แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ขอเพียงความสัมพันธ์ของคนทั้งสองยังดี ซย่าโหวจวินอวี่ก็ล้วนแต่ดีใจทั้งสิ้น
ถึงแม้ซย่าโหวฉิงเทียนจะเหมือนกับสามีที่ต้องเคารพนอบน้อมภรรยายี่สิบชั่วโมงเข้าไปทุกที แต่นี่เป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขาทั้งสอง เขาที่เป็นผู้ใหญ่จึงไม่ต้องกังวลให้มากเกินไป
ไม่แน่นะว่า นี่เป็นความชอบส่วนตัวเรื่องอย่างว่าของพวกเขาก็เป็นได้!
อย่างไรเสียการที่ผู้ชายช่วยแต่งตัวให้กับผู้หญิง ก็เพื่อที่จะกระชากเสื้อผ้าเหล่านั้นออกอยู่แล้วนี่นา…
ในเมื่อเรียนรู้ที่จะแต่งตัวให้เมียได้ ก็คงเรียนรู้ที่จะถอดได้ในอีกไม่นาน!
ไม่แน่ว่า…อาจถอดแล้วก็เป็นได้!
ฮ่องเต้ทรงลอบแย้มพระสรวลเบาๆ
ตุ๊กตาไม้แกะสลักที่เขาให้ไปนั้นปราดเปรียวคล่องแคล่วยิ่งนัก มันสามารถเปลี่ยนท่าทางได้สิบกว่าแบบ ก็ไม่รู้ว่าพวกทั้งสองศึกษากันไปถึงไหนแล้ว
ฝึกฝนกันจนเข้าด้ายเข้าเข็มแล้วหรือยังนะ!
“ต่อให้เป็นอย่างนั้นก็เถอะ ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนคอยรับใช้บ้าง กวาดบ้าน ทำกับข้าว ตักน้ำ ทำความสะอาดบ้าน ปลูกต้นไม้รดน้ำ…ยังมีเรื่องหยุมหยิมอื่นๆ อีกเยอะแยะมากมายนัก”
ซย่าโหวจวินอวี่ค่อยๆ เจรจากับซย่าโหวฉิงเทียนทีละเรื่องอย่างอดทน
ลูกไม่รู้ พ่อจะสอนเอง!
ใครใช้ให้เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเขาเล่า!
“ตกกลางคืนก็ต้องมีคนคอยอยู่ยาม ตะเกียงจะต้องสว่างไสวตลอดเวลา เผื่อว่าต้องใช้น้ำขึ้นมาละ”
เอ่ยถึงตรงนี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ้มให้กับซย่าโหวฉิงเทียนอย่างมีเลศนัย
“ใช้น้ำ’
ซย่าโหวฉิงเทียนฉงนงงงวยกับประโยคนี้ยิ่งนัก
“ตกกลางคืนข้าไม่ดื่มน้ำ! และก็ไม่ดื่มชาด้วย!”
“แคกๆ!”
เซี่ยงจินที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ถึงกับไอขัดขึ้นมาสองสามครั้ง
ท่านอ๋อง ข้าน้อยขอคารวะเลย!
น้ำในที่นี้ไม่ใช่น้ำในความหมายนี้เสียเมื่อไหร่เล่า น้ำที่ฝ่าบาทหมายถึงไม่ได้ใช้ดื่มสักหน่อย!
ส่วนซย่าโหวจวินอวี่ก็เช่นเดียวกัน ถูกซย่าโหวฉิงเทียนเล่นงานเสียจนพูดไม่ออก
เห็นที เขาและเฟยเยียนยังไม่ได้บรรลุถึงขั้นสุดท้ายนั้นด้วยกันเป็นแน่
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งยวด!
“เจ้านี่…”
เห็นใบหน้าใส่ซื่อไร้เดียงสาของซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ่งรู้สึกผิด เป็นเพราะเขาไม่ได้ปกป้องลูกชายให้ดี ทำให้ซย่าโหวฉิงเทียนต้องเติบโตแบบแปลกประหลาดจากเขตปกครองปรมาจารย์นั่น จนมีความคิดที่แปลกแยกเช่นนี้ เขาเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ
“ความหมายของข้าก็คือ หลังจากที่ฝึกร่วมแล้ว เจ้าก็สามารถอาบน้ำอุ่นให้สบาย เช่นนี้แล้วก็จะนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น!”
ซย่าโหวจวินอวี่ยังหน้าด้านอธิบายออกมาได้
เวรแท้ๆ!
เป็นฮ่องเต้มาตั้งนาน ไม่เคยอึดอัดเท่านี้มาก่อนเลย!
น้ำตาไหลอาบแก้ม!
ลูกคนนี้มาเพื่อให้เขาชดใช้กรรมจริงๆ!
นี่เจ้าลูกชายเจตนาทรมานเขาใช่ไหม!
ด้วยเกรงว่าซย่าโหวฉิงเทียนจะคิดไปว่าคืนหนึ่งสามารถเสร็จกิจได้เพียงแค่ครั้งเดียว ซย่าโหวจวินอวี่จึงค่อยๆ อธิบายให้เขาได้ฟังอย่างไม่รู้หน่ายว่า
“พวกเจ้ายังหนุ่มสาว กลางคืนใช้จะน้ำหลายครั้งก็เป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนเตรียมน้ำร้อนเอาไว้…”
ต้องมาเอ่ยปากเรื่องเหล่านี้ ซย่าโหวจวินอวี่ก็หน้าแดงหูแดงระเรื่อ
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!
การเป็นพ่อของเขา แม้กระทั่งเรื่องบนเตียงของลูกชายก็ยังต้องสอน นับเป็นบททดสอบชีวิตอันหนักหน่วง!
“เสด็จพี่ เหตุใดพระพักตร์ของท่านถึงได้แดงก่ำเช่นนั้นเล่า”
ซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ยถามพร้อมกับยื่นมือออกไปอังที่หน้าผากของซย่าโหวจวินอวี่
“ร้อนจัง ท่านจับไข้หรือเปล่า”
“เจ้านะสิจับไข้!”
ซย่าโหวจวินอวี่โพล่งขึ้นมาอย่างอดรนทนไม่ไหว
“ข้ากำลังพูดเรื่องเป็นงานเป็นการกับเจ้าอยู่นะ เจ้าอย่าเบี่ยงประเด็นได้ไหมเล่า!”
“สรุปก็คือ เรื่องนี้ให้ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน!”
“แล้วเจ้าก็จะต้องฟังข้า!”
“เรื่องอื่นข้าให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจ ยกเว้นเรื่องนี้ไม่ได้! สามร้อยคนเจ้าว่ามากเกินไป เช่นนั้นให้เจ้าหนึ่งร้อยคน! เอาละ! ข้าพูดจบแล้ว เจ้าไสหัวไปได้…”
ซย่าโหวจวินอวี่ไม่พูดเปล่ายังเขวี้ยงพู่กันไล่หลังซย่าโหวฉิงเทียนไปอีกด้วย ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังว่องไวหลบได้ทัน ท่วงทีทั้งยังก้มลงเก็บพู่กันที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วก็ ‘กร็อบแกร๊บ’ หักมันออกเป็นสองท่อน
‘แท่งที่สิบหกของเดือนนี้แล้ว!’
เซี่ยงจินตระกองถือเศษพู่กันเอาไว้ในมือ แล้วพร่ำอยู่ในใจ
เซี่ยงจินติดตามฮ่องเต้มานาน ได้เห็นฮ่องเต้ทรงคิดแผนการรับมือกับคนโฉดชั่วมากมาย ด้วยความสุขุมนุ่มลึกสีหน้าเรียบเฉยไม่มีเปลี่ยนแปลง
เว้นแต่เมื่อเผชิญหน้าหลินเจียงอ๋องเพียงคนเดียว ที่ทำให้ฮ่องเต้ทรงสูญเสียการควบคุม กระทำในสิ่งที่เกินความคาดหมายที่น่าตกใจออกมา
แต่ก็คงมีเพียงตอนนี้ ที่จะได้เห็นซย่าโหวจวินอวี่แสดงออกในมุมที่อบอุ่นใกล้ชิดที่สุดออกมา
“ได้ ข้าไสหัวไป…”
ในใจซย่าโหวฉิงเทียนกำลังนึกถึงเรื่องเล่าที่ว่า ‘แต่งตัวหลากสีสันเพื่อให้บิดามารดาบันเทิงใจ ในสมัยชุนชิว’ ที่อวี้เฟยเยียนเล่าให้ฟัง ก็มองไปที่ซย่าโหวจวินอวี่แล้วเริ่มโค้งหลัง ทำท่าทางที่ฮ่องเต้ทรงคาดไม่ถึงออกมา
เพราะเขาม้วนตัวเองให้กลายเป็นก้อนแล้ว ‘กลิ้ง’ ออกไปต่อหน้าซย่าโหวจวินอวี่จริงๆ
“พรวด…”
ซย่าโหวจวินอวี่ที่กำลังดื่มชาให้ชุ่มคออยู่นั้น ยังไม่ทันได้หายใจหายคอก็ต้องตกใจการกระทำของลูกชายเสียจนพ่นน้ำชาออกมาเต็มหน้าเซี่ยงจิน
ลูกคนนี้ คงจะไม่เอ๋อไปแล้วใช่ไหม!
ฮ่องเต้ทรงตกพระทัยเป็นอย่างมาก ทรงรีบแล่นตามออกไปทันที
ซย่าโหวฉิงเทียนกลิ้งหลุนๆ ออกไปจนกระทั่งถึงหน้าประตูแล้วค่อยหยุด ขณะที่เขาลุกยืนขึ้นแล้วปัดฝุ่นดินที่ติดตามร่างของตนออกไปนั่นเอง ซย่าโหวจวินอวี่ก็เดินตามมาคว้าแขนของเขาเอาไว้ แล้วกล่าวถามเสียงสั่นเครือด้วยความร้อนใจสีหน้าเป็นกังวล
“ฉิงเทียน เจ้าเป็นอะไรไป”
“ข้าสบายดี! เมื่อครู่ท่านให้ข้าไสหัวไป ข้าก็ไสหัวไปจริงๆ ก็เพื่อให้ท่านบันเทิงเริงใจ!”
ได้ฟังคำของซย่าโหวฉิงเทียน ซย่าโหวจวินอวี่ก็แทบน้ำตาไหลอาบแก้ม
มีเด็กดื้อที่ไหนที่ซื่อตรงเช่นเจ้าบ้าง
ให้เจ้าไสหัวไปเจ้าก็ไสหัวไปจริงๆ นะหรือ!
จวบจนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนเล่าเรื่อง ‘แต่งตัวหลากสีสันเพื่อให้บิดามารดาบันเทิงใจ’ ให้เขาได้ฟังหนึ่งรอบ ซย่าโหวจวินอวี่ก็ถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่จึงโบกไม้โบกมือไล่ให้เขากลับไปทันที
“เจ้าไปเถอะ! รีบไปเลยนะ!”
ซย่าโหวจวินอวี่รีบกลับหลังหัน ดวงตาแดงก่ำ
เจ้าลูกคนนี้ ชอบทำอะไรทั้งโง่เขลาและซาบซึ้งอยู่เรื่อย และมันช่างท้าทายหัวใจดวงนี้ของข้ายิ่งนัก!
“ข้าไปจริงๆ แล้วนะ!”
“ไสหัวไป!”
ซย่าโหวจวินอวี่ตะเพิด หลังตะเพิดคำว่าไสหัวออกไปเสร็จก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้การละเดี๋ยวลูกชายจะพาซื่ออีก จึงรีบแก้ไขใหม่ว่า
“เจ้ารีบกลับออกไปจากวัง! ไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
รอจนกระทั่งซย่าโหวฉิงเทียนกลับออกไปแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ถึงได้ยกมือขึ้นแล้วใช้ชายเสื้อซับที่ดวงตา
“ฝ่าบาท ทรงกันแสง…”
เซี่ยงจินลูบน้ำชาที่เปรอะเปื้อนไปหน้าออกไป แล้วรีบส่งผ้าเช็ดหน้าให้กับซย่าโหวจวินอวี่ทันที
“เหลวไหล! ข้าเพียงแค่ฝุ่นเข้าตาเท่านั้น!”
ซย่าโหวอจวินอวี่จะไม่ยอมรับเด็ดขาดว่าตนเองซาบซึ้งลูกชายจนร้องไห้ออกมา
เขามีลูกสาวลูกชายไม่มาก แต่คนที่ได้ดั่งใจมากที่สุดเห็นทีจะมีซย่าโหวฉิงเทียนเพียงคนเดียว
เหตุผลไม่ใช่เพียงแค่เขาคือลูกชายที่เกิดกับหญิงอันเป็นที่รักที่สุดเท่านั้น
แต่เหตุผลส่วนใหญ่มาจากตัวซย่าโหวฉิงเทียนเอง
ลูกคนนี้ นำพาความวุ่นวาย ความสุขมาให้กับเขามากมาย และแม้กระทั่งในหลายครั้ง ซย่าโหวฉิงเทียนจะทำให้เขาโมโหจนควันออกหูก็ตามที…
แต่มีเพียงช่วงเวลาที่ได้อยู่กับซย่าโหวฉิงเทียนเท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกได้จริงๆ ว่าตนเองเป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง เป็นเพียงพ่อคนธรรมดาๆ เท่านั้น
ใกล้ถึงวันแต่งงานเข้าไปทุกที และตามขนบธรรมเนียมประเพณีของต้าโจวแล้ว เจ้าสาวมิอาจออกไปไหนมาไหนให้ใครเห็นได้ตามอำเภอใจ อีกทั้งยังมิอาจพบหน้าเจ้าบ่าวได้
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม เช่นนั้นแล้วอวี้เฟยเยียนจึงเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในจวนสกุลอวี้
แต่การเก็บตัวอยู่แต่ในจวนก็มีหลายสิ่งหลายอย่างให้นางทำมากมาย เช่น ฝึกซ้อมกองกำลังทหาร ทรมานท่านลุงสามเล่นสักหน่อย ดูแลท่านป้าสาม…สรุปก็คือ อวี้เฟยเยียนมีงานมากมายยิ่งนัก
ในเช้าตรู่ของวันนี้ อวี้จิงเหลยเรียกอวี้เฟยเยียน อวี้เชียนเสวี่ย และมู่เหนียนซีมาพร้อมกันที่ห้องหนังสือ
“นี่เป็นสมบัติทั้งหมดของสกุลอวี้!”
อวี้จิงเหลยชี้ไปที่กิจการร้านค้า บ้านเรือน ที่ดินตลอดจนตั๋วเงินต่างๆ และอื่นๆ
“ส่วนหนึ่งให้เยียนเอ๋อร์เมื่อถึงเวลาแต่งงานออกเรือน ส่วนที่เหลือเป็นของเชียนเสวี่ยและซิงฉง “
จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนได้เห็นทรัพย์สินที่ผู้เป็นปู่เตรียมมอบให้กับนางแล้ว จึงพบว่ากิจการร้านค้าต่างๆ และที่ดินส่วนใหญ่ตกเป็นของนาง นางจึงรีบเอ่ยปากคัดค้านทันที
“ท่านปู่ ท่านให้ข้ามากเกินไปแล้ว!”
“พี่ใหญ่ก็ยังไม่ได้แต่งงาน ส่วนท่านลุงสามก็ยังต้องเลี้ยงลูกอีก!”
อวี้จิงเหลยลงมือแบ่งทรัพย์สิน ซึ่งสมบัติส่วนใหญ่ยกให้กับอวี้เฟยเยียนเต็มๆ กว่าเจ็ดในสิบส่วนเลยก็ว่าได้