แหล่งกำเนิดแสง โดย Ink Stone_Fantasy
คนนำทางกับผู้ประสานงานรีบปฏิเสธคำเชิญนี้ทันที โดยเฉพาะคนนำทางนั้นที่รีบถอยหลังไปอยู่ห่างๆ จากประตูทางเข้า ถ้าไม่เป็นเพราะมีทหารคอยจับตาดูอยู่ เกรงว่าเขาคงจะวิ่งหนีไปนานแล้ว
โรสเซอร์กลับไม่เลือกที่จะสวมชุดแปลกๆ นั้น “ข้าไม่จำเป็นต้องใส่ เก็บเอาไว้เป็นชุดสำรองแล้วกัน”
“เจ้ามั่นใจ?” ฌอนขมวดคิ้วถาม
“ความสามารถในการต้านทานและความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของนักรบอาญาสิทธิ์นั้นแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามาก เชื่อโรคและพิษปกติไม่สามารถทำอะไรข้าได้ ข้าไม่คิดว่าโรคที่ทำให้คนธรรมดามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกสิบปีจะทำอะไรร่างกายนี้ได้” เธอยักไหล่ “ในทางกลับกัน ชุดนี่มันกลับจะทำให้ข้าเคลื่อนไหวไม่สะดวก การรับรู้ต่างๆ ลดลง การสวมใส่มันในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยก็ไม่ต่างอะไรกับการมัดมือมัดเท้าตัวเองไว้ ดังนั้นข้าไม่ใส่ดีกว่า อีกอย่างถ้าสมมติพวกเราเจอปัญหาอะไรในนั้นจริงๆ ถ้ามีชุดสำรองอีกชุดหนึ่งก็จะทำให้คนข้างนอกเข้าไปช่วยเหลือเราได้ ถึงแม้โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นมันจะเป็นไปได้น้อยมากก็ตาม”
นี่ฟังดูมีเหตุผลอย่างมาก แม่มดอาญาสิทธิ์นั้นพึ่งพาการมองเห็นกับการได้ยินในการรับรู้สู้สภาพแวดล้อมรอบๆ การฝึกซ้อมมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปีทำให้พวกเธอสามารถวิเคราะห์ความชื้นและความยืดหยุ่นของดินได้จากเสียงฝีเท้าที่เหยียบลงไปบนพื้นดิน ในจุดนี้อาซีม่าเคยเห็นมาระหว่างทางแล้ว
และก็ด้วยเหตุนี้ ชุดป้องกันที่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นกับการได้ยินของคนธรรมดาแค่เพียงเล็กน้อยนี้ มันอาจจะส่งผลกระทบต่อแม่มดอาญาสิทธิ์มากกว่าที่คิดก็ได้
“แต่ถ้าเกิด…มันคือคำสาปของพระเจ้าจริงๆ ล่ะ จะทำยังไง?” อาซีม่าถามอย่างกังวลขึ้นมา
โรสเซอร์ยิ้มขึ้นมา รอยยิ้มของเธอยังคงดูดุร้ายเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ “ยังไม่ต้องพูดถึงว่าชุดหนังนี้จะป้องกันคำสาปของพระเจ้าได้จริงหรือเปล่า แต่ถ้าเกิดมันมีจริงๆ อย่างนั้นก็ให้มันเข้ามา ข้าอยากจะรู้เหมือนกันว่าหลังจากที่ชาวทาคิลานับล้านถูกฝังอยู่บนที่ราบลุ่มบริบูรณ์ พระเจ้ายังจะสาปอะไรพวกเราได้อีก!”
“ข้าเข้าใจแล้ว” ฌอนนิ่งเงียบไปครู่ ก่อนจะพยักหน้าขึ้นมา “อย่างนั้นพวกเราออกเดินทางกันเถอะ”
อาซีม่าสูดหายใจ ก่อนจะเดินตามองครักษ์เข้าไปในประตูหิน
ภายในซากโบราณสถานไม่ได้อับชื้นเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ ดินโคลนที่ทะลักมาจากข้างนอกกินพื้นที่กว่าครึ่งของอุโมงค์ทางเดินไป ตอนแรกทุกคนได้แต่ต้องก้มตัวเดินเข้าไป แต่เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ทางเดินก็ค่อยๆ กว้างขึ้น ถึงแม้จะยังต้องเดินก้มๆ อยู่ แต่ระดับควานชันของเนินก็ลดลงกว่าเดิมเยอะ
ในขอบเขตการส่องสว่างของคบเพลิงสามารถมองเห็นว่าผนังทั้งสองด้านของทางเดินนั้นเสียหายอย่างหนัก รากไม้และพวกเถาวัลย์จากด้านนอกเลื้อยเข้ามาตามรอยแตกบนผนังจนขวานทางเดินเต็มไปหมด โรสเซอร์ที่เดินอยู่หน้าสุดใช้ขวานคอยฟันพวกรากไม้กับเถาวัลย์ทิ้งเพื่อให้ทุกคนเดินได้สะดวก ถ้าไม่มีแม่มดอาญาสิทธิ์คอยเปิดทางให้ละก็ เพียงแค่เดินลงเดินมานี้คงต้องใช้เวลาครึ่งค่อนวันแน่
“จริงอยู่ที่ที่นี่ถูกทิ้งร้างมานาน แต่มันไม่ได้ถูกปิดตายเหมือนอย่างที่นาฟบอก” จู่ๆ ฌอนก็พูดขึ้นมา “อย่างน้อยที่นี่ก็น่าจะเคยมีคนไปๆ มาๆ อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง”
“เจ้าเห็นอะไร?” โรสเซอร์ถามอย่างแปลกใจ
“บนกำแพงมีช่องสำหรับเสียบคบเพลิงอยู่” เขาชี้ไปบนกำแพง “ลวดลายช่องเหล่านั้นดูชัดเจนกว่าคนกำแพง แสดงให้เห็นว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาช่วงเวลาที่แตกต่างกันมาก ถ้าที่ีนี่เป็นแค่ที่หลบฝนชั่วคราวจริงๆ พวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องปักคบเพลิงไว้บนกำแพงทุกๆ สิบก้าวใช่ไหมล่ะ?”
ถูกต้อง มีแต่ต้องตอนต้องเข้าออกที่นี่บ่อยๆ ในระยะยาวถึงจะต้องทำที่ปักคบเพลิงขึ้นมา
“เหอะ ก็อย่างที่ข้าบอกไง ขอเพียงมีสมบัติ มีหรือที่เจ้าเมืองของที่นี่จะไม่สนใจ?” โรสเซอร์หัวเราะหึหึขึ้นมา “คนนำทางคนนั้นอาจจะไม่ได้พูดโกหก หากแต่เป็นตัวข่าวลือที่ถูกเติมแต่งเข้าไป”
“สิ่งที่ข้ากังวลก็คือสิ่งที่ฝ่าบาททรงให้พวกเราตามหา อาจจะเป็นสมบัติที่เขาพูดมาน่ะสิ…” ฌอนพูดเสียงคร่ำเคร่ง “ถ้าข้างในมันมีแหล่งกำเนิดที่ว่าอยู่เป็นจำนวนมาก ช่วงเวลาร้อยกว่าปีมานี้มันถูกขนออกไปแล้วเท่าไร แล้วก็ถูกขนออกไปที่ไหน? จากที่ฝ่าบาทตรัสมา สิ่งนั้นมันเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างแสงของพระอาทิตย์ พวกเราจะปล่อยให้มันตกไปอยู่ในมือของคนอื่นไม่ได้เด็ดขาด”
“คำถามนี้คงต้องรอให้คุณหนูอาซีม่าพาพวกเราไปถึงแหล่งกำเนิดก่อนถึงจะตอบได้” จู่ๆ ร่างกายของโรสเซอร์พลันหยุดชะงักลง “….ข้าว่าพวกเราอยู่ห่างจากเป้าหมายไม่ไกลเท่าไรแล้ว”
ในที่สุดพื้นโคลนใต้เท้าก็สิ้นสุดลง เผยให้เห็นบันไดหินที่แอบซ่อนอยู่ด้านล่าง
ความเร็วในการเดินของทุกคนเร็วขึ้นมากกว่าเดิมทันที
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง จู่ๆ พื้นทางเดินที่ก่อนหน้านี้ถูกแสงไฟส่องจนสว่างพลันถูกความมืดกลืนกินไปจนหมด เหมือนกับว่าตรงนั้นมันมีกำแพงสีดำมากั้นเอาไว้อยู่อย่างไรอย่างนั้น
“นั่นมัน…” อาซิม่าพูดขึ้นมาอย่างตกใจ
“โพรงขนาดใหญ่” โรสเซอร์ถือคบเพลิงเดินเข้าไปในความมืด ก่อนจะหายวับไปกับตา
จากนั้นก็เป็นฌอน
“ระวังใต้เท้านะ” ทหารที่คอยระวังอยู่ด้านหลังพูดเตือนขึ้นมา
“อื้อ” อาซีม่าสูดหายใจ ก่อนจะก้าวเดินเข้าไปในความมือ ตอนที่เธอรับปากฝ่าบาทโรแลนด์ก่อนหน้านี้ เธอคิดกับตัวเองมาตลอดว่าเธอนั้นเป็นคนกล้าหาญ แต่ตอนนี้ดูแล้ว ความกล้าของเธอยังห่างชั้นกับฌอนและโรสเซอร์อีกมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เธอไม่ยอมตัดสินใจที่จะออกมาจากเกาะสลีปปิ้งเสียที
‘พูดไปพูดมาก็แค่คนอ่อนแอเท่านั้นแหละ’
คำพูดของไนติงเกลดังขึ้นมาในหูเธออีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ มันกลับไม่ได้เป็นแค่คำพูดเสียดสีเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังมีความหมายอื่นแฝงอยู่ด้วย
ความมืดกักขังเธอเอาไว้
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ดวงตาของเธอจึงเริ่มเคยชินกับความมืด คบเพลิงของสองคนที่อยู่ข้างหน้าสะท้อนเข้ามาในดวงตาของเธออีกครั้ง เพียงแค่แสงไฟเหมือนจะดูสลัวกว่าเดิม มันเหมือนเป็นแค่แสงสีแดงส้มหม่นๆ เท่านั้น
“นี่คือชั้นใต้ดินของซากโบราณสถานเหรอ?” โรสเซอร์สำรวจดูรอบๆ ขณะเดียวกับบนหัวก็มีเสียงสะท้อนดังไปมา “ก็ไม่ค่อยใหญ่เท่าไร กว้างสูงไม่เกิน 200 ก้าว”
“เจ้ามองเห็นขอบของมันเหรอ?” ฌอนถาม
“สำหรับพวกเราแล้วนี่ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ขอเพียงอยู่ใต้ดินมากกว่าร้อยปี ถ้าไม่เคยชินกับสภาพแวดล้อมก็คงกลายเป็นคนตาบอด”
ตอนนี้อาซีม่าถึงได้เข้าใจแล้วว่า ‘โพรงขนาดใหญ่’ ที่อีกฝ่ายพูดเตือนในตอนแรกนั้นหมายความว่ายังไง หลังจากที่เดินผ่านอุโมงค์เข้ามาเรื่อยๆ จนถึงที่นี่ พื้นที่ด้านในก็ค่อยๆ กว้างขึ้น แสงไฟก็ไม่สามารถส่องไปถึงผนังหินได้ ด้วยเหตุนี้แสงไฟจึงดูสลัวมากขึ้นมากกว่าเดิม อีกทั้งตรงปากอุโมงค์กับในโพรงนั้นมีทางเลี้ยวแบบหักศอกอยู่ จึงทำให้คนที่เดินอยู่ข้างหน้าดูเหมือนจู่ๆ ก็หายตัวไป
“แหล่งกำเนิดอยู่ห่างจากเราอีกไกลไหม?” โรสเซอร์หันมาถามเธอ
อาซีม่ารีบหยิบเอาเหรียญโลหะออกมาจากกระเป๋า พริบตาลำแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเธอทันที! ตั้งแต่เพดานถ้ำจนถึงใต้เท้าล้วนแต่มีจุดแสงสีเขียวกระจายอยู่ทั่วทุกที่จนทำให้เธอมองเห็นเค้าโครงของซากโบราณสถานทั้งหมด มันเหมือนเป็นโลกที่อยู่ในจินตนาการ โพรงถ้ำใต้ดินที่เดิมมืดจนมองไม่เห็นขอบพลันสว่างชัดเจนขึ้นมาถนัดตา ภายใต้จุดแสงนับหมื่นนับพันนี้ เธอสามารถมองเห็นรูปร่างของก้อนหินบนพื้นได้อย่างชัดเจน!
ผนังที่อยู่รอบๆ เต็มไปด้วยจิตรกรรมฝาผนังเรืองแสงแปลกๆ มันเป็นภาพที่เธอไม่สามารถใช้คำพูดบรรยายออกมาได้ เนื้อหาภายในภาพทั้งดูสับสนและบ้าคลั่ง มันไม่ใช่ภาพที่มนุษย์เป็นคนวาดขึ้นมาแน่นอน และด้านล่างรูปภาพบนผนังก็มีกรงเหล็กตั้งเรียงเป็นแถว ข้างในมีโครงกระดูกกองเป็นภูเขา ไม่รู้ว่ามีกี่ชีวิตที่อยู่ขังเอาไว้ในกรง ก่อนจะตายลงอย่างสิ้นหวัง
ห่างจากพวกเขาออกไปประมาณร้อยก้าว พื้นดินยุบตัวลงไปข้างล่างกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ ลำแสงที่สว่างเจิดจ้าพุ่งขึ้นมาจากในหลุมตอบรับกับเหรียญที่อยู่ในมือของเธอ แต่ความสว่างของมันมีมากกว่าเหรียญหลายเท่า
เธอเพิ่งจะเคยเห็นภาพแบบนี้เป็นครั้งแรก!
“อาซีม่า?” เมื่อเห็นเธอไม่ตอบ ฌอนจึงหมุนตัวกลับมา “เจ้าเป็นหรือเปล่า?”
อาซีม่ารู้สึกลำคอของตัวเองแห้งผาก เธอเลียริมฝีปาก ก่อนจะตอบออกมาอย่างยากลำบากว่า “พวกเรา…มาถึงแล้ว”
“หืม? เจ้าบอกว่าเราเจอแหล่งกำเนิดแล้วเหรอ?” โรสเซอร์ถาม “มันอยู่ไหนล่ะ?”
“ตอนนี้พวกเรา…อยู่ในแหล่งกำเนิด”
แม่มดพูดเสียงเบาๆ