หัวหน้าชายร่างใหญ่ในชุดสูทมองมาที่เย่เทียนด้วยสายตาประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าสำหรับเย่เทียนแล้ว ตัวเขาเองกับพรรคพวกจะอ่อนแอขนาดนี้ ไม่สามารถต่อกรด้วยแม้แต่สิบวินาทีทุกคนก็ล้มลงกับพื้นแล้ว
เมื่อเห็นแววตาความเย็นชาของเย่เทียนที่มองเข้ามา ชายร่างใหญ่ในชุดสูทอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว
ฝีมือของเย่เทียนนั้นแข็งแกร่งมากจริงๆ ถ้าเย่เทียนเอาจริง เกรงว่าแค่หมัดเดียวก็จะส่งเขาลงไปคุยกับยมบาลได้แล้ว!
เมื่อนึกถึงการที่เย่เทียนยอมให้ความร่วมมือในการมาที่นี่ ชายในชุดสูทก็พอเดาได้ถึงความตั้งใจของเย่เทียน
ในขณะนั้น สีหน้าของชายใส่สูทก็คล้ายกับอมอุจจาระไว้ในปาก ซึ่งดูน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “ที่แกยอมมากับพวกเรา ก็เพื่อจะมาหาจี้เยียนหรันใช่ไหม?”
“ไม่อย่างนั้นล่ะ?”
เย่เทียนขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างดูถูก “พวกคุณไม่สำคัญพอที่จะให้ผมจะเสียเวลาด้วยหรอก!”
เมื่อพูดจบ เย่เทียนก็ไม่อยากเสียเวลาอีกต่อไป คนพวกนี้ก็แค่มดตัวน้อย แล้วทำไมต้องเสียเวลาอันมีค่ากับคนพวกนี้ด้วย?
ทันทีที่พูดจบ เย่เทียนขยับเท้าเบาๆ พร้อมกับพุ่งตรงไปหาชายร่างใหญ่ในชุดสูทอย่างรวดเร็ว
ชายร่างใหญ่ใส่สูทตกใจและตั้งใจจะตอบโต้กลับไป แต่ความเร็วของเขาจะเทียบกับเย่เทียนได้อย่างไง?
ในขณะที่เขามัวคิดเรื่องนี้ หมัดของเย่เทียนก็ได้ต่อยใส่เขาอย่างเต็มแรง
พุ่ม!
เสียงทุ้มดังขึ้น สีหน้าของชายร่างใหญ่ในชุดสูทกลายเป็นสีเลือดหมู และเขาถึงกับรับแรงกระแทกไม่ไหวจนถอยหลังออกไปหลายก้าว
เมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ชายร่างใหญ่ในชุดสูทรู้สึกถึงความเจ็บปวดไปทั่วร่างกายของเขา
แต่เย่เทียนไม่ให้โอกาสเขาและเตะเข้าไปอีกครั้ง
ผัวะ!
ชายร่างใหญ่ในชุดสูทถึงกับทรงตัวไม่อยู่และล้มฟาดลงกับพื้นแล้วหมดสติไปเหมือนกับสามคนก่อนหน้านี้
แต่เย่เทียนก็ยังไม่ปล่อยพวกเขาไป จากนั้นเขาเดินเข้าไปแล้วหักแขนข้างหนึ่งของพวกเขาทุกคน!
กล้ากระตุกหนวดเสือ ผลลัพธ์ก็คือความตาย!
สิ่งสำคัญของเย่เทียนนั้นก็คือคนข้างกายเขา โชคดีที่คนกลุ่มนี้เป็นคนคนทั่วไป ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้จบด้วยการหักแขนง่ายๆ แบบนี้แน่นอน!
ทำสำคัญ เย่เทียนยังทำให้พวกเขาหมดสติไปก่อน เพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกเจ็บปวดตอนที่โดนหักแขน!
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไวมาก และเสียงคนล้มลงกับพื้นก็ดังสนั่นออกไป ทำให้ดึงดูดความสนใจของคนที่อยู่ชั้นบนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เย่เทียนที่เพิ่งเดินขึ้นบันไดหลังจากจัดการกับชายร่างใหญ่ในชุดสูทสำเร็จ ชายหลายคนที่อยู่ชั้นสองก็รีบลงมาชั้นล่างทันที
เย่เทียนไม่อยากเสียเวลาพูดคุยกับพวกเขา ทันทีที่เผชิญหน้ากัน เขาก็ลงมืออย่างไม่ยั้ง
ใช้เวลาไม่นานเช่นเคย ชายทั้งหมดก็ล้มลงนอนไปตามๆ กัน พวกเขาไม่สามารถต้านขบวนท่าของเย่เทียนแม้แต่ท่าเดียวด้วยซ้ำ!
สักพักหลังจากนั้น เย่เทียนก็มาถึงล็อบบี้ชั้นสอง
ในห้องโถง จี้เยียนหรันถูกคนใช้เชือกเส้นใหญ่มัดติดไว้กับเก้าอี้พร้อมกับเอาผ้ามาปิดไว้ที่ปาก
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตอนแรกเธอกำลังจะไปหาเย่เทียนที่โรงแรม แต่ระหว่างทางเธอเห็นชายชราคนหนึ่งที่เข็นของหนักอยู่ เธอจึงตั้งใจจะเข้าไป แต่กลับโดนววางยาซะงั้น
เมื่อเธอได้สติอีกครั้ง คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอไม่ใช่ชายชราคนนั้นแล้ว แต่กลับเป็นชายร่างกำยำหลายๆ คน
แม้เธอจะเป็นตำรวจ แต่เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เธอก็ต้องกลัวเหมือนกัน แต่โชคที่เธอตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ไม่นาน เย่เทียนก็ปรากฏตัวขึ้นในการมองเห็นของเธอ
เมื่อเห็นเย่เทียนเดินเข้ามา จี้เยียนหรันก็รู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างมาก และดวงตาอันงดงามของเธอก็อดไม่ได้ที่จะขุ่นมัวและราวกับว่าเขื่อนที่พร้อมจะแตกได้ทุกเมื่อ
“ไม่ต้องร้องแล้ว ไม่ต้องร้องแล้วนะ ผมมาช่วยแล้วนี่ไง!”
เมื่อเย่เทียนที่เห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปแกะผ้าที่มัดอยู่บนปากของจี้เยียนหรันและแกะเชือกที่มัดตัวของจี้เยียนหรันไว้ทันที
“ตาบ้า! ทำไมมาช้าจัง? คุณไม่คิดว่าฉันจะกลัวบ้างเหรอ?”
ดวงตาของจี้เยียนหรันแดงเล็กน้อยพร้อมกับมองไปที่เย่เทียนสักพัก เมื่อตั้งสติได้เธอก็กำหมัดแล้วทุบไปที่หน้าอกของเย่เทียนรัวๆ
เย่เทียนเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เพราะเขาจี้เยียนหรันจะต้องเจอเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?
“พอแล้ว ตอนนนี้ปลอดภัยแล้ว หยุดร้องได้แล้ว”
เย่เทียนอดทนต่อการทุบตีของฝ่ายหญิงและยังปลอบโยนเธอด้วยคำพูดว่า “ถ้าร้องอีก คุณจะกลายเป็นหมีแพนต้า จะไม่สวยแล้วนะ”
จี้เยียนหรันที่ได้ยินแบบนี้ก็หยุดร้องไห้ทันที เธอเป็นถึงข้ารัชกาล มีประสบการณ์จากเรื่องร้ายๆ แบบนี้มาไม่น้อย และแน่นอนว่าต้องเข้มแข็งกว่าผู้หญิงทั่วไป
แต่เธอก็ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างไม่ขยับตัว พร้อมกับใช้ดวงตาที่สดในมองไปที่เย่เทียนอย่างน่าสงสาร
เย่เทียนจะไม่รู้ว่าจี้เยียนหรันกำลังหมายถึงอะไรได้อย่างไร เขาจึงส่ายหัวด้วยสีหน้าขมขื่นแล้วยื่นแขนทั้งสองข้างออกไปโอบกอดจี้เยียนหรันไว้
เมื่อปลายจมูกได้กลิ่นของเย่เทียน จี้เยียนหรันก็รู้สึกอุ่นใจและวางศีรษะลงไปในอ้อมแขนของเขาแล้วปล่อยให้เขากอดเธอไว้แน่นๆ
ผ่านไปสักพัก เย่เทียนก็อุ้มจี้เยียนหรันลงมาที่ชั้นล่างพร้อมกับเหลือบมองไปที่พวกอันธพาลที่เขาเพิ่งหักแขนขาด้วยสายตาที่เย็นชา แต่เขาไม่ได้หยุดเดินและออกจากบ้านหลังนั้นไป
แสงอาทิตย์ยามเย็นที่ส่องลงมา ทำให้เงาของบ้านร้างหลังเก่านี้ยืดยาวออกไป ซึ่งมันทำให้คนมองแล้วรู้สึกโดดเดี่ยวและรู้สึกแปลกใจอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้น เสียงแปลกประหลาดดังออกมาจากป่าข้างๆ บ้านร้าง เย่เทียนหันไปมองทันที และจู่ๆ มีเงาสีดำพุ่งออกมาจากป่าอย่างรวดเร็ว
รูม่านตาของเย่เทียนหดตัวลงทันที และรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา จากนั้นเขาได้ปาสิ่งของบางอย่างออกไปด้วยมือขวาที่กอดจี้เยียนหรันไว้
สึบ!
เข็มวิญญาณที่มองไม่เห็นที่ซึ่งบางราวกับขนวัวก็ปลิวว่อนในทันที และมันได้ปักเข้าใส่เงาสีดำนั้นอย่างแม่นยำจนทำให้มันตายคาพุ่งหญ้า!
จี้เยียนหรันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น กว่าเธอจะรู้สึกตัวจากความหวานชื่น เย่เทียนก็พาเธอขึ้นไปที่รถแล้ว
“เยียนหรัน คุณกลับคนเดียวได้ใช่ไหม?”
แต่ทว่า เย่เทียนไม่ได้ขึ้นไปบนรถแต่กลับถามจี้เยียนหรัน
“ให้ฉันกลับคนเดียว?”
จี้เยียนหรันอึ้งไปสักพัก แต่ก็ได้สติกลับมาและขมวดคิ้วขึ้น “แล้วคุณไม่กลับไปด้วยกันเหรอ?”
“ผมคงต้องอยู่จัดการเรื่องที่นี่ก่อน”
เย่เทียนส่ายหัวและยักไหล่ตอบ “อย่างน้อยผมต้องรู้ว่าใครเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้สิ?”
จี้เยียนหรันรีบยื่นมือออกไปคว้าแขนของเย่เทียนแล้วแนะนำว่า “เย่เทียน หรือว่าเราแจ้งตำรวดีกว่าไหม? ให้ตำรวจเป็นคนจัดการเรื่องนี้แทน!”
“ไม่ได้”
เย่เทียนไม่ลังเลและปฏิเสธข้อเสนอของจี้เยียนหรันทันที “ที่นี่คือเมืองจินนะ ถ้าแจ้งตำรวจคงต้องใช้เวลานานเกินไป”
“ที่ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าพรุ่งนี้ผมไปงานแข่งขันคัดเลือกของที่สายฟ้าไม่ทัน ตาแก่ถังเหวินหลงจะไม่ถือมีดมาหาผมถึงที่เหรอ?”
“นี่……”
จี้เยียนหรันคิดแล้วคิดอีก แต่เธอต้องยอมรับว่าสิ่งที่เย่เทียนพูดนั้นมีเหตุผล เธอจึงได้แต่พยักหน้าตอบ “ถ้างั้นคุณรับปากกับฉันนะว่าคุณจะไม่ฆ่าคน”
“วางใจเถอะ ผมไม่ใช่ฆาตกรปีศาจร้ายแบบนั้นนะ ผมไม่มีทางฆ่าคนบริสุทธิ์หรอก! ถ้าผมรู้ตัวคนบงการ ผมจะรีบแจ้งตำรวจ แล้วให้ตำรวจมาช่วยจัดการพวกมันแทน”
เย่เทียนยิ้มอย่างใสซื่อและยื่นมือออกไปแตะจมูกของจี้เยียนหรัน จากนั้นปิดประตูรถให้เธอ……