บทที่ 57 ได้รับของขวัญ โดย Ink Stone_Romance
วันสิ้นปีใกล้เข้ามาแล้ว ทุกบ้านต่างดูคึกคักขึ้นมา ทว่า ณ ชายแดนในซีเป่ย ไฟศึกลุกลามในความหนาวเหน็บ ไม่มีแม้แต่บรรยากาศของการเฉลิมฉลองวันส่งท้ายปี
สายลมเย็นยะเยือก ราตรียาวนาน ค่ายใหญ่ซีเป่ยถูกปกคลุมอยู่ในโลกสีขาว
ทหารลาดตระเวนเดินย่ำลงบนหิมะที่สูงเกือบถึงเข่าจนขาชา ทุกย่างก้าวส่งเสียงดังสวบๆ
นอกเหนือจากเสียงนี้ ค่ายใหญ่ซีเป่ยก็เงียบสงบยิ่งนัก
แสงสะท้อนจากหิมะทำให้มีแสงเรืองรองมาจากบริเวณค่าย อวี๋เซ่าชิงเพิ่งออกจากเวรของวันนี้
ตามกฎเดิม หลังจากที่รับตำแหน่งหัวหน้ากองร้อย ก็ไม่จำเป็นต้องประจำการ ณ หอสังเกตการณ์ แต่นี่คือคำสั่งของแม่ทัพกุยเต๋อหลาง
อวี๋เซ่าชิงไปโดยมิได้ปริปากบ่น หลังจากที่ส่งต่อหน้าที่ให้ทหารผลัดต่อไป ก็กลับไปยังกระโจมที่พัก
เพิ่งจะถึงประตู ทหารม้าจากทัพใต้ก็เดินมา
ทัพใต้ดูแคลนทัพเหนือมาตลอด แม้แต่ทหารม้าตำแหน่งเล็กๆ คนหนึ่ง ก็ไม่เคยเห็นหัวหน้ากองร้อยของทัพเหนืออยู่ในสายตา ยิ่งทุกวันนี้แม่ทัพกุยเต๋อหลางก็กดดันอวี๋เซ่าชิงทุกวิถีทาง การที่ทหารม้าคนหนึ่งมาคุยกับอวี๋เซ่าชิงเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่พบได้ยากยิ่ง
“ท่านคืออวี๋เซ่าชิงรึ?” ทหารม้ามิได้เห็นเขาอยู่ในสายตา
ตำแหน่งของอวี๋เซ่าชิงสูงกว่าเขา ตามหลักแล้ว เขาจะต้องเรียกอวี๋เซ่าชิงว่าหัวหน้ากองร้อย แต่เขาเรียกเพียงชื่อ นั่นนับว่าผิดกฎ
หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป…
แพร่งพรายออกไปแล้วอย่างไรเล่า?
เพราะมีแม่ทัพกุยเต๋อหลางหนุนหลัง จึงมารังแกอวี๋เซ่าชิงแล้วไม่รับผิดชอบเช่นนี้ได้
“มีอะไร?” อวี๋เซ่าชิงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ทหารม้าเบะปากแล้วมองไปยังอวี๋เซ่าชิง “มีของของท่าน มาจากตำบลเหลียนฮวา ท่านรีบไปรับที่ทัพใต้เถอะ”
อวี๋เซ่าชิงแววตากระตุกวูบหนึ่ง คล้ายกับไม่เชื่อหูตนเอง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร เขาไปยังทัพใต้พร้อมกับทหารม้าเพื่อรับของของตน
เป็นอาหารสองไห ไหเล็กเป็นผักดอง ไหไหญ่เป็นลูกชิ้นและแผ่นแป้ง
มาจากตำบลเหลียนฮวา ก็หมายความว่าส่งมาจากครอบครัวของเขาอย่างแน่นอน
อวี๋เซ่าชิงลูบภาชนะซึ่งเย็นจนมีน้ำแข็งเกาะด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
อู๋ซันเพิ่งลาดตระเวนเสร็จ ก็เดินไปยังกระโจมของอวี๋เซ่าชิงตามเคยชิน วันนี้เขาไม่ได้มาเติมของกินแต่อย่างใด เขานำเหล้ามาให้อวี๋เซ่าชิง
นี่เป็นการฉลองส่งท้ายปีอย่างไรเล่า เขาไหว้วานให้คนซื้อสุรามาหนึ่งกา คิดไว้ว่าจะดื่มฉลองวันสิ้นปีกับอวี๋เซ่าชิง
ทว่า เมื่อเขาเดินเข้ามา สายตาก็เหลือบไปเห็นไหซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
“นั่นอะไร” เขาเอ่ยถามด้วยความงุนงง
อวี๋เซ่าชิงยังคงทำสีหน้าประหนึ่งก้อนน้ำแข็ง ทว่าหางคิ้วและดวงตาดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย “ของที่ส่งมาจากบ้าน”
อู๋ซันตกใจ แล้วหัวเราะประชดประชัน “โอ้ ครานี้พวกเฮงซวยนั่นไม่ละโมบอยากได้ของของเจ้าแล้วรึ? เปลี่ยนเป็นคนดีตั้งแต่เมื่อไรกัน? เจ้าระวังนา ไม่ใช่ว่าใส่ยาอะไรให้เจ้ากิน”
อยู่ในกองทัพมาหลายปี ชีวิตของอวี๋เซ่าชิงมิได้ง่ายดายเอาเสียเลย เขาปฏิบัติต่อผู้อื่นดี ความสามารถในการศึกมาก แต่เขาเป็นคนเข้มงวด และผิดใจกับทหารจำนวนมาก เขาส่งจดหมายถึงบ้าน แต่ไม่เคยไปถึง คนในครอบครัวส่งจดหมายมา ทว่าจดหมายก็ไม่เคยส่งถึงมือเขา
หากคิดดีๆ นี่เป็นครั้งแรกที่อวี๋เฒ่าได้รับของจากบ้านเชียวนา
“มีจดหมายหรือไม่?”
“ไม่มี คนที่บ้านไม่รู้หนังสือ”
ยามที่เขาจากมา เป็นเช่นนั้น
อู๋ซันก็ไม่รู้หนังสือเช่นกัน จึงไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก เขาเดินไปข้างหน้า เพ่งพิจารณาของที่บรรจุอยู่ข้างใน และอดไม่ได้ที่จะร้องออกมา “ของกินเยอะถึงเพียงนี้!”
มีลูกชิ้น ผักดอง แล้วก็มีแผ่นแป้ง!
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่อวี๋เฒ่าชอบกิน
“คนที่บ้านเจ้ารักเจ้าเหลือเกิน!” อู๋ซันกล่าวด้วยความริษยา แล้วหยิบแผ่นแป้งหนักๆ ออกมาหนึ่งแผ่น
นี่มันแผ่นแป้งจริงหรือ? นะ…หนักมากเลยทีเดียว!
อู๋ซันงับแผ่นแป้งคำโตประหนึ่งสุนัขป่า
โอ๊ย แข็งอะไรเพียงนี้!
แล้วจึงกินลูกชิ้นเข้าไปอีกหนึ่งลูก
ไยรสชาติจึงประหลาดเช่นนี้!
สุดท้าย เขาจำต้องฝากความหวังเอาไว้กับผักดองในไหสีแดง เขาค่อยๆ ดึงมาหนึ่งแผ่นเล็ก แต่เพียงเลียไปเท่านั้น ก็รู้สึกเค็มจนตาเหลือก…
……
เมืองหลวงกำลังย่างเข้ายามราตรี แสงตะเกียงในห้องทรงพระอักษรยังคงส่องสว่าง
“เจ้าว่าอย่างไรนะ? ทหารสองหมื่นนายของทัพใหญ่ซีเป่ยจะถูกจัดการภายในคืนเดียว? ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว?” ฮ่องเต้นั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ วางสาส์นลง แล้วมองไปยังเกาหย่วน
เกาหย่วนตอบด้วยความลำบากใจว่า “พ่ะย่ะค่ะ ไม่เหลือแม้แต่คนเดียว”
ฮ่องเต้ตบลงบนโต๊ะ “บังอาจ! คำพูดเหลวไหลเช่นนี้ผู้ใดสอนเจ้า?!”
เกาหย่วนสูดหายใจลึก กล่าวว่า “ข้า…มิได้พูดเหลวไหล ข้าใคร่ครวญมาดีแล้ว จึงเสี่ยงชีวิตมาเตือนฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หัวเราะ “ดีๆๆ เจ้าเสี่ยงชีวิตมาเตือนเรา เช่นนั้นเจ้าก็ลองบอกเรามาเถิด แม่ทัพจากชายแดนสืบไม่รู้เรื่องนี้ แล้วเจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
เกาหย่วนยังมิทันได้ตอบ ฮ่องเต้ก็พูดต่อ “เจ้าจะให้ข้าส่งทหารหนึ่งแสนนายจากทงโจวไปเสริมทัพที่ทัพใหญ่ซีเป่ย แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่านอกเมืองทงโจวยังมีทัพใหญ่ของชาวซยงหนูอยู่อีกหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย! ชาวบ้านในทงโจวมีหลายแสนคน! เจ้าจะให้ข้ายอมยกทงโจวทั้งเมืองให้ซยงหนูรึ?!”
เกาหย่วนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “รายงานของกองทัพผิดพลาด นอกเมืองทงโจวแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่มีทหารของทัพใหญ่ซยงหนูหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย แม่ทัพใหญ่ล้วนไปทัพใหญ่ซีเป่ย พวกเขาวางแผนจะแย่งชิงเสบียงเรียกร้องความสนใจ!”
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ชาวซยงหนูก็จะขาดแคลนอาหาร อาหารของพวกเขาล้วนมาจากการชิงเสบียงของกองทัพ
ทัพใหญ่ซีเป่ยมีอาหารอุดมสมบูรณ์ ย่อมเป็นแหล่งอาหารชั้นยอดของชาวซยงหนู
แต่เกาหย่วนคิดออก แม่ทัพจะคิดไม่ออกเชียวหรือ? เสริมทัพแต่เนิ่นๆ ทำให้ค่ายใหญ่มีกำลังมาก
นอกจากนั้นแล้วพวกเขายังสืบข่าวจากกองทัพ และรู้ว่าที่แม่ทัพซยงหนูถอนกำลังไปยังนอกเมืองทงโจว ก็เพราะว่าพวกเขาต้องการบุกโจมจีในวันสิ้นปี ไม่มีอันใดน่าแปลกใจ
เกาหย่วนยกมือขึ้นคารวะ แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นความจริง!”
ฮ่องเต้แค่นเสียง “เช่นนั้นเจ้าตอบเรา เจ้าไปสืบมาจากที่ใด?”
เกาหย่วนหลุบตาลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของเขา “ข้า…ข้ามิได้ไปสืบ…ข้าเพียง…ทำนายจากดวงดาว…”
ฮ่องเต้โทสะพลุ่งพล่านและกล่าวตัดบทเขาทันที “เจ้าเป็นหัวหน้าสำนักบัณฑิต! สถานที่ที่เจ้าไปก็คือสำนักบัณฑิต ไม่ใช่สำนักดาราศาสตร์! เจ้ากลับไปดูดาวอย่างนั้นหรือ! เราเรียกเจ้ากลับเมืองหลวง ให้เจ้ามาทักท้วง มิใช่ให้เจ้าหลอกให้คนกลัว ทำลายขวัญของกองทัพ!”
“ฝ่าบาท…”
ฮ่องเต้หรี่ตา “หรือว่าเจ้า…สมคบคิดกับชาวซยงหนู ชาวซยงหนูบอกเรื่องนี้กับเจ้ารึ? เรานึกออกแล้ว หลานชายของเจ้าก็เป็นลูกครึ่งซยงหนูนี่”
“ฝ่าบาท!” เกาหย่วนตัวสั่นเทิ้ม เงยหน้าขึ้นทันที!
ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อ ตรัสด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “เรียกคนมา จับเกาหย่วนเข้าคุกหลวง รอการตัดสิน!”
……
ในคุกใต้ดินอันหนาวเหน็บ เกาหย่วนนอนหลับฝัน
เขาฝันว่าตนยืนอยู่บนกำแพงเมืองทงโจว ทอดสายตามองไปยังหิมะขาวโพลน
ทันใดนั้นเอง ก็มีม้าตัวหนึ่งวิ่งควบมา
บนหลังม้ามีคนผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นแบกศรเกาทัณฑ์จำนวนมากไว้บนหลัง คล้ายกับว่าเขาบาดเจ็บหนัก นอนหายใจโรยรินอยู่บนหลังม้า ประหนึ่งว่าเขาจะตกลงมาเมื่อไรก็ได้
จวบจนเขาเข้ามาใกล้ เกาหย่วนจึงมองเห็นชัดเจน ว่าเขาหาได้แบกศรไว้ไม่ หากแต่ถูกยิงด้วยศรจำนวนมาก จนดูราวกับเม่นตัวหนึ่ง คนทั่วไปหากบาดเจ็บเพียงนี้คงตายไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงทนมาจนถึงบัดนี้ได้
เขามาส่งข้อความทางการทหารครั้งสำคัญและครั้งสุดท้าย
ทว่าเขามิอาจเห็นทงโจวที่เขาช่วยเหลือเอาไว้
เกาหย่วนใช้มือปิดดวงตาซึ่งบัดนี้ไร้แวว หยิบป้ายโลหะที่แขนของเขาขึ้นมาเช็ดเลือด แล้วพินิจดู
หัวหน้ากองพัน อวี๋เซ่าชิง
…………………………………………..