บทที่ 502 ช่างเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนจริงๆ

ครูเจ้าเสน่ห์คนนี้ประธานจอง

ยู่ยี่กำลังดูทีวีที่กำลังฉายรายการคุณพ่อไปไหนซีซันล่าสุด เด็กๆต่างสร้างปัญหา

เธอมองดูอย่างมีความสุข หัวเราะคิกคักไม่หยุด ขณะที่ฉันทัชเดินเข้ามา ก็เห็นเธอหัวเราะจนตัวโยน

ฉันทัชนั่งลงข้างๆแล้วกอดเธอไว้ในอ้อมแขน หยิบของขวัญบนโต๊ะขึ้นมา ถามเธอว่า “ดูด้วยกันไหม?”

“ไม่ล่ะ” เธอส่ายหน้าไม่มีท่าทีที่อยากดู ทุกคนล้วนมีอดีตกันทั้งนั้น

“ดีเลย ถ้าเธอไม่ดูก็ไม่ดูแล้ว…” ร่างสูงของฉันทัชโค้งตัวเล็กน้อยวางของลงบนโต๊ะชา ไม่คิดจะเปิดดูจริงๆ

ยู่ยี่ขมวดคิ้ว “ทำไมคุณไม่ดูแล้วล่ะ?”

“ผมไม่อยากให้คุณรู้สึกขัดข้องใจ…”

ยู่ยี่ถอนหายใจ พยักหน้า โอเค งั้นก็ดูด้วยกัน ถึงแม้ว่าจะรู้สึกว่าการทำแบบนี้จะรู้สึกผิดต่อดาหวันก็ตาม

กล่องของขวัญถูกเปิดออก ข้างในมีผ้าพันคอสีน้ำตาลเข้มหนึ่งผืนที่ยังถักไม่เสร็จ อีกด้านหนึ่งยังไม่ทันได้เก็บปลาย

เห็นได้ชัดว่าไม่มีเวลาถักผ้าพันคอนี้ให้เสร็จ

รู้สึกปวดหัวใจและเศร้ามาก ยู่ยี่คิด ผู้หญิงที่ลงมือถักผ้าพันคอด้วยตัวเองต้องเป็นผู้หญิงที่ดีมากแน่ๆ

หน้าอกของฉันทัชกระเพื่อมเล็กน้อย นิ้วยาวลูบผ้าพันคอ รู้สึกเจ็บปวดน้อยๆ

ยู่ยี่ขยับตัวเข้าไปนั่งในอ้อมแขนของชายหนุ่ม เธอหาท่านั่งที่สบายที่สุด กอดเขาแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่าเธอต้องเป็นผู้หญิงที่ดีมากแน่ๆ”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?” เขาเงยหน้า เธออ่อนโยนมาก ปัดอารมณ์เหล่านั้นออก

“ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่ถักผ้าพันคอด้วยตัวเองมีความอดทนและความละเอียด อีกอย่างสายตาในการมองผู้หญิงของคุณนั้นดีมาตลอด” ยู่ยี่กล่าว

ฉันทัชยิ้ม “คุณกำลังแอบชมตัวเองอยู่หรือเปล่า?”

“ใช่สิ คุณไม่คิดว่าฉันสวยเหรอ?” ยู่ยี่กางแขนออกให้เขาดู

แววตาเขาสดใส เขาโอบกอดเธอแล้วพูดว่า “เล่าเรื่องเธอให้คุณฟังละกัน”

“งั้นคุณไปเอานมมาให้ฉันสักแก้วสิ เอาแบบเติมน้ำตาลด้วยนะ ฉันชอบดื่มอะไรสักอย่างเวลาฟังคนอื่นเล่าเรื่อง” เธอรู้สึกสนใจจึงเร่งเร้าเขา

เดิมทีเรื่องที่หนักเรื่องหนึ่งกลับถูกเธอทำให้มันดูเบาขึ้นเยอะ

คิดไม่ถึงว่าเธอทำเหมือนเป็นการฟังนิทาน เธอซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนเขาอย่างเชื่อฟัง ถือนม ฟังเขาพูดไปด้วย พูดแสดงความสงสัยในใจเธอออกมาไปด้วย

เขาไม่เพียงแค่รับผิดชอบในการเล่าเรื่องเท่านั้น แต่เขายังรับผิดชอบในการตอบคำถามคลายความสงสัยด้วย

หลังจากฟังจบเธอถอนหายใจอย่างหนัก “ทุกคนต่างมีช่วงเวลาวัยรุ่น ที่จะหุนหันพลันแล่น ฉันคิดไม่ถึงว่าตอนวัยรุ่นคุณจะเลือดพลุ่งพล่านขนาดนั้น แต่คุณก็มีความรับผิดชอบ”

ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่สามารถเลือกที่จะยอมตัดครอบครัวเพื่อผู้หญิงได้

ฉันทัชยิ้มบางๆ เดิมเขาคิดว่าตัวเองรู้สึกเศร้ามากเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น เขาเข้าใจและรู้ดีว่า นั่นเป็นเพราะมีเธออยู่เคียงข้าง

“เพียงแต่ว่าผลสุดท้ายกลับไม่เป็นดั่งใจ ฉันรู้สึกเศร้าแทนเธอ” ยู่ยี่พูดพลางหลับตา สองมือพนมไว้บนหน้าอก “ฉันอยากจะไว้อาลัยให้เธอหนึ่งนาที”

สายตามองดูเธออย่างอ่อนโยนกว่าปกติ เขาเพียงรู้สึกว่าความอบอุ่นไหลเวียนอยู่ในหัวใจ

หลังจากลืมตาขึ้น ยู่ยี่มองเขา สายตาของชายหนุ่มกลับเป็นประกาย ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวลงมาจูบริมฝีปากเธอ

เขาจูบอย่างลึกซึ้ง อ่อนโยน เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ กดหน้าอกอันอ่อนนุ่มของเธอให้เข้ามาใกล้ “ผมจะไม่มีวันปล่อยคุณไป…”

เธอถูกจูบจนหาทิศทางความรู้สึกไม่ได้ จึงกัดริมฝีปากบางของเขาแล้วถามว่า “แล้วคุณสามารถแยกความรู้สึกได้อย่างชัดเจนไหม?”

“แยกได้อย่างชัดเจนเสมอ ผมไม่ได้อายุสิบแปดหรือยี่สิบแปดนะ ความคิดและความรู้ความเข้าใจจะแยกได้ไม่ชัดเจนได้ยังไง? เธอคือเธอ คุณก็คือคุณ เธอคืออดีต คุณคือปัจจุบันรวมถึงอนาคต ชีวิตผมไม่อาจขาดคุณได้ และต่อจากนี้ผมจะต้องอยู่เคียงข้างคุณไปจนสุดทาง…” เขาที่มักจะอ่อนโยนอยู่เสมอ ไม่เคยพูดจารุนแรงเช่นนี้มาก่อน

ยู่ยี่เชื่อเขา อดที่จะหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้ “ร้ายแรงขนาดนั้นเลย?”

“ร้ายแรงแค่กับคุณคนเดียว นี่เป็นสิทธิ์ของคุณ…”

เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อื่นเขาเป็นคนสุขุม สุภาพ มีรุกมีถอย รักษาความสง่างามและระยะห่าง แต่พออยู่ต่อหน้าเธอกลับ…

“ถ้าฉันไม่รู้ว่าอาคิระก็ชอบดาหวัน ฉันคงคิดว่าเขาชอบคุณจริงๆ รูปถ่ายกับของขวัญของดาหวันจะให้คุณเมื่อไรก็ได้ เขานั่งกับคุณอยู่ในห้องนั่งตั้งนานแต่กลับไม่ให้ แต่พอฉันปรากฏตัวถึงจะหยิบออกมา ก็เพื่อกระตุ้นฉันไม่ใช่เหรอ?” ยู่ยี่รู้สึกว่าจริงๆแล้วเขาค่อนข้างไร้เดียงสา

ฉันทัชนวดบริเวณหว่างคิ้ว เขาก็รู้ความตั้งใจของเขา จึงบอกว่าเขาจะแก้ไข

ยู่ยี่บอกว่าจริงๆแล้วจะแก้ได้หรือไม่ก็ไม่สำคัญ อาคิระมีความคิดและความรู้สึกเป็นของตัวเอง คนอื่นไม่สามารถบังคับหรือเปลี่ยนแปลงเขาได้ ถ้าหากเขาจะฟัง เขาก็คงจะฟังตั้งแต่ตอนที่เอวาตายตั้งนานแล้ว จะเป็นแบบนี้ถึงตอนนี้ได้ยังไง?

ทั้งสองคุยกันอยู่นาน จนยู่ยี่ทนง่วงไม่ไหวอีกต่อไป ฉันทัชจึงอุ้มเธอไปที่ห้องนอน กอดเธอจนผล็อยหลับไป

จิตใจของเขาสงบ แม้ว่าเขาจะนึกถึงดาหวันก็สงบมาก อารมณ์ไม่แปรปรวนใดๆ

เรนนี่กลับคฤหาสน์ภูษาธรไว หลังจากนอนในห้องไปงีบหนึ่งแล้ว จึงคิดจะลงไปที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่าง ขณะผ่านห้องหนังสือกลับเห็นว่าไฟข้างในห้องสว่างมาก ชฎารัตน์และหัสดินนั่งหันหลังให้กับประตู

เสียงของทั้งสองคนไม่ดังไม่เบาเกินไป เพราะช่องว่างระหว่างประตูเธอจึงได้ยินเสียงอย่างชัดเจน

เธอเอาตัวแนบกับกำแพงเพื่อแอบฟัง

“ดังนั้นตอนนี้ลูกกำลังสงสัยว่าเด็กในท้องเธออาจไม่ใช่ลูกของลูก?” คนพูดคือชฎารัตน์

หัสดินพยักหน้า

“แล้วลูกจะทำยังไง?”

“หากตั้งครรภ์ได้สี่เดือนสามารถนำน้ำคร่ำไปตรวจได้ ถึงตอนนั้นไม่นานผลก็จะออกมา” หัสดินกล่าว

ชฎารัตน์ก็รู้สึกว่าวิธีนี้เข้าท่าดี จึงพยักหน้าเห็นด้วย

หัสดินลุกขึ้น หยิบชุดสูทจากราวแขวนเสื้อมาสวมแล้วพูดว่า “ผมจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”

“จะไปไหนล่ะ ดึกขนาดนี้แล้ว”

“ออกไปดื่มกับออกัสสักหน่อย ออกัสไปถึงแล้ว ผมจะสักพักแล้วจะกลับ แม่ครับราตรีสวัสดิ์” หัสดินเดินออกจากห้องหนังสือ

เรนนี่รีบย่องถอยกลับเข้าห้องอย่างรวดเร็ว หัวใจยังคงเต้นแรงไม่หยุด

หัสดินจะตรวจดีเอ็นเอ ตอนอายุครรภ์ครบ 4 เดือน ถ้าเด็กไม่ใช่ลูกเขาล่ะจะทำยังไง?

เรนนี่รู้สึกว่าปวดหัวมากจนแทบจะเป็นบ้า เจ็บจนแทบอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเสียดีกว่า ไม่มีทางให้ถอยกลับ ไม่มีความหวังในทางข้างหน้า

เธอเปิดคอมพิวเตอร์ เข้าอินเทอร์เน็ต เริ่มค้นหาข้อมูล

มีเขียนไว้ว่าการตรวจดีเอ็นเอจะทำได้เร็วที่สุดตอนอายุครรภ์แปดสัปดาห์ขึ้นไป จะใช้สายสะดือของทารกในการทดสอบ

เรนนี่คิดว่าเธอจะต้องรู้ก่อนว่าเด็กคนนี้เป็นลูกใครก่อนหัสดินและชฎารัตน์จึงจะเป็นประโยชน์ต่อสถานการณ์ของเธอที่สุด

ข้างบนกล่าวไว้อีกว่าการใช้สายสะดือของทารกมาตรวจจะเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ แต่เธอไม่มีทางเลือก ไม่มีทางเลือกที่สองที่จะไปได้!

แค่รู้ว่าใครทารกในครรภ์เป็นลูกใคร เธอถึงจะคิดหาวิธีรับมือ เพื่อให้เส้นทางต่อไปง่ายขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อเธอ

แม้ว่าออกัสจะอยู่ในผับ แต่เขาไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย เขาแค่ดูหัสดินและดนัยดื่มกันเท่านั้น

ครอบครัวเขามีสี่คน ทั้งสามคนล้วนไม่ชอบกลิ่นแอลกอฮอล์ เขาจึงย่อมไม่ดื่ม

ดนัยคิดว่ามันแปลกมาก ปกติคุณชายออกัสไม่เคยออกนอกบ้าน ทำไมวันนี้ถึงผิดปกตินัก?

ออกัสไอเบาๆแก้เขิน วันนี้เธอมีสอนจึงให้เขาอยู่บ้านดูแลลูก เด็กน้อยร้องไห้หนักเสียงดังไม่หยุด เขาแสบหู

เมื่อเห็นใบหน้าเล็กๆแดง เขารู้สึกปวดใจสุดๆ จึงพยายามทำให้เด็กน้อยหัวเราะ

ซารางกำลังแกว่งชิงช้าพอดี เขาจึงเดินไปให้ซารางอุ้มน้องไว้ ตั้งใจพาพวกเขาสองคนไปเล่น แต่ซารางยังเด็กเกินไปจึงอุ้มไม่ไหว

ดังนั้นทั้งสองคนจึงเปลี่ยนตำแหน่งกัน เขาอุ้มทารกน้อย ส่วนซารางคอยผลักอยู่ข้างหลัง เขายังไม่ทันยืนดีๆ ซารางก็เริ่มผลักชิงช้า เขาที่ยังไม่ทันตั้งตัวก็ล้มลงบนสนามหญ้าพร้อมกับทารกน้อย เด็กน้อยจึงร้องไห้ดังกว่าเดิม

เชอร์รีนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจนพอดี เธอปวดใจ ประจวบกับกำลังมีประจำเดือน อารมณ์จึงอยู่ในช่วงที่หงุดหงิดง่าย ซารางต้องเขียนพู่กันจีนสิบตัว เขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องนอน

แน่นอนออกัสไม่เล่าเรื่องแบบนี้ให้ดนัยฟังแน่ เขาเพียงแค่ขยับริมฝีปากพูดจาไร้สาระไปอย่างช่วยไม่ได้

หัสดินดื่มเหล้าไปไม่น้อย เขาดื่มจนเมามากจนแทบไม่เป็นคน แต่กลับงอแงจะดูไซอิ๋ว

ดนัยปล่อยเขาไป ตั้งแต่เขามาถึงจนใกล้จะกลับก็เพียงแค่ประโยคที่ผู้กำกับหนังเรื่องนี้พูดว่า “ความรักเคยอยู่ตรงหน้าฉัน แต่ฉันกลับไม่รักษา…”

เขาดูมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็ดื่มเหล้าขวดแล้วขวดเล่า ยืนกรานที่จะเมาให้ได้ ที่หางตามีน้ำตาไหลออกมา

ลูกผู้ชายต่อให้มีน้ำตาก็ไม่แสดงออกมาง่ายๆ แต่ครั้งนี้เขากลับทำตัวเละเทะ!

ออกัสไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เขาเคยเตือนเขาไปแล้ว จริงๆชีวิตคนเราไม่สามารถราบรื่นเกินไปได้ตลอด มักจะต้องพบกับเหตุการณ์ความเปลี่ยนแปลงและอุปสรรคที่ไม่คาดคิด แต่อุปสรรคบางอย่างก็หนักเกินกว่าที่จะเผชิญได้

เขาโวยวายจะโทรหายู่ยี่อีกครั้ง แต่กลับไม่มีเบอร์โทรของยู่ยี่ จึงเอาแต่โวยวายจะเอาเบอร์เธอ

ดนัยจึงขอเบอร์จากนาโนมาให้เขา หัสดินโทรไปหาอย่างเมามาย คนที่รับสายคือฉันทัช

พอได้ยินว่าเป็นเสียงผู้ชาย หัสดินก็หยุดพูด ขณะกำลังจะวางสาย เสียงต่ำของฉันทัชลอยมาเรียบๆว่า “เธอสบายดี ตอนนี้กำลังตั้งท้องลูกผมอยู่ หวังว่าจากนี้คุณจะพยายามไม่โทรมาอีก ขอบคุณ…”

ถึงเขาไม่ได้พูด แต่ฉันทัชกลับรู้ว่าเป็นเขา

หัสดินขว้างโทรศัพท์ออกไป ดึงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่หน้าอกอย่างหงุดหงิด โทรศัพท์เป็นของดนัย เขาไม่สนใจ แต่มีคนสนใจนะ

“ฉันคิดถึงเธอ คิดถึงเธอมาก ฉันอยากเจอเธอ!” หัสดินดึงแขนเสื้อออกัสด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว “ฉันรู้ว่าตัวเองผิดแล้ว ฉันคิดถึงเธอ!”

สีหน้าออกัสยังคงเฉยเมย แล้วทิ้งประโยคสั้นๆที่แฝงความหมายว่าเขาสมควรได้รับให้เขาว่า “ฝันไปเถอะ!”

จากนั้นซารางโทรมาถามว่า “แด๊ดดี้อยู่ไหนคะ?”

“ผับครับ หม่ามี๊ให้ลูกโทรมาตามแด๊ดดี้กลับบ้านใช่ไหมครับ?” ออกัสตอบตามจริงด้วยน้ำเสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง