยกออกไปอยู่อีกอาคารที่ตั้งแยกออกมาต่างหาก อาคารแห่งนั้นมียามรักษาความปลอดภัยคอยควบคุมอยู่มากมายและไม่อนุญาตให้ใครเข้าออกทั้งสิ้นโดยที่กลุ่มของซิงเหอเป็นข้อยกเว้น เมื่อใดก็ตามที่ซิงเหอพาคนของเธอเข้ามาเพื่อตรวจร่างกายเด็กๆ เธอตระหนักได้ว่าเด็กเหล่านั้นเชื่อฟังเป็นอย่างดี ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเพราะพวกเขาถูกเรียกมาเพื่อให้เชื่อฟังคำสั่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ต่อให้อยู่ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ พวกเขาก็ยังคงเชื่อฟังมากจนน่าปวดใจ

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 785 รับมือกับคนที่เลี่ยงไม่ได้

 

 

แต่กระนั้นกลุ่มของซิงเหอยังคงสัมผัสได้ถึงความหวาดวิตกที่ปรากฏในดวงตาของเด็กส่วนมาก แต่เพราะพวกเขาถูกสอนมาตั้งแต่ยังเด็กไม่ให้ตั้งคำถามและให้ทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น พวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยความไม่สบายใจเหล่านั้นออกมา ต่อให้กลุ่มของซิงเหอเรียกพวกเขามากินอาหารเย็น พวกเขาไม่เคยแย่งกันหรือเล่นกับอาหารเหมือนเด็กทั่วไปเลย ทุกคนต่อแถวมาลำดับและเริ่มลงมือกินราวกับมันเป็นภารกิจที่ต้องทำ

 

 

มีเด็กคนหนึ่งสำลักอาหารของเขา แต่เขากลับพยายามอย่างดีที่สุดที่จะไม่ส่งเสียงอะไรออกมา ซิงเหอสังกตเห็นและรีบเดินตรงเข้าไปหาเขาทันที เด็กชายตัวน้อยตัวแข็งทื่อทันทีที่สังเกตเห็นว่าซิงเหอกำลังเดินเข้ามาใกล้ ดวงตาแห่งความหวาดวิตกของเขาจ้องมองมาที่เธอและกลัวว่าเขาได้ทำบางอย่างผิดพลาดไป เขาไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวออกจากกรอบเขตเล็กๆ ของตัวเอง

 

 

เด็กน้อยต้องประหลาดใจเมื่อซิงเหอโน้มตัวลงมาหาเขาเพื่อยื่นขวดน้ำแร่ขวดหนึ่งให้

 

 

“จำไว้นะว่าถ้าสำลักอาหารจะต้องดื่มน้ำ โอเคไหม” เธอบอกเด็กชายด้วยเสียงนุ่ม น้ำเสียงของเธอไม่ได้อ่อนโยนเป็นพิเศษ แต่มันแผ่วเบาและนุ่มนวลราวกับขนนกสำหรับเด็กน้อย เด็กชายตัวน้อยรู้สึกอึ้งและรับขวดน้ำมาอย่างระมัดระวัง เขารีรออยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะจิบน้ำอย่างระแวง

 

 

ซิงเหอรู้ว่าเด็กๆ เหล่านี้หวาดระแวงพวกผู้ใหญ่มากแค่ไหน ดังนั้นเธอจึงไม่พูดอะไรอีก เธอลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวเดินจากไป

 

 

“จะ…” ทันใดนั้น เด็กชายเปิดปากพูด น้ำเสียงของเขาแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ แต่ซิงเหอได้ยินและหันกลับมาด้วยความสงสัย

 

 

เด็กชายสบตากับซิงเหอและหลังจากแน่ใจว่าเธอจะไม่โกรธ เขาจึงเอ่ยถามต่ออย่างระวัง “พวกเราจะตายไหมครับ”

 

 

ครั้งนี้น้ำเสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อย แต่มากพอที่จะทำให้เด็กคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ดูเหมือนเด็กๆ ทุกคนจะมีปฏิกิริยาไวต่อเสียงเป็นพิเศษ ดังนั้นคำถามของเด็กชายคนนี้จึงทำให้เด็กหลายคนหันไปจ้องมองที่ซิงเหอ

 

 

เมื่อต่อเผชิญหน้ากับดวงตาที่ว่างเปล่าและแฝงไปด้วยความหวาดกลัวหลายคู่ ซิงเหอตอบด้วยความมั่นใจ “ไม่หรอก พวกเธอทุกคนจะไม่เป็นอะไร”

 

 

เมื่อพูดจบ ซิงเหอหันหลังกลับไปโดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เธอพูดมีผลต่อเด็กๆ เหล่านั้นมากเพียงใด น้ำเสียงสงบนิ่งของเธอทำให้เด็กๆ รู้สึกถึงบางอย่างที่พวกเขาสามารถใช้ยึดเหนี่ยวได้ และนี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตของเด็กเหล่านี้ที่พวกเขาได้รับรู้ถึงความอบอุ่นและมีเมตตา

 

 

พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร พวกเขาไม่รู้จะทำความเข้าใจกับความรู้สึกอบอุ่นที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในอย่างไร พวกเขาได้แต่จ้องมองซิงเหอโดยไม่รู้ตัวในขณะที่เธอเดินห่างออกไป…

 

 

 

 

หลังการจัดเตรียมทุกอย่าง กลุ่มของซิงเหอถอนหายใจด้วยความโล่งอก แผนการของพวกเธอดำเนินไปได้อย่างราบรื่นโดยปราศจากข้อผิดพลาดหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันใดๆ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะต้องจัดการกับคนบางคนแล้ว!

 

 

ซิงเหอลุกขึ้นกลางดึกและสายตาของเธอจับจ้องไปยังศูนย์กักตัวที่ตั้งอยู่ไม่ไกล แววตาของเธอดำมืดและเยือกเย็นราวกับความมืดในยามค่ำคืน กลุ่มของอาลิที่ติดตามเธออยู่ด้านหลังเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้น “ซิงเหอ ได้เวลาลงมือแล้วใช่ไหม”

 

 

“ใช่ ไปกันเถอะ” จากนั้นซิงเหอเริ่มมุ่งหน้าไปยังศูนย์กักตัวโดยมีกลุ่มของอาลิติดตามอยู่ไม่ห่าง นอกจากพวกเธอแล้วยังมีลู่ฉีที่กำลังแบกกระเป๋ายาของเขามาด้วย เหล่าบอดี้การ์ดและแพทย์ที่อยู่ภายในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในตอนนี้ทั้งหมดถูกคัดมาโดยเฮ่อปิน พวกเขาเป็นผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ต่อเฮ่อหลานฉีและยินดีที่จะทำทุกอย่างที่เฮ่อปินสั่งโดยไม่ตั้งคำถามอะไรทั้งสิ้น

 

 

ในการนี้ เฮ่อปินมอบอำนาจในการควบคุมทั้งให้แก่ซิงเหอ กลุ่มของเธอเข้าไปในศูนย์ควบคุมได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากเต๋อชิงเป็นบุคคลพิเศษทำให้เขาได้ใช้บริเวณทั้งหมดของชั้นบนสุดของตัวอาคารและยังมีแพทย์อีกสองคนคอยเฝ้าดูอาการป่วยของเขาอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

 

 

สิ่งที่เขาไม่รู้คือทั้งศูนย์ควบคุมแห่งนี้มีเขาอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งการจัดเตรียมนี้มีไว้เพื่อให้แผนของซิงเหอง่ายขึ้น