เมื่อได้ยินเสียงขลุ่ยและเสียงนกกระเรียน ทุกคนที่อยู่ในสนามแข่งขันแทบกลั้นลมหายใจ ทั้งยังเบิกตากว้าง และอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ราวกับการแสดงของคณะละครสัตว์ที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทุกคนเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงและมองไปในทิศทางของเสียง
พวกเขาเห็นเพียงคนผู้หนึ่ง และนกกระเรียนตัวหนึ่งบินมาจากท้องฟ้าแสนไกล
ชายในชุดขาวราวกับเทพเซียนยืนตัวตรงบนหลังนกกระเรียน คิ้วเรียวยาวดั่งภาพวาด ผมปลิวไสวตามสายลม เขาค่อยๆ เคลื่อนมาใกล้อย่างเชื่องช้า ภาพนั้นงดงามดั่งภาพวาดดอกไม้ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง
สุดท้าย เมื่อนกกระเรียนพาชายผู้นั้นร่อนลงสู่พื้น มันก็กางปีกบินจากไป หลายคนกลับมาได้สติและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
หัวหน้าทั้งสองของสำนักแพทย์เทียนอีที่นั่งอยู่บนเวทีด้านบน รีบเดินนำหน้ามาทำความเคารพบุรุษผู้นั้น
“หัวหน้าสำนักโอสถ… ”
“หัวหน้าสำนักแพทย์… ”
“คารวะท่านเจ้าสำนัก… ”
มองดูแล้ว พวกเขาทั้งสองคงมีอายุเกือบหนึ่งร้อยปี ผมขาวโพลนดั่งหิมะ ใบหน้าปรากฏความชราภาพ ทว่าพวกเขากลับคุกเข่าแสดงความเคารพต่อหน้าบุรุษผู้นั้น
บุรุษผู้นั้นไม่ได้บอกให้พวกเขาทั้งสองลุกขึ้นในทันที หลังจากเก็บขลุ่ยในมือแล้ว เขาก็มองไปรอบๆ บริเวณที่นั่งของผู้เข้าแข่งขัน
จงจิงเฉินและหนานกงหว่านเอ๋อร์รีบเดินมาข้างหน้า และคุกเข่าอยู่ด้านหลังหัวหน้าสำนักทั้งสอง
“สำนักแพทย์เทียนอี ศิษย์ลำดับที่3483 จงจิงเฉิน… ”
“สำนักแพทย์เทียนอี ศิษย์ลำดับที่3383 หนานกงหว่านเอ๋อร์… ”
“คารวะท่านเจ้าสำนัก”
แม้จะเป็นศิษย์ของสำนักแพทย์เทียนอี ทว่าจงจิงเฉินและหนานกงหว่านเอ๋อร์กลับได้พบจิ่วหรงไม่บ่อยนัก
ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็คาดไม่ถึงว่าจิ่วหรงจะปรากฏตัวในงานเช่นนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนานกงหว่านเอ๋อร์
ก่อนหน้านี้ ภายในใจของนางครุ่นคิดถึงจิ่วหรงมาตลอด เมื่อได้พบจิ่วหรงในการแข่งขันครั้งนี้จริงๆ จึงรู้สึกตื่นเต้นและตกใจมากที่สุด
ทุกคนเพิ่งตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้ว ผู้ที่มาคือคุณชายจิ่ว เจ้าสำนักแพทย์เทียนอี
อย่างไรก็ตาม แม้คำตอบจะเป็นที่แน่ชัดแล้ว ทว่าพวกเขายังคงมึนงง รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน
บรรพชนของสกุลจงซึ่งเป็นศิษย์ของสำนักแพทย์เทียนอี จงซูอี้และฮูหยินเฒ่าหาน รีบนำสมาชิกบางคนของสกุลจงขึ้นไปบนเวทีเพื่อคารวะจิ่วหรง
ผ่านไปไม่นานนัก คนจำนวนหนึ่งก็คุกเข่าลงกับพื้น ทว่าจิ่วหรงกลับไม่พูดสิ่งใด และไม่ได้บอกให้พวกเขาลุกขึ้น ทั้งยังเลื่อนสายตาไปที่ร่างของซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้า
ร่างของซูจิ่นซีแข็งทื่อไปชั่วขณะ
จิ่วหรงคงไม่พูดถึงสถานะศิษย์และอาจารย์ในตอนนี้กระมัง?
หากเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่นางวางแผนไว้ในวันนี้คงสูญเปล่า
ทันใดนั้น ซูจิ่นซีก็ลืมตาขึ้นและจงใจไม่มองจิ่วหรง
ทว่าสายตาของจิ่วหรงยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของนาง
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทุกวินาที ทุกนาที หัวใจของนางเต้นระรัว หลังจากนั้นไม่นาน หัวใจดวงน้อยก็เต้นแรงขึ้นจนแทบจะถึงคอหอยของนางแล้ว
ขณะที่ซูจิ่นซีรู้สึกว่าตนเองแทบจะหายใจไม่ออก สายตาคุกคามนั้นก็เลือนหายไป
จิ่วหรงค่อยๆ ก้าวขึ้นมาบนเวที
ผู้คนที่ตอบสนองช้า เพิ่งจะกลับมาได้สติอีกครั้ง
“ว้าว… เป็นคุณชายจิ่ว… ”
“เป็นคุณชายจิ่วจริงๆ … ”
“ไม่คิดว่าวันนี้จะได้พบคุณชายจิ่ว… ”
“ใช่ เข้าร่วมงานแข่งขันครั้งนี้ ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก ต่อให้แพ้การแข่งขัน ทว่าได้พบคุณชายจิ่วสักครั้ง ก็ไม่เสียใจแล้ว! ”
“ใช่! นับเป็นความโชคดีที่ยิ่งใหญ่! ”
มีบางคนที่พูดเกินจริง และบางคนถึงกับหมดสติลงไปนอนบนพื้นด้วยความตื่นเต้น
จงซูอี้ที่คุกเข่าอยู่อายุมากแล้ว กล่าวกันว่าเขามีวรยุทธ์สูงส่งที่สุดในอาณาจักรเทียนเหอ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจิ่วหรง กลับด้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อจิ่วหรงไม่บอกให้ทุกคนลุกขึ้น เขาก็ไม่กล้าลุกขึ้น ทว่ารีบคลานไปด้านหน้า และย้ายเก้าอี้มาให้จิ่วหรงนั่งด้วยตนเอง
เก้าอี้ซึ่งแกะสลักภาพแปดเซียนที่ต้องใช้คนถึงแปดคนยก ถูกวางตรงกลางเวทีในตำแหน่งสูงสุด จิ่วหรงนั่งลงอย่างสง่างาม เขาเหลือบมองกลุ่มคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ทว่าไม่มองใบหน้ากระตือรือร้นของจงซูอี้แม้แต่น้อย
หลังจากนั่งลงเรียบร้อยแล้ว จิ่วหรงจึงกล่าวว่า
“ทุกคนลุกขึ้นเถิด! วันนี้ข้ามาเพื่อร่วมสนุกเท่านั้น คิดเสียว่าข้าไม่ได้อยู่ด้วย พวกเจ้าดำเนินการต่อไปได้ ดำเนินการต่อไป”
เป็นไปได้อย่างไร?
คุณชายจิ่วสูงส่งถึงเพียงนี้ ไม่ว่าเขาจะไปที่ใด ย่อมทำให้ผู้คนที่นั่นดูต่ำต้อยราวกับสุนัขไร้ประโยชน์
เพียงเขานั่งอยู่ตรงนั้น อย่าว่าแต่สตรีเลย กระทั่งบุรุษหลายคนก็ไม่อาจละสายตาได้
จะให้คิดว่าเขาไม่อยู่ร่วมด้วยได้อย่างไร?
ก่อนหน้านี้ ตอนเป่ยถางเย่ ท่านอ๋องน้อยแห่งแคว้นเป่ยอี้มาถึงสนามแข่งขัน ทุกคนยังสามารถออกมาทักทายและพูดจาประจบสอพลอได้
ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจิ่วหรง พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด ในใจของพวกเขา เมื่อเทียบตนเองกับจิ่วหรงแล้ว ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว จึงทำได้เพียงคุกเข่าก้มศีรษะ
ท่ามกลางผู้คนต่ำต้อยเหล่านั้น มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าเงยหน้ามองจิ่วหรง ผู้หนึ่งคือซูจิ่นซี ผู้หนึ่งคือเป่ยถางเย่ อีกผู้หนึ่งคืออู๋จุน
อู๋จุนไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใด นอกจากแม่นางพิษน้อยของเขา ใต้หล้านี้ ไม่มีผู้ใดที่สามารถทำให้เขายอมก้มหัวให้ได้
ส่วนซูจิ่นซี ในโลกนี้ นอกจากเยี่ยโยวเหยาแล้ว นางไม่เคยหวาดกลัวผู้ใด
สำหรับเป่ยถางเย่แห่งแคว้นเป่ยอี้ ซึ่งมีเทพสวรรค์ปกป้อง เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ของแคว้นเป่ยอี้ และอ้างตนเป็นบุตรแห่งสวรรค์มาโดยตลอด ทั้งยังได้รับการสอนสั่งจากเทพสวรรค์ เมื่ออยู่ต่อหน้าจิ่วหรง เขาย่อมไม่รู้สึกต้อยต่ำแต่อย่างใด
หลังจากจิ่วหรงนั่งลงแล้ว เป่ยถางเย่จึงหันไปยิ้มให้เขา พลางประสานมือคำนับ
“คุณชายจิ่ว นับเป็นวาสนาที่ได้พบกัน! ”
จิ่วหรงมองไปที่เป่ยถางเย่ คิ้วดำขลับขมวดเล็กน้อย แววตาแสดงถึงความประหลาดใจ
“โอ้? สกุลเป่ยถางของท่านก็มาร่วมสนุกด้วยหรือ? ”
ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งสองกำลังทายปริศนาอันใดอยู่ ใบหน้าของเป่ยถางเย่ปรากฏความอึดอัด เขาหลบสายตาของจิ่วหรงในทันที และไม่พูดสิ่งใดอีก
“จงซูอี้ ดำเนินการแข่งขันต่อเถิด! ไม่ต้องสนใจข้า ทุกคนลุกขึ้นได้แล้ว! ”
“ขอรับ ขอรับ! ” จงซูอี้ก้มหน้าตอบรับอย่างรวดเร็ว
ทุกคนที่คุกเข่าอยู่ด้านล่างต่างลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง และเดินกลับไปที่นั่งของตน
จงจิงเฉินซึ่งเป็นผู้ดำเนินการแข่งขันในครั้งนี้ เดิมทีเขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แม้ตอนที่เป่ยถางเย่ปรากฏตัวก็ไม่ตื่นเต้น ทว่าตอนนี้ จิ่วหรงนั่งอยู่บนเวที ทำให้เขารู้สึกหนักใจเล็กน้อย เมื่อเดินกลับขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง ขาทั้งสองข้างของเขาพลันรู้สึกอ่อนแรง
ภายในใจของหนานกงหว่านเอ๋อร์รู้สึกสับสนอย่างมาก
หลังจากจิ่วหรงปรากฏตัว หัวใจของนางพลันกระวนกระวาย หวาดกลัว ตื่นเต้น… ความรู้สึกนั้นช่างซับซ้อน
เพียงสายตาของจิ่วหรงที่มองมาทางนางอย่างไม่ตั้งใจ นางก็รู้สึกว่า คุณชายผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นกำลังมองนางอยู่ ทันใดนั้น นางก็หายใจไม่ทั่วท้อง ทั้งยังตื่นเต้นอย่างมากจนแทบหายใจไม่ออก แก้มและลำคอแดงก่ำอย่างผิดปกติ
ผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้างหนานกงหว่านเอ๋อร์คือ ไหวชิ่งกงจู่แห่งแคว้นไหวเจียง
“คุณหนูหนานกง ท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่สบายที่ใดหรือไม่? ”
แน่นอนว่าไหวชิ่งกงจู่รับรู้สาเหตุของอาการผิดปกติของหนานกงหว่านเอ๋อร์ นางเจตนาเยาะเย้ยหนานกงหว่านเอ๋อร์
หนานกงหว่านเอ๋อร์ใบหน้าแดงระเรื่อ นางค่อยๆ เช็ดเหงื่อที่คาง ก่อนจะก้มหน้าและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีก
“ไม่มี… ไม่มีอันใด! ”
ไหวชิ่งกงจู่มองตามหางตาของหนานกงหว่านเอ๋อร์ ซึ่งไปหยุดอยู่ที่ร่างของจิ่วหรงที่นั่งในตำแหน่งสูงศักดิ์ นางยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเจ้าเล่ห์ และจงใจพูดเสียงดัง
“คุณหนูหนานกง ได้ยินมาว่าจงหยวนของเจ้า หากมีความรักชายหญิงต่ออาจารย์ถือเป็นความผิดร้ายแรง ไม่ทราบว่าความรักชายหญิงที่มีต่ออาจารย์ จะถูกลงโทษอย่างไร? ”
เสียงของไหวชิ่งกงจู่ไม่ดังพอที่จะทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ยิน ทว่าหลายคนที่อยู่รอบๆ หนานกงหว่านเอ๋อร์ กลับได้ยินอย่างชัดเจน ผู้ที่ได้ยินต่างมองหนานกงหว่านเอ๋อร์ด้วยสายตาแปลกประหลาด
หนานกงหว่านเอ๋อร์กระชากเสียงเย็นชาและลุกขึ้นยืน พลางมองไหวชิ่งกงจู่ด้วยสีหน้าขุ่นเคือง “ข้ามีที่ใด? เจ้าพูดจาไร้สาระให้น้อยลงหน่อย! ”