มาตรการป้องกัน โดย Ink Stone_Fantasy
“หึ ชักน่าสนุกแล้วสิ…” โรสเซอร์พูดเบาๆ
“เจ้าว่าอะไรนะ?” ฌอนมองมาที่เธอ “นี่มันน่าสนุกตรงไหน?”
“ข้าจะบอกพวกเจ้าก็ได้ คนธรรมดา” โรสเซอร์แสยะริมฝีปากหนาๆ ขึ้นมา “อารยธรรมใต้ดินเคยทิ้งซากโบราณสถานเอาไว้ทั่วทั้งพื้นทวีป ทาคิลาย่อมศึกษาพวกมันมาไม่น้อย แถมเจ้าสัญลักษณ์พวกนี้…” เธอเดินไปหน้าเสาหินที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายพร้อมกับปัดฝุ่นที่เกาะอยู่บนนั้นออก “ก็ไม่ใช่อักษรที่พวกมันใช้ แล้วก็ไม่ใช่ตัวหนังสือของสมาพันธ์ด้วย เมื่อคิดถึงประวัติศาสตร์ในอดีตของสี่อาณาจักรใหญ่แล้ว เจ้าไม่คิดว่ามันน่าสนใจหรอกเหรอ?”
อาซีม่าพบว่าตัวเองฟังไม่เข้าใจเลย ถึงแม้ความหมายของคำศัพท์แต่ละคำจะเข้าใจได้อย่างชัดเจน แต่พอจับพวกมันมารวมกัน เธอกลับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงอะไร แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกดีหน่อยก็คือสีหน้าของมาลที่เกิดในตระกูลขุนนางกับนาฟที่เป็นคนนำทางนั้นก็ดูสับสนไม่ได้แพ้ตนเลย
ส่วนฌอนนั้นกลับทำสีหน้าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
“ข้าเคยได้ยินฝ่าบาทตรัสว่าเมื่อก่อนสี่อาณาจักรใหญ่นั้นเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่อยู่กันอย่างกระจัดกระจาย เป็นแค่เพียงมุมเล็กๆ มุมหนึ่งของพื้นทวีปเท่านั้น จริงๆ ประวัติศาสตร์ที่ว่าก็คือการที่ไม่มีประวัติศาสตร์ ถ้าโบราณสถานแห่งนี้คือสิ่งที่อารยธรรมทิ้งเอาไว้ระหว่างสงครามแห่งโชคชะตา อย่างนั้นมันก็หมายความว่า…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาพลันตกตะลึงไปทันที
“ที่ตรงนี้เคยมีเผ่าพันธุ์ที่พวกเราไม่รู้จักอยู่อาศัยมาก่อน?”
“ยังไม่อาจสรุปเช่นนั้นได้” โรสเซอร์พูดอย่างตื่นเต้น “บางทีอารยธรรมใต้ดินอาจจะมีการแบ่งเป็นเผ่าพันธุ์ย่อยออกมา แล้วสร้างภาษาที่ไม่เหมือนกันออกมาก็ได้ นี่คือตัวแปรที่ยังไม่อาจรู้ได้ มีแต่ต้องเข้าไปดูข้างในถึงจะได้ข้อมูลมากกว่านี้”
“ท่านฌอน ตรงนี้เหมือนจะมีแผ่นหินอยู่แผ่นหนึ่งขอรับ” ทหารที่กำลังสำรวจดูประตูหินพลันตะโกนขึ้นมา “ข้างบนเหมือนจะมีตัวหนังสือของพวกเราเขียนอยู่ขอรับ”
ทุกคนเดินเข้าไปทันที
จากนั้นทุกคนจึงเห็นหินแกรนิตก้อนหนึ่งนอนอยู่ในพงหญ้า ด้านบนก้อนหินเต็มไปด้วยคราบตะไคร่ มีแต่มุมด้านหนึ่งที่มีร่องรอยว่ามันถูกสลักเอาไว้ ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็ยากที่จะมองเห็นมันได้ ทหารใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะทำความสะอาดมันเสร็จเรียบร้อย จากนั้นตัวหนังสือบนก้อนหินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคน
‘สถานที่นี้ต้องสาปจากพระเจ้า ถ้าเข้าไปต้องตาย’
หลังได้เห็นคำเตือนบนแผ่นหิน นาฟรู้สึกตกใจทันที
“หรือ หรือว่านี่คือ…วิหารต้อง…วิหารต้องสาปที่เล่าลือกัน?” เขาถอยหลังไปสองเก้าพร้อมพูดติดอ่าง
ฌอนกับแม่มดอาญาสิทธิ์สบตากัน “เจ้ารู้ประวัติของมันเหรอ?”
“ข้าเองก็ฟังคนอื่นเล่ามา นั่นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน….” นาฟจ้องไปยังปากประตูที่ดำมืด ก่อนจะกลืนน้ำลายดังอึก “อย่างที่ข้าเล่าให้ฟังว่าเจ้าเมืองในพื้นที่ตอนนั้นได้เกณฑ์คนไปทำกับดักเพื่อกันไม่ให้คนจากอาณาจักรวูล์ฟฮาร์ทข้ามเขาเคจเมาเธ่นมา ว่ากันว่าตอนนั้นมีกองกำลังที่มีอัศวินเป็นผู้นำได้ออกไปปฏิบัติภารกิจ ในระหว่างที่ทำภารกิจได้เจอกับฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ดังนั้นอัศวินจึงออกคำสั่งให้หาที่หลบฝน ผลก็คือไปพบกับวิหารประหลาดแห่งหนึ่งเข้า”
“โอ้?” โรสเซอร์เลิกคิ้วขึ้นมา “หลังพวกเขาเข้าไปก็พบของมีค่าที่อยู่ด้านหลัง เหล่าชาวบ้านเกิดความละโมบจึงขโมยของมีค่าออกมา แต่กลับต้องเจอกับคำสาปของพระเจ้า จนสุดท้ายก็ตายลงอย่างน่าอนาถทีละคนใช่ไหม?”
“ท่าน ท่านก็เคยได้ยินเรื่องนี้เหรอขอรับ?” นาฟพูดอย่างตกใจ
“หึหึ” โรสเซอร์หัวเราะขึ้นมา “คนธรรมดานี่ไม่เคยพัฒนาไปไหนเลย เมื่อหลายร้อยปีก่อนใช้ลูกไม้นี้ ถึงตอนนี้ก็ยังใช้ลูกไม้เดิมๆ อยู่ ข้ากล้าพนันเลยว่าเจ้าเมืองเป็นคนสร้างข่าวลือนี้ขึ้นมา เพื่อที่เขาจะได้ฮุบเอาสมบัติที่อยู่ข้างในไปคนเดียว ส่วนแมลงที่น่าสงสารเหล่านั้นก็ถูกฆ่าปิดปากไปทีละคน”
“แต่…พวกเขาไม่ได้ตายทันทีนะขอรับ”
“อะไรนะ?” โรสเซอร์ขมวดคิ้วขึ้นมา
คนนำทางหดคอลงก่อนจะตอบออกมาอย่างระมัดระวัง “น่าจะผ่านไปประมาณ 10 ปี พวกเขาถึงจะค่อยๆ ตายกันไป อัศวินคนนั้นก็ตายเหมือนกัน ว่ากันว่าตอนที่พวกเขาตายนั้นทุกข์ทรมานอย่างมาก แม้แต่ผิวหนังบนใบหน้าก็หลุดลอกออกมา เผยให้เห็นเนื้อเละๆ ที่อยู่ด้านล่างผิวหนัง ดูแล้วน่าหวาดกลัวอย่างมาก ซึ่งนี่ก็เป็นที่มาของข่าวลือเรื่องคำสาป และเพื่อที่จะไม่ให้ข่าวลือแพร่ออกไปภายนอก เจ้าเมืองจึงห้ามไม่ให้ใครเข้าไปใกล้พื้นที่นั้นเด็ดขาด ดังนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าวิหารแห่งนั้นตั้งอยู่ที่ไหน”
“เจ้ามั่นใจ?” โรสเซอร์เดินเข้าไปหานาฟ พร้อมกับเอามือไปวางไว้บนไหล่ของอีกฝ่าย
เมื่อเห็นแขนที่มีขนาดใหญ่กว่าต้นขาของตัวเอง ใบหน้าของคนนำทางก็ขาวซีดขึ้นมากกว่าเดิม “ข้าก็ได้ยินมาจากในร้านเหล่านั่นแหละขอรับ ข้ารับรองว่าไม่ได้พูดโกหก! นายท่าน หากท่านไม่เชื่อ ท่านก็ลองไปถามคนอื่นดูก็ได้ ถ้ามีปัญหาอะไรล่ะก็ อย่างนั้นมันก็ต้องเป็นตัวข่าวลือที่มีปัญหาขอรับ!”
ถ้าผ่านไปนานขนาดนี้แล้วถึงตาย อย่างนั้นคำพูดที่ว่าฆ่าปิดปากก็ไม่อาจใช้ได้อีก อาซีม่าครุ่นคิด ถ้าอัศวินกับเจ้าเมืองจะร่วมมือกันฆ่าพวกชาวบ้าน มันก็ยังถือเป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยๆ แต่การที่กำจัดอัศวินทิ้งนั้นมันเป็นคนละเรื่องกัน อีกฝ่ายนั้นเป็นขุนนาง ต่อให้ตระกูลจะเล็กแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะลงโทษประหารใครได้ตามอำเภอใจโดยไม่ไต่สวนได้
หรือว่า….มันจะเป็นคำสาปของพระเจ้าจริงๆ?
“เอ่อ ถ้าไง…พวกเรากลับไปที่หมู่บ้านก่อนไหม เอาไว้สอบถามข้อมูลได้มากกว่านี้แล้วค่อยลงมือ?” มาล โทคันเสนอความคิดขึ้นมา
“แล้วค่อยลงมือ?” นาฟมองไปทางฌอนอย่างไม่อยากจะเชื่อ “หรือว่าพวกท่านตั้งใจจะมาหาวิหารต้องสาปนั้นแต่แรกแล้ว?”
“ไม่ใช่แบบนั้น แต่สิ่งที่พวกข้ากำลังตามหามันดันอยู่ในนั้นพอดี” โรสเซอร์ปล่อยนาฟ “ว่ายังไง? ในฐานะที่เป็นทหารที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัย ข้าคิดว่าท่านคงจะไม่หนีไปตอนนี้ใช่ไหม?”
“ไม่มีทางแน่นอน” ฌอนตอบอย่างสุขุม “ทำภารกิจที่ฝ่าบาททรงมอบหมายมาให้สำเร็จคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ตอนนี้เป้าหมายอยู่ตรงหน้าแล้ว ข้าย่อมไม่มีเหตุผลให้ถอยหลังกลับอีก”
“ดีมาก อย่างนั้นพวกเราก็เข้าไปดี ‘พระเจ้า’ ที่ว่ากัน” โรสเซอร์แสยะยิ้มออกมา
“แต่จะเข้าไปโดยไม่ป้องกันไม่ได้” ฌอนส่ายหัว “ความจริงฝ่าบาทเองก็ตรัสเอาไว้แล้วว่าตอนที่เข้าใจแหล่งกำเนิด เราอาจจะเจออันตรายได้”
“แม้แต่เรื่องนี้พระองค์ก็ทรงคาดการณ์เอาไว้เหรอ?”
“ถูกต้อง” ฌอนหันหน้ากลับไปพูดกับอาซีม่า “หลังเจ้าออกไปในคืนนั้น ฝ่าบาทสั่งกำชับเรื่องบางเรื่องกับข้าเป็นการส่วนตัว พระองค์ตรัสว่าพวกเราอาจจะเจอกับความเป็นไปได้สองสถานการณ์ ความเป็นไปได้หนึ่งคือแหล่งกำเนิดอยู่เหนือพื้นดิน หากเป็นแบบนั้นพวกเราก็ไม่ต้องทำอะไร แค่ปิดล้อมพื้นที่แล้วกลับไปรายงานที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ก็พอ ส่วนความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งคือแหล่งกำเนิดอยู่ในถ้ำใต้ดิน ถ้ำยิ่งลึก โอกาสในการเกิดอันตรายก็ยิ่งสูง ด้วยเหตุนี้ถ้าเจอกับเหตุการณ์ที่สอง สิ่งแรกที่พวกเราต้องทำคือทำการป้องกัน ถึงแม้ที่นี่จะไม่ใช่ถ้ำ แต่มันก็มีความคล้ายคลึงกัน”
พูดจบเขาก็ดีดนิ้วเรียกทหาร “เอาของออกมา”
ทหารสองคนปลดสัมภาระลงมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะล้วงเอาเสื้อคลุมยาวสีขาวออกมา 5 ชุด
โรสเซอรืคุกเข่าลงไปพลิกดูชุดอย่างอยากรู้อยากเห็น “นี่มันเสื้อหนังธรรมดาๆ ไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าใส่หน้ากากเข้าไปด้วยก็ไม่ธรรมดาแล้ว” ฌอนหยิบชุดขึ้นมาชุดหนึ่ง แล้วเอาตัวเองใส่เข้าไปในชุด อาซีม่าพบว่าชุดหนังที่ว่าเป็นชุดที่ท่อนบนท่องล่างเชื่อมต่อกันเป็นชุดเดียว แม้แต่กระดุมซักเม็ดก็ไม่มี แทนที่จะบอกว่ามันเป็นเสื้อผ้า ควรจะบอกว่ามันเป็นถุงที่ตัดขึ้นมาเป็นรูปคนมากกว่า หลังสวมเสร็จเรียบร้อยก็เหลือเพียงแค่ใบหน้าที่โผล่ออกมาด้านนอก ทั้งมือและเท้าล้วนแต่ถูกหุ้มเอาไว้จนหมด รูปร่างดูแปลกประหลาดอย่างมาก
จากนั้นเขาก็เอาหน้ากากโปร่งใสมาสวมเข้าไป ส่วนตรงหน้ากากก็มีกระป๋องเหล็กขนาดประมาณกำปั้นติดเอาไว้อยู่ ดูแล้วเหมือนกับจมูกหมูไม่มีผิด
“เข้าไปข้างใน 5 คน คนที่เหลือเฝ้าอยู่ด้านนอก” ฌอนพูดเสียงอู้อี้ออกมาจากหน้ากาก “นอกจากคุณหนูอาซีม่ากับเลดี้โรสเซอร์แล้ว พวกเจ้ายังมีใครอยากจะเข้าไปอีก?”