ตอนที่ 118-2 เรื่องงุ่มง่ามในงานแต่ง หลานเขยพึ่งพาไม่ได้

จำนนรักชายาตัวร้าย

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ขอเพียงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองยังดี ซย่าโหวจวินอวี่ก็ล้วนแต่ดีใจทั้งสิ้น

 

 

ถึงแม้ซย่าโหวฉิงเทียนจะเหมือนกับสามีที่ต้องเคารพนอบน้อมภรรยายี่สิบชั่วโมงเข้าไปทุกที แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขาทั้งสอง เขาที่เป็นผู้ใหญ่จึงไม่ต้องกังวลให้มากเกินไป

 

 

ไม่แน่นะว่า นี่เป็นความชอบส่วนตัวเรื่องอย่างว่าของพวกเขาก็เป็นได้!

 

 

อย่างไรเสียการที่ผู้ชายช่วยแต่งตัวให้กับผู้หญิง ก็เพื่อที่จะกระชากเสื้อผ้าเหล่านั้นออกอยู่แล้วนี่นา…

 

 

ในเมื่อเรียนรู้ที่จะแต่งตัวให้เมียได้ ก็คงเรียนรู้ที่จะถอดได้ในอีกไม่นาน!

 

 

ไม่แน่ว่า…อาจถอดแล้วก็เป็นได้!

 

 

ฮ่องเต้ทรงลอบแย้มพระสรวลเบาๆ

 

 

ตุ๊กตาไม้แกะสลักที่เขาให้ไปนั้นปราดเปรียวคล่องแคล่วยิ่งนัก มันสามารถเปลี่ยนท่าทางได้สิบกว่าแบบ ก็ไม่รู้ว่าพวกทั้งสองศึกษากันไปถึงไหนแล้ว

 

 

ฝึกฝนกันจนเข้าด้ายเข้าเข็มแล้วหรือยังนะ!

 

 

“ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็เถอะ ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนคอยรับใช้บ้าง กวาดบ้าน ทำกับข้าว ตักน้ำ ทำความสะอาดบ้าน ปลูกต้นไม้รดน้ำ…ยังมีเรื่องหยุมหยิมอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมายนัก”

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่ค่อยๆ เจรจากับซย่าโหวฉิงเทียนทีละเรื่องอย่างอดทน

 

 

ลูกไม่รู้ พ่อจะสอนเอง!

 

 

ใครใช้ให้เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเขาเล่า!

 

 

“ตกกลางคืนก็ต้องมีคนคอยอยู่ยาม ตะเกียงจะต้องสว่างไสวตลอดเวลา เผื่อว่าต้องใช้น้ำขึ้นมาละ”

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ้มให้กับซย่าโหวฉิงเทียนอย่างมีเลศนัย

 

 

“ใช้น้ำ’

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนฉงนงงงวยกับประโยคนี้ยิ่งนัก

 

 

“ตกกลางคืนข้าไม่ดื่มน้ำ! และก็ไม่ดื่มชาด้วย!”

 

 

“แคกๆ!”

 

 

เซี่ยงจินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถึงกับไอขัดขึ้นมาสองสามครั้ง

 

 

ท่านอ๋อง ข้าน้อยขอคารวะเลย!

 

 

น้ำในที่นี้ไม่ใช่น้ำในความหมายนี้เสียเมื่อไหร่เล่า น้ำที่ฝ่าบาทหมายถึงไม่ได้ใช้ดื่มสักหน่อย!

 

 

ส่วนซย่าโหวจวินอวี่ก็เช่นเดียวกัน ถูกซย่าโหวฉิงเทียนเล่นงานเสียจนพูดไม่ออก

 

 

เห็นที เขาและเฟยเยียนยังไม่ได้บรรลุถึงขั้นสุดท้ายนั้นด้วยกันเป็นแน่

 

 

ฮ่องเต้ทรงรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งยวด!

 

 

“เจ้านี่…”

 

 

เห็นใบหน้าใส่ซื่อไร้เดียงสาของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ่งรู้สึกผิด เป็นเพราะเขาไม่ได้ปกป้องลูกชายให้ดี ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนต้องเติบโตแบบแปลกประหลาดจากเขตปกครองปรมาจารย์นั่น จนมีความคิดที่แปลกแยกเช่นนี้ เขาเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ

 

 

“ความหมายของข้าก็คือ หลังจากที่ฝึกร่วมแล้ว เจ้าก็สามารถอาบน้ำอุ่นให้สบาย เช่นนี้แล้วก็จะนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น!”

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่ยังหน้าด้านอธิบายออกมาได้

 

 

เวรแท้ๆ!

 

 

เป็นฮ่องเต้มาตั้งนาน ไม่เคยอึดอัดเท่านี้มาก่อนเลย!

 

 

น้ำตาไหลอาบแก้ม!

 

 

ลูกคนนี้มาเพื่อให้เขาชดใช้กรรมจริงๆ!

 

 

นี่เจ้าลูกชายเจตนาทรมานเขาใช่ไหม!

 

 

ด้วยเกรงว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะคิดไปว่าคืนหนึ่งสามารถเสร็จกิจได้เพียงแค่ครั้งเดียว ซย่าโหวจวินอวี่จึงค่อยๆ อธิบายให้เขาได้ฟังอย่างไม่รู้หน่ายว่า

 

 

“พวกเจ้ายังหนุ่มสาว กลางคืนใช้จะน้ำหลายครั้งก็เป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนเตรียมน้ำร้อนเอาไว้…”

 

 

ต้องมาเอ่ยปากเรื่องเหล่านี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็หน้าแดงหูแดงระเรื่อ

 

 

นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!

 

 

การเป็นพ่อของเขา แม้กระทั่งเรื่องบนเตียงของลูกชายก็ยังต้องสอน นับเป็นบททดสอบชีวิตอันหนักหน่วง!

 

 

“เสด็จพี่ เหตุใดพระพักตร์ของท่านถึงได้แดงก่ำเช่นนั้นเล่า”

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยถามพร้อมกับยื่นมือออกไปอังที่หน้าผากของซย่าโหวจวินอวี่

 

 

“ร้อนจัง ท่านจับไข้หรือเปล่า”

 

 

“เจ้านะสิจับไข้!”

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่โพล่งขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว

 

 

“ข้ากำลังพูดเรื่องเป็นงานเป็นการกับเจ้าอยู่นะ เจ้าอย่าเบี่ยงประเด็นได้ไหมเล่า!”

 

 

“สรุปก็คือ เรื่องนี้ให้ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน!”

 

 

“แล้วเจ้าก็จะต้องฟังข้า!”

 

 

“เรื่องอื่นข้าให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจ ยกเว้นเรื่องนี้ไม่ได้! สามร้อยคนเจ้าว่ามากเกินไป เช่นนั้นให้เจ้าหนึ่งร้อยคน! เอาละ! ข้าพูดจบแล้ว เจ้าไสหัวไปได้…”

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่ไม่พูดเปล่ายังเขวี้ยงพู่กันไล่หลังซย่าโหวฉิงเทียนไปอีกด้วย ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังว่องไวหลบได้ทัน ท่วงทีทั้งยังก้มลงเก็บพู่กันที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วก็ ‘กร็อบแกร๊บ’ หักมันออกเป็นสองท่อน

 

 

‘แท่งที่สิบหกของเดือนนี้แล้ว!’

 

 

เซี่ยงจินตระกองถือเศษพู่กันเอาไว้ในมือ แล้วพร่ำอยู่ในใจ

 

 

เซี่ยงจินติดตามฮ่องเต้มานาน ได้เห็นฮ่องเต้ทรงคิดแผนการรับมือกับคนโฉดชั่วมากมาย ด้วยความสุขุมนุ่มลึกสีหน้าเรียบเฉยไม่มีเปลี่ยนแปลง

 

 

เว้นแต่เมื่อเผชิญหน้าหลินเจียงอ๋องเพียงคนเดียว ที่ทำให้ฮ่องเต้ทรงสูญเสียการควบคุม กระทำในสิ่งที่เกินความคาดหมายที่น่าตกใจออกมา

 

 

แต่ก็คงมีเพียงตอนนี้ ที่จะได้เห็นซย่าโหวจวินอวี่แสดงออกในมุมที่อบอุ่นใกล้ชิดที่สุดออกมา

 

 

“ได้ ข้าไสหัวไป…”

 

 

ในใจซย่าโหวฉิงเทียนกำลังนึกถึงเรื่องเล่าที่ว่า ‘แต่งตัวหลากสีสันเพื่อให้บิดามารดาบันเทิงใจ ในสมัยชุนชิว’ ที่อวี้เฟยเยียนเล่าให้ฟัง ก็มองไปที่ซย่าโหวจวินอวี่แล้วเริ่มโค้งหลัง ทำท่าทางที่ฮ่องเต้ทรงคาดไม่ถึงออกมา

 

 

เพราะเขาม้วนตัวเองให้กลายเป็นก้อนแล้ว ‘กลิ้ง’ ออกไปต่อหน้าซย่าโหวจวินอวี่จริงๆ

 

 

“พรวด…”

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่ที่กำลังดื่มชาให้ชุ่มคออยู่นั้น ยังไม่ทันได้หายใจหายคอก็ต้องตกใจการกระทำของลูกชายเสียจนพ่นน้ำชาออกมาเต็มหน้าเซี่ยงจิน

 

 

ลูกคนนี้ คงจะไม่เอ๋อไปแล้วใช่ไหม!

 

 

ฮ่องเต้ทรงตกพระทัยเป็นอย่างมาก ทรงรีบแล่นตามออกไปทันที

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนกลิ้งหลุนๆ ออกไปจนกระทั่งถึงหน้าประตูแล้วค่อยหยุด ขณะที่เขาลุกยืนขึ้นแล้วปัดฝุ่นดินที่ติดตามร่างของตนออกไปนั่นเอง ซย่าโหวจวินอวี่ก็เดินตามมาคว้าแขนของเขาเอาไว้ แล้วกล่าวถามเสียงสั่นเครือด้วยความร้อนใจสีหน้าเป็นกังวล

 

 

“ฉิงเทียน เจ้าเป็นอะไรไป”

 

 

“ข้าสบายดี! เมื่อครู่ท่านให้ข้าไสหัวไป ข้าก็ไสหัวไปจริงๆ ก็เพื่อให้ท่านบันเทิงเริงใจ!”

 

 

ได้ฟังคำของซย่าโหวฉิงเทียน ซย่าโหวจวินอวี่ก็แทบน้ำตาไหลอาบแก้ม

 

 

มีเด็กดื้อที่ไหนที่ซื่อตรงเช่นเจ้าบ้าง

 

 

ให้เจ้าไสหัวไปเจ้าก็ไสหัวไปจริงๆ นะหรือ!

 

 

จวบจนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนเล่าเรื่อง ‘แต่งตัวหลากสีสันเพื่อให้บิดามารดาบันเทิงใจ’ ให้เขาได้ฟังหนึ่งรอบ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่จึงโบกไม้โบกมือไล่ให้เขากลับไปทันที

 

 

“เจ้าไปเถอะ! รีบไปเลยนะ!”

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่รีบกลับหลังหัน ดวงตาแดงก่ำ

 

 

เจ้าลูกคนนี้ ชอบทำอะไรทั้งโง่เขลาและซาบซึ้งอยู่เรื่อย และมันช่างท้าทายหัวใจดวงนี้ของข้ายิ่งนัก!

 

 

“ข้าไปจริงๆ แล้วนะ!”

 

 

“ไสหัวไป!”

 

 

ซย่าโหวจวินอวี่ตะเพิด หลังตะเพิดคำว่าไสหัวออกไปเสร็จก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้การละเดี๋ยวลูกชายจะพาซื่ออีก จึงรีบแก้ไขใหม่ว่า

 

 

“เจ้ารีบกลับออกไปจากวัง! ไป!”

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

รอจนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนกลับออกไปแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ถึงได้ยกมือขึ้นแล้วใช้ชายเสื้อซับที่ดวงตา

 

 

“ฝ่าบาท ทรงกันแสง…”

 

 

เซี่ยงจินลูบน้ำชาที่เปรอะเปื้อนไปหน้าออกไป แล้วรีบส่งผ้าเช็ดหน้าให้กับซย่าโหวจวินอวี่ทันที

 

 

“เหลวไหล! ข้าเพียงแค่ฝุ่นเข้าตาเท่านั้น!”

 

 

ซย่าโหวอจวินอวี่จะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าตนเองซาบซึ้งลูกชายจนร้องไห้ออกมา

 

 

เขามีลูกสาวลูกชายไม่มาก แต่คนที่ได้ดั่งใจมากที่สุดเห็นทีจะมีซย่าโหวฉิงเทียนเพียงคนเดียว

 

 

เหตุผลไม่ใช่เพียงแค่เขาคือลูกชายที่เกิดกับหญิงอันเป็นที่รักที่สุดเท่านั้น

 

 

แต่เหตุผลส่วนใหญ่มาจากตัวซย่าโหวฉิงเทียนเอง

 

 

ลูกคนนี้ นำพาความวุ่นวาย ความสุขมาให้กับเขามากมาย และแม้กระทั่งในหลายครั้ง ซย่าโหวฉิงเทียนจะทำให้เขาโมโหจนควันออกหูก็ตามที…

 

 

แต่มีเพียงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับซย่าโหวฉิงเทียนเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกได้จริงๆ ว่าตนเองเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง เป็นเพียงพ่อคนธรรมดาๆ เท่านั้น

 

 

ใกล้ถึงวันแต่งงานเข้าไปทุกที และตามขนบธรรมเนียมประเพณีของต้าโจวแล้ว เจ้าสาวมิอาจออกไปไหนมาไหนให้ใครเห็นได้ตามอำเภอใจ อีกทั้งยังมิอาจพบหน้าเจ้าบ่าวได้

 

 

เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เช่นนั้นแล้วอวี้เฟยเยียนจึงเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในจวนสกุลอวี้

 

 

แต่การเก็บตัวอยู่แต่ในจวนก็มีหลายสิ่งหลายอย่างให้นางทำมากมาย เช่น ฝึกซ้อมกองกำลังทหาร ทรมานท่านลุงสามเล่นสักหน่อย ดูแลท่านป้าสาม…สรุปก็คือ อวี้เฟยเยียนมีงานมากมายยิ่งนัก

 

 

ในเช้าตรู่ของวันนี้ อวี้จิงเหลยเรียกอวี้เฟยเยียน อวี้เชียนเสวี่ย และมู่เหนียนซีมาพร้อมกันที่ห้องหนังสือ

 

 

“นี่เป็นสมบัติทั้งหมดของสกุลอวี้!”

 

 

อวี้จิงเหลยชี้ไปที่กิจการร้านค้า บ้านเรือน ที่ดินตลอดจนตั๋วเงินต่างๆ และอื่นๆ

 

 

“ส่วนหนึ่งให้เยียนเอ๋อร์เมื่อถึงเวลาแต่งงานออกเรือน ส่วนที่เหลือเป็นของเชียนเสวี่ยและซิงฉง “

 

 

จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนได้เห็นทรัพย์สินที่ผู้เป็นปู่เตรียมมอบให้กับนางแล้ว จึงพบว่ากิจการร้านค้าต่างๆ และที่ดินส่วนใหญ่ตกเป็นของนาง นางจึงรีบเอ่ยปากคัดค้านทันที

 

 

“ท่านปู่ ท่านให้ข้ามากเกินไปแล้ว!”

 

 

“พี่ใหญ่ก็ยังไม่ได้แต่งงาน ส่วนท่านลุงสามก็ยังต้องเลี้ยงลูกอีก!”

 

 

อวี้จิงเหลยลงมือแบ่งทรัพย์สิน ซึ่งสมบัติส่วนใหญ่ยกให้กับอวี้เฟยเยียนเต็มๆ กว่าเจ็ดในสิบส่วนเลยก็ว่าได้