ผู้โดยสารคนสุดท้าย
เฉินเกอแอบกระซิบกับถังจวินให้เขาเปลี่ยนป้ายสุดท้าย ตอนที่พวกเขาถึงเมืองหลี่ว่าน รถจะมุ่งหน้าไปยังเขตที่พักอาศัยที่ฟ่านฉงอยู่ หลังจากพวกเขาตกลงกันได้แล้ว เฉินเกอก็เดินกลับไปยังที่นั่งของตัวเองที่ท้ายรถ ตอนที่เขาผ่านชายหน้ายิ้ม ความหนาวยะเยือกก็เหมือนจะแผ่ออกจากหัวใจของเขา
พอหันกลับไปมอง หน้ายิ้มนั่นก็กำลังมองมายังเฉินเกอด้วยดวงตาที่มีม่านตาสีเทาคู่นั้น
“ดูเหมือนว่าเขามีเรื่องจะบอกฉันเยอะเลย ทำไมเขาถึงไม่แค่ย้ายรองเท้าส้นสูงคู่นั้นออกไปห่าง ๆ หากไม่ชอบมันขนาดนั้น? ทำไมมันถึงดูเหมือนว่าเขาไม่อยากกระทั่งจะแตะรองเท้าคู่นั้น? เป็นไปได้ไหมว่ารองเท้าคู่นั้นมีคำสาปอะไรอยู่?”
ขณะที่เฉินเกอกำลังพึมพำกับตัวเอง เขาก็เก็บคำพูดเหล่านั้นเอาไว้ไม่ให้หลุดจากปาก จากท่าทีของชายหน้ายิ้ม บางทีอาจจะมีคำสาปติดอยู่กับรองเท้าคู่นั้นจริง ๆ
“โอ้ ดีเลย ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็แตะต้องมันไปแล้ว ถ้าสถานการณ์เลวร้ายลง ฉันก็แค่ต้องเหวี่ยงรองเท้าคู่นั้นใส่เงานั่นตอนที่ฉันเจอมันเข้า” เฉินเกอไม่สนใจเรื่องคำสาปมากนัก อย่างไรเสีย เขาก็ได้รับจดหมายรักต้องสาปมาแล้วตอนที่ได้รับโทรศัพท์เครื่องดำมา คำสาปไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น– สิ่งที่น่ากลัวก็คือผีที่อยู่เบื้องหลังคำสาปต่างหาก
พอกลับไปที่ที่นั่งแล้ว เฉินเกอก็เลิกท้าทายชายหน้ายิ้ม เขาเอื้อมมือเข้าไปในกระเป๋าและมองออกไปนอกหน้าต่าง ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ด้านนอกหน้าต่างก็มีแต่ความมืด ไม่ช้า รถเมล์ก็มาถึงป้ายสุดท้ายก่อนที่จะไปถึงเมืองหลี่ว่าน
ประตูเปิด และก็มีเสียงโซ่ลั่นดังผ่านสายฝนมา มือคู่หนึ่งที่ชุ่มไปด้วยน้ำฝนจนซีดขาวเอื้อมเข้ามาในรถจับราวจับเอาไว้ น้ำฝนไหลลงมาตามนิ้วของชายคนนั้น และก็มีเสียงหัวเราะแหลมสูงประหลาดดังสลับกับเสียงโซ่ลั่น ตอนที่ใบหน้าของผู้โดยสารทั้งหมดหันไปทางประตูหน้า ใบหน้าหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ทางเดิน
ใบหน้านั้นงดงามมาก ใคร ๆ ก็สามารถมองเห็นได้ว่าเขาเคยมีใบหน้าหล่อเหลาเพียงใดหากมองข้ามรอยแผลยาวลึกจากปลายหางตาซ้ายไปจรดมุมปากได้ จากไกล ๆ มันดูเหมือนชายคนนี้มีปากสองปาก หนึ่งนั้นในแนวนอน และอีกหนึ่งในแนวตั้ง
รอยแผลนั้นดูเหมือนเพิ่งได้รับมาไม่นาน แผลยังไม่หายดี และเมื่อโดนฝน บาดแผลก็เริ่มดูเหมือนจะอักเสบและมีหนอง ริมฝีปากบางขยับเปิดอย่างช้า ๆ เขาแลบลิ้นเลียไปที่ขอบแผลที่อยู่เหนือริมฝีปากเขาพอดี เขาดูเจ็บปวด แต่ก็น่าแปลก เขาทำเหมือนเขามีความสุขกับความเจ็บปวดนี้
“คราวนี้เป็นคนบ้าแบบไหนอีก?” เฉินเกอสรุปได้หลังจากเหลือบมองผู้โดยสารคนสุดท้ายแวบหนึ่ง
ผู้ชายคนนี้ดูจะชื่นชอบความสนใจที่เขาได้รับ เขาใช้ปลายนิ้วเสยผมที่ยุ่งเหยิงจากน้ำฝน ปลายนิ้วนั้นขาวอยู่แต่แรกก่อนที่จะจัดผม แต่หลังจากจัดผมแล้ว ปลายนิ้วนั้นก็ย้อมเป็นสีแดง ดูเหมือนว่าบนศีรษะของชายคนนี้จะมีแผล หรือบางทีอาจจะมีเลือดแห้งแข็งตัวอยู่บนเส้นผมของเขา
“น่าสนุกอะไรขนาดนี้?” ผู้โดยสารคนใหม่นั้นบ้าคลั่งเสียยิ่งกว่าที่เฉินเกอคิดเอาไว้ สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากขึ้นมาบนรถก็คือท้าทายชายหน้ายิ้ม เขาดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงอันตรายอะไรเลย และลูกตาโปน ๆ ของเขาก็จ้องไปยังชายคนที่มีรอยยิ้มแขวนเอาไว้บนหน้าอย่างถาวรทั้งที่มันเห็นได้ชัดเจนว่าเขาไม่ได้อารมณ์ดีอะไร
“ชายคนนี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนเนี่ย?” เพราะความสนใจในรายละเอียดของเขา เฉินเกอสังเกตเห็นส่วนหนึ่งของบาดแผลบนใบหน้าของชายคนนั้นนั้นเริ่มเป็นหนองแล้ว และส่วนที่เหลือก็เริ่มตกสะเก็ด ดังนั้น ด้วยการสังเกตนี้ เขาเชื่อว่าคนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ทำไมคนเป็นถึงจงใจท้าทายชายหน้ายิ้มคนนั้น? เป็นความกล้าจากความไม่สนใจอะไรหรือว่าเขาแอบซ่อนไพ่ตายอะไรเอาไว้?
ผู้ชายหน้ายิ้มคนนั้นกำลังกรุ่นโกรธจากการท้าทายของเฉินเกอ และตอนนี้ ก็ยังถูกชายอีกคนหนึ่งรนหาที่ตายด้วยการคุกคามเขา เส้นสีดำในม่านตาของเขาเริ่มคืบคลานเหมือนหนอน และรอยแผลแคบยาวบนริมฝีปากของเขาที่อาจจะนับเป็นรอยยิ้มได้นั้นยิ่งเปิดกว้างขึ้นอีก
ทุกคนรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว… นอกจากผู้โดยสารคนใหม่ อันที่จริง เขายังแสดงความไม่เป็นมิตรออกมาด้วยการชี้ไปยังรอยแผลบนหน้าตัวเอง “แกพยายามลอกเลียนแบบฉันอยู่เรอะ?”
หลังจากเขาขึ้นมาบนรถเมล์ ผู้โดยสารที่เหลือก็พบว่าผู้โดยสารคนใหม่นี้นั้นเปรอะไปด้วยเลือด และเขายังถือกรรไกรเล่มหนึ่งที่ยาวประมาณสามสิบเซนติเมตรเอาไว้ในมือซ้ายขณะที่ลากกระเป๋าเก่า ๆ ที่ยังมีเลือดซึมออกมาด้วยมือขวา
“ฆาตกร?” เฉินเกอมองชายคนนั้น และยิ่งมองเขาก็ยิ่งสงสัย ผู้โดยสารสวมเสื้อยืดสีขาว ถ้าเขาเพิ่งก่อเหตุฆาตกรรมมาด้วยอารมณ์ชั่ววูบ การกระทำผิดของเขาก็เป็นที่เข้าใจได้ แต่เขากลับดูใจเย็นจนเกินไปในการทำเรื่องเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการฆาตกรรมที่ผ่านการไตร่ตรองเอาไว้ก่อน แต่ทำไมคนที่ยังคงรักษาสติเอาไว้ได้กระทั่งหลังจากลงมือฆ่ากลับเลือกสวมเสื้อสีขาวที่หากเปื้อนเลือดจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดด้วย?
มันจะเป็นเหตุเป็นผลกว่าไหมหากจะเลือกสวมเสื้อผ้าสีเข้มที่อำพรางร่องรอยได้ดีกว่า?
“งานอดิเรกของเขางั้นเหรอ? ผู้ชายคนนี้เป็นฆาตกรก่อเนื่อง?” นี่น่าจะเป็นคำอธิบายที่มีเหตุผลแล้ว ผู้ชายคนนี้นั้นต่างไปจากฆาตกรส่วนมาก ดังนั้นจึงไม่สามารถอธิบายสิ่งอันไม่เป็นเหตุเป็นผลที่เขาทำได้
“แต่ก็ยังมีบางอย่างที่มันดูไม่ถูกต้อง” ดวงตาของเฉินเกอขยับไปยังแขนของผู้ชายคนนั้น กรรไกรหนึ่งเล่มนั้นเป็นอาวุธที่แปลกสำหรับฆาตกรสักคนจะใช้ ไม่ใช่ว่าขวานหรือว่ามีดทำครัวจะใช้การตามจุดประสงค์ได้ดีกว่าเหรอ?
จากนั้นเขาก็หันไปสนใจกระเป๋าที่ชายคนนั้นลากมาด้วย กระเป๋าใบนั้นชุ่มไปด้วยน้ำฝน และเลือดก็ไหลซึมออกมาจากข้างในนั้น ถ้ากระเป๋านี้มีชิ้นส่วนมนุษย์อยู่ เลือดย่อมไม่ซึมออกมาจากด้านบนกระเป๋าแต่ควรจะนองอยู่ที่ก้นกระเป๋า นอกจากนี้ เลือดของมนุษย์จากชิ้นส่วนร่างกายมักจะแข็งตัว และไม่ไหลออกมาเหมือนน้ำพุเช่นนี้ ดังนั้น สำหรับเฉินเกอแล้ว มันเหมือนว่ากระเป๋านี้ไม่ได้ใส่ชิ้นส่วนร่างกายอะไรเอาไว้แต่ว่าน่าจะยัดทั้งร่างที่ยังมีเลือดไหลออกมาเอาไว้ในกระเป๋า
น่าจะเป็นไปได้ที่สุดแล้ว เฉินเกอใช้เวลาไปมากทีเดียวกับฆาตกรบ้าคลั่งเขาถึงสามารถมองรายละเอียดเหล่านี้ออกได้ในระยะเวลาอันสั้น
“ฉันถามอีกครั้งนะ แกพยายามลอกเลียนแบบฉันเหรอ?” ความท้าทายในน้ำเสียงของผู้โดยสารคนใหม่นั้นทำให้สิ่งที่เฉินเกอทำก่อนหน้านี้ดูจืดจางไปเลยเมื่อเทียบกัน กระทั่งเขาเองก็ยังไม่ได้พูดออกไปตรง ๆ เช่นนี้ตอนที่พยายามแกว่งเท้าหาเสี้ยนเมื่อครู่– เขาเพียงแค่เอาผีอีกตนไปวางไว้ใกล้ ๆ ชายหน้ายิ้มเท่านั้น เขาไม่ได้ปรามาสชายหน้ายิ้มไม่ว่าด้วยกริยาหรือว่าคำพูด
ความอดทนของชายหน้ายิ้มนั้นลดลงไปทีละน้อย เส้นสีดำคืบคลานออกจากดวงตาของเขาและไต่ลงไปตามแก้มของเขา
“แกเป็นใบ้เหรอ? ฉันถามแกอยู่นะ!” ผู้โดยสารคนใหม่ยังคงกดดันต่อไป เขาไม่ได้มีความหวาดกลัวให้เห็นเลยสักนิด เขากางกรรไกรออกให้เห็นคมและเดินตรงไปหาชายหน้ายิ้ม “ให้ฉันเดานะว่าทำไมแกถึงขึ้นรถคันนี้ตอนเที่ยงคืน…”
ตอนที่เขาก้มหน้าลงทำเป็นคิดนั้น เขาก็เห็นรองเท้าส้นสูงสีแดงที่อยู่ข้าง ๆ ชายหน้ายิ้ม จากนั้นเขาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไร เขาเอื้อมมืออกไปคว้ารองเท้าคู่นั้นขึ้นมา “แกจะไปตามหาเมียเหรอ?”
ตอนที่ผู้โดยสารคนใหม่พูดอย่างนั้น รอยยิ้มบนหน้าของชายหน้ายิ้มก็ดูแข็งทื่อไป และนั่นก็ทำให้สีหน้าของเขาประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ เขาเลิกโกรธผู้โดยสารคนใหม่ เขามองไปยังรองเท้าส้นสูงสีแดงและสวมรอยยิ้มประหลาดเอาไว้ขณะกลับไปยังที่นั่งตนเอง
“ดูเหมือนฉันจะพูดถูก” คำพูดของผู้โดยสารคนใหม่นั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เขาห้อยรองเท้าคู่นั้นเอาไว้บนปลายกรรไกรขณะวางมันลงที่เดิม “ฉันจะปล่อยแกไปเพราะความจงรักภักดีในความรักของแก”
มันเหมือนว่าเขาหาข้ออ้างให้ตัวเองหนีจากชายหน้ายิ้มมากกว่า หลังจากนั้น เขาก็ลากกระเป๋ามุ่งหน้าไปตามทางเดิน แต่เขาเพิ่งก้าวไปได้ก้าวเดียวตอนที่เกิดเรื่องประหลาดขึ้น
หลังจากเขาเดินไปก้าวแรก ก็มีเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้น มันเหมือนคนเดินตามเขามา พอหันกลับไปดู รองเท้าส้นสูงสีแดงก็ยังอยู่ที่เดิม
ผู้โดยสารคนใหม่ที่แสนดื้อรั้นก็เดินไปอีกสองก้าว และพอเขาก้าวเท้า ก็มีเสียงรองเท้าดังตามมา
“รองเท้ายังอยู่ที่เดิม แต่ทำไมถึงมีเสียงดังมาได้? ที่ตามฉันมาคืออะไรกัน?”
บางทีอาจจะเพราะความวิตกกังวลของเขา ผู้โดยสารคนใหม่พูดความคิดของตัวเองออกมา และเขาก็ดูต่างไปจากชายกล้าหาญที่ข่มขู่ชายหน้ายิ้มเมื่อครู่นี้
เฉินเกอที่คอยสังเกตอยู่ด้านหลังเห็นทุกอย่าง ชายหน้ายิ้มอาจจะวางแผนจบชีวิตชายคนนี้อยู่ แต่พอเขาหันไปล่วงเกินรองเท้าส้นสูงสีแดง รองเท้าส้นสูงก็ตัดสินใจจะลงมือกับชายคนนี้ก่อนที่ชายหน้ายิ้มจะทันลงมือ
“ชายคนนี้ไร้ประสบการณ์เกินไปแล้ว ฉันชื่นชมความงามของรองเท้าและยังทำให้แน่ใจว่าได้ชื่นชมรสนิยมของเจ้าของก่อนที่จะไปจัดการกับชายหน้ายิ้ม” เฉินเกอถอนหายใจ แต่จากนั้นก็เกิดบางอย่างที่ไม่ได้คาดคิดขึ้น หลังจากผู้โดยสารคนใหม่ไม่สามารถจัดการกับเสียงรองเท้าส้นสูงได้ เขาก็มุ่งหน้าตรงมาทางเฉินเกอและหมอที่นั่งอยู่ที่ด้านหลังรถ