บทที่ 603 กลับไปฝึกอีกหนึ่งร้อยป

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

เย่เทียนเดินลงมาชั้นล่างด้วยความโมโห แต่รถสีดำคนหนึ่งก็มาจอดรออยู่ที่หน้าตึกได้สักพักแล้ว

ซึ่งข้างรถจะมีชายร่างใหญ่ในชุดสูทยืนอยู่สี่คน ทันทีที่เย่เทียนเดินออกมาจากโรงแรม ทั้งสี่คนก็เดินเข้ามาขวางเย่เทียนไว้อย่างรวดเร็ว

“พวกคุณอย่ามาแตะต้องตัวผม ในเมื่อผมตัดสินใจว่าจะไป ผมก็ต้องไปอยู่แล้ว!”

เย่เทียนส่ายหัวไปมา และในใจก็รู้สึกระมัดระวังมากขึ้น เพราะทั้งสี่คนนี้ดูสุขุม ดูมีพละกำลัง และดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา

เมื่อดูไปที่เอวที่นูนออกมาของพวกเขา เกรงว่าต้องมีปืนพกติดตัวไว้แน่นอน!

ต้องเข้าใจว่าที่นี่เป็นเมืองจินที่ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศจีน แน่นอนว่าต้องมีกฎที่เข้มงวดมากกว่าเมืองอื่นๆ อยู่แล้ว แต่สี่คนนี้กลับยังพกปืนในสถานที่แบบนี้ได้ ดูก็รู้ว่าพวกเขาต้องมีเส้นสายอำนาจอย่างแน่นอน!

ตระกูลผางเหรอ?

ไม่น่าจะใช่ ก่อนหน้านี้ที่เย่หลิงยอมรับว่าตัวเขาคือคุณชายใหญ่ของตระกูลเย่ และสีหน้าท่าทางของตระกูลผางไม่ได้ดูเหมือนเสแสร้งเลย

นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ มั่นใจเลยว่าพี่น้องตระกูลผางไม่มีทางกล้ามีเรื่องกับตระกูลเย่หรอก

งั้นก็เป็นตระกูลเย่งั้นหรือ?

ความเป็นไปได้น้อยมาก หากคุณย่าอยากให้ตัวเขากลับไปคืนดีกัน การที่ใช้วิธีนี้มันอาจทำให้ต่างฝ่ายต่างเข้าใจผิดไปมากกว่าเดิม!

ถ้าคิดแบบนี้ ก็คงเหลือแค่ตระกูลตู้ที่น่าสงสัยมากที่สุด!

“ขอให้คุณเข้าใจด้วยนะครับ พวกเราไม่ได้มาขอร้องคุณ!”

แต่ว่า ก่อนที่เย่เทียนจะทบทวนได้มากกว่านี้ ชายร่างใหญ่คนหนึ่งในชุดสูทก็พูดอย่างเฉยเมยว่า “ถ้าไม่ทำตามกฎของเรา คุณอย่าหวังว่าจะได้เจอผู้หญิงของคุณอีก!”

เย่เทียนที่ได้ยินอย่างนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีพร้อมกับจ้องไปที่ชายร่างใหญ่ในเสื้อสูทด้วยสายตาที่เย็นชา “พวกคุณไม่กลัวว่าผมจะไม่ปล่อยพวกคุณกลับไปงั้นเหรอ?”

“คุณเย่ พวกผมมีเวลาให้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น!”

ชายร่างใหญ่ในชุดสูทไม่มีท่าทีที่จะกลัวเลย และพูดอย่างสีหน้าเฉยเมยว่า “ถ้าคุณจะเสียเวลากับพวกเราที่นี่ ต่อให้คุณไป มันก็จะเหลือแค่ศพเท่านั้นที่รอคุณอยู่!”

“แก!”

ใบหน้าของเย่เทียนเต็มไปด้วยความโกรธ แต่ตอนนี้จี้เยียนหรันตกอยู่ในอันตราย เขาจะวู่วามได้อย่างไงกัน?

เมื่อนึกได้อย่างนี้ เย่เทียนได้แต่ยื่นมือออกมาแล้วพูดว่า “มาสิ!”

แคร่ก!

วินาทีต่อมา หนึ่งในชายร่างใหญ่ในชุดสูทก็เอากุญแจมือออกมาล็อกแขนของเย่เทียนไว้ และชายในชุดสูทอีกคนก็เอาหมวกมาคลุมหน้าของเย่เทียนเพื่อไม่ให้เขามองเห็น ส่วนสองคนที่เหลือก็จับตัวเขาแล้วลากเข้าไปในรถด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เย่เทียนไม่อยากเสียเวลาคุยกับคนปัญญาอ่อนพวกนี้ เขาจึงเอนหลังพิงเบาะแล้วหลับไปอย่างสบายใจ

ซึ่งภาพนี้ก็ทำให้ชายร่างใหญ่ในชุดสูททั้งสี่คนต้องมองตากันและแววตาก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น

ไอ้หมอนี่มันไม่มีความกังวลสักนิดเลยเหรอ? หรือว่ายอมแพ้ไปแล้วนะ?

น่าเสียดาย เพราะผ้าสีดำที่คลุมไว้ ทำให้พวกเขาไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเย่เทียนได้ และแน่นอนว่าไม่สามารถมองเห็นความมั่นใจของเย่เทียนได้เช่นกัน

ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 20 นาที ในที่สุดรถก็ได้มาถึงที่หมาย

“ถึงแล้ว!”

ทันใดนั้น ผู้ชายที่อยู่ด้านขวาของเย่เทียนก็ดึงผ้าที่คลุมหัวออกและผลักเย่เทียนพร้อมกับพูดว่า “ลงรถ!”

เพราะไม่ได้เห็นแสงมาสักพัก เย่เทียนจึงต้องหรี่ตาลงเล็กน้อย และมองไปที่ชายร่างใหญ่ในชุดสูท แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการโกรธใดๆ

ก่อนที่จะเจอจี้เยียนหรันและมั่นใจว่าจี้เยียนหรันยังคงปลอดภัย เขาจะวู่วามไม่ได้อย่างเด็ดคาด!

เย่เทียนลงมาจากรถอย่างเงียบๆ พร้อมกับสังเกตโดยรอบไปด้วย

สิ่งที่เห็นคือบ้านสามชั้นหลังเก่าที่มีตะไคร้น้ำเกาะเต็มผนังบ้าน และไม่รู้ว่ากี่ปีแล้วที่ไม่มีคนอยู่

เย่เทียนที่ถูกชายร่างใหญ่ควบคุมตัวไว้ก็ได้แต่เดินตามพวกเขาเข้าไปในบ้านหลังนั้น

เนื่องจากเป็นบ้านหลังเก่าหลังหนึ่ง ดังนั้นทันทีที่เข้าไปก็ได้กลิ่นแปลกๆ จากในบ้าน

เย่เทียนชำเลืองมองไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่เห็นร่องรอยของจี้เยียนหรันเลย เขาจึงถามชายร่างใหญ่ในชุดสูทไปว่า “ตอนนี้ผมก็มาถึงที่นี่แล้ว แล้วเยียนหรันล่ะอยู่ไหน?”

“แกจะรีบไปทำไม? อยู่บนชั้นสอง!” ชายในชุดสูทพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ พร้อมกับชี้นิ้วไปด้านบน

“ในเมื่อผมมาถึงแล้ว งั้นพวกคุณก็ไร้ประโยชน์แล้วสินะ!”

เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ รอยยิ้มอันแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเย่เทียน

“ไอ้หนู ข้าอดทนต่อแกมามากพอแล้ว ตอนนี้แกยังอยู่ในถิ่นพวกข้า แต่แกยังกล้าปากดีอยู่แบบนี้อีกเหรอ?”

“อวดดีนัก สงสัยสะกดคำว่าตายไม่เป็น!”

“จะเสียเวลากับมันทำไม สั่งสอนมันสักหน่อยแล้วค่อยพามันขึ้นไปดีกว่า!”

ทันทีที่พูดจบ ชายร่างใหญ่ในชุดสูททั้งสี่คนก็ดุด่าขึ้นมาทันที และสายตาที่มองเย่เทียนก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้น

แต่เย่เทียนมองพวกเขาด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ และรอยยิ้มที่ดูถูกก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา

“ไอ้หนู นี่แกจะทำอะไร?!”

สิ่งนี้ทำให้หัวหน้าของชายร่างใหญ่ในชุดสูทรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติพร้อมขมวดคิ้วขึ้นมาและพูดว่า “หรือแกคิดว่า แค่แกคนเดียว จะล้มพวกข้าทั้งสี่คนได้งั้นเหรอ?”

“ล้ม?”

เย่เทียนยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้วแล้วเขย่าเบาๆ และแสยะยิ้มพูดว่า “ไม่ ไม่ ไม่ พวกคุณคิดง่ายไป”

“สิ่งที่ผมเกลียดที่สุดคือการที่คนอื่นมาดูถูกผม ถ้าผมแค่ล้มพวกคุณ มันจะไม่เอาเปรียบพวกคุณไปหน่อยเหรอ?”

“ไอ้บัดซบ! มันจะมากไปแล้วนะ! พวกเรา รุมมันทีเดียวเลย!”

หนึ่งในชายร่างใหญ่ถึงกับทนไม่ไหวและตะโกนออกมาพร้อมกับพุ่งนำเข้าไปหาเย่เทียนก่อน จากนั้นกำหมัดที่ใหญ่เท่ากระทะแล้วต่อยเข้าไปที่เย่เทียน

เย่เทียนแสยะยิ้มอย่างเย็นชา ซึ่งดูเหมือนจะช้า แต่เขากลับขยับศีรษะแล้วหลบได้อย่างรวดเร็ว

ก่อนที่ชายร่างใหญ่ในชุดสูทจะตั้งตัวได้ ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็เกิดขึ้นในตัวเขา และร่างที่สูงใหญ่ของเขาก็ลอยออกไปด้วยองศาที่สวยงามและกระแทกเข้ากับกำแพงด้านหลังอย่างรุนแรง!

พุ่ม!

เสีงกระแทกกับกำแพงดังขึ้น ชายร่างใหญ่ในชุดสูทค่อยๆ ทรุดตัวลงกับพื้น พร้อมกับหมดสติไปโดยที่ไม่มีโอกาสได้ร้องออกมาสักคำ

เมื่อเห็นอย่างนี้ สีหน้าของชายร่างใหญ่ที่เหลือก็เกิดความเปลี่ยนแปลงทันที พวกเขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนจะแข็งแกร่งขนาดนี้ สมัยนี้ดูคนที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ!

แต่ทว่าทั้งสามคนก็ไม่ใช่เด็กใหม่ที่เพิ่งฝึกหัดการต่อสู้ และเย่เทียนก็ไม่ได้ทำให้พวกกเขากลัวจนหัวหด จากนั้นพวกเขามองหน้ากันแล้วพุ่งเข้าหาเย่เทียนอย่างพร้อมเพรียง

แต่น่าเสียดาย เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง การกระทำของพวกเขาก็เป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์!

ทั้งสามคนพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ตอนถอยกลับนั้นเร็วกว่า โดยที่ไม่ถึงสิบวินาทีด้วยซ้ำ นอกจากชายร่างใหญ่ที่เป็นหัวหน้า อีกสองคนที่เหลือถึงกับล้มลงนอนกับพื้นและไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นได้อีก!

เย่เทียนยืนอยู่กับที่และชำเลืองมองไปที่ชายร่างใหญ่ในชุดสูทสามคนที่ล้มลงนอนอยู่กับพื้น จากนั้นหันมองไปที่หัวหน้าของพวกเขาและส่ายหัวพูดว่า “มีแค่นี้ยังคิดจะฆ่าผมงั้นเหรอ ต่อให้อีกร้อยปีก็ไม่มีทางทำได้หรอก!”