ป้ายถัดไป เมืองหลี่ว่าน

*ทำไมเขาถึงเดินตรงมาทางพวกเรา?*เฉินเกองุนงงกับการกระทำของชายคนนี้ เดี๋ยวก่อนนะ เขาวางแผนจะล่วงเกินผู้โดยสารทุกคนบนรถเมล์นี่อย่างน้อยคนละครั้งหรือ? ฉันไม่คิดว่านั่นจะเป็นความคิดที่ดีนะเพื่อน

เป็นธรรมดาที่ผู้โดยสารจะไม่ได้ยินความคิดของเฉินเกอ เมื่อไหร่ก็ตามที่รองเท้าของเขากระทบกับพื้น ก็จะมีเสียงฝีเท้าสองคู่ คู่หนึ่งอยู่ด้านหลังอีกคู่หนึ่ง พูดให้ดูดีที่สุดก็คือมันค่อนข้างหลอนทีเดียว

เฉินเกอเริ่มกระสั่บกระส่ายเมื่อชายคนนี้เดินตรงมาทางท้ายรถ อย่างไรเสีย ชายคนนี้ก็นำเอาคำสาปของรองเท้าส้นสูงสีแดงมากับเขาด้วย เขาขยับตัวให้ลึกเข้าไปในเบาะที่นั่ง มันไม่ใช่ว่าเขากลัว แต่เขาแค่ไม่อยากถูกลากเข้าไปในปัญหาที่เขาไม่ได้ก่อ ผู้โดยสารคนนั้นสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวเงียบ ๆ ของเฉินเกอ ดวงตาของเขามองสลับไปมาระหว่างเฉินเกอและหมอ และในที่สุด รอยยิ้มกวนอารมณ์นั่นก็มาตกลงที่เฉินเกอ

“แกกลัว” น้ำเสียงนั้นมั่นใจ ดวงตาไร้ความรู้สึก และริมฝีปากของผู้โดยสารคนใหม่ก็โค้งขึ้นเหมือนเขาควบคุมทุกอย่างเอาไว้แล้ว เหมือนไม่มีสิ่งใดในยานพาหนะคันนี้รอดพ้นสายตาของเขาไปได้

“ก็นิดหน่อย” เฉินเกอยอมรับอย่างไม่อาย

“ยิ่งแกกลัว เรื่องแย่ ๆ ก็จะยิ่งเกิดขึ้นกับแก” ผู้โดยสารคนใหม่ดูตัดสินใจเลือกที่นั่งได้แล้ว เขาถือกรรไกรและกระเป๋าเอาไว้ในมือเดียวขณะที่มือข้างที่ว่างนั้นคว้ากระเป๋าสองใบของเฉินเกอเอาไว้

เขาไม่ได้ลงมือกับเฉินเกอแต่กลับเล็งไปที่สัมภาระของเฉินเกอแทน นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินเกอเจอกับคนเช่นนี้ เขาขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว สงสัยว่าผู้โดยสารตนนี้สามารถมองเห็นกลุ่มของผีที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋าของเขาใช่ไหม

แต่ว่า สองวินาทีให้หลัง เฉินเกอก็โยนความสงสัยนั้นออกไปจากใจ ผู้โดยสารคนใหม่นั้นคว้าสายกระเป๋าเอาไว้แน่นและพยายามยกมันขึ้นพร้อมรอยยิ้มประหลาดบนหน้า และเกินกว่าที่ผู้โดยสารอื่น ๆ จะคิดเอาไว้ กระเป๋ากลับไปขยับเลยสักนิด ผู้โดยสารที่ดูก้าวร้าวมากผู้นี้กลับไม่สามารถยกกระเป๋าของเฉินเกอได้ด้วยมือเดียว

“เหอเหอ” หลังจากหัวเราะ ผู้โดยสารคนใหม่นี้ก็พยายามอีกครั้ง กล้ามเนื้อบนแขนของเขาปูดนูน และมันก็เหมือนเขาใช้แรงทั้งหมดที่มีถึงจะยกกระเป๋าของเฉินเกอขึ้นแล้วโยนมันไปบนพื้นได้

ปัง!

กระเป๋าหนักมาก พอตกลงพื้นก็เกิดเสียงกระแทกดังลั่น

“ในกระเป๋ามีอะไรน่ะ?” ผู้โดยสารคนใหม่เพยิดคางและชี้ปลายกรรไกรไปยังดวงตาของเฉินเกอ

“ผมเป็นคนสร้างอุปกรณ์ประกอบฉากให้กับสวนสนุก กระเป๋านั่นเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ประจำของผม หรือเรียกว่าเป็นเครื่องมือหากินของผมก็ได้” เฉินเกอยกสองมือขึ้นเพื่อให้ชายคนนั้นพอใจ เขาเคยเห็นตำรวจทำแบบเดียวกันนี้ที่สถานที่เกิดเหตุเพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดอันไม่จำเป็น ความลื่นไหลของกริยาและความจริงใจในน้ำเสียงนั้นบ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉินเกอทำอะไรเช่นนี้

‘ความขี้ขลาด’ ของเฉินเกอนั้นทำให้ผู้โดยสารคนใหม่พึงพอใจมาก เขากวาดตามองทั้งคันรถ และชายหนุ่มที่ตรงหน้าเขานี้ก็ดูเหมือนจะรังแกได้ง่ายที่สุดแล้ว เขาแลบลิ้นออกมาแล้วพยายามเลียแผลตัวเองก่อนที่ในที่สุดจะนั่งลงที่ข้าง ๆ เฉินเกอ

เฉินเกอลดมือลงช้า ๆ หันหน้าไปมองที่ข้าง ๆ ตัว หลังจากได้ยินที่ผู้โดยสารคนใหม่พูด กระทั่งเขาเองก็คิดว่าผู้ชายคนนี้จะลงมือกับเขาแล้ว หรืออย่างน้อยที่สุด ก็เปิดกระเป๋าเขาดูข้างใน แต่ว่า มันกลับกลายเป็นว่า ผู้ชายคนนี้ดีแต่ปาก พูดแต่ไม่ทำ เขาไม่กระทั่งจะหาข้ออ้างให้ตัวเองและนั่งลงไปตรง ๆ เลย

“เอ่อ… คุณก็จะไปเมืองหลี่ว่านเหมือนกันเหรอ?” เฉินเกอนั้นรู้สึกตลกกับสิ่งที่ผู้โดยสารคนนี้ทำ สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากขึ้นมาบนรถก็คือท้าทายผู้โดยสารคนอื่น ๆ การกระทำและสีหน้าของเขานั้นเหมือนกับกลัวว่าคนอื่นจะไม่เห็นว่าเขานั้นเป็นฆาตกรบ้าคลั่ง

“ใครจะไปขึ้นรถเมล์คันสุดท้ายตอนเที่ยงคืนที่มีไว้ให้คนตายกันถ้าไม่ได้จะมุ่งหน้าไปเมืองหลี่ว่าน?” ผู้โดยสารคนใหม่มองเฉินเกอใกล้ ๆ มันน่าประทับใจสำหรับเขาที่ในผู้โดยสารทั้งหมดบนรถนั้น เฉินเกอดูปกติที่สุดและยังดูเป็นคนดีที่สุดด้วย

“รถเมล์ที่มีไว้ให้คนตาย…” คนที่เห็นอาจจะคิดว่าเฉินเกอนั้นเคยเรียนการแสดงมาก่อนได้เลยทีเดียวเพราะว่าเพียงแค่ดีดนิ้วครั้งเดียว เขาก็สวมบทบาทของคนที่กำลังหวาดกลัวได้ทันที เขาสูดลมหายใจที่ดูเหมือนจะเย็นจนหนาวลึก ๆ เหมือนกำลังพยายามเก็บกลั้นความกลัว แต่ว่าการกระทำของเขานั้นก็เผยอารมณ์ ‘ที่แท้จริง’ ของเขาออกมา ความกลัวแผ่ออกมาจากข้างใน ถึงแม้ว่าสีหน้าของเขาจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เขาก็ยังทำให้แน่ใจว่าขอบตาของเขากระตุกและลูกตากลอกไปมารอบ ๆ อย่างกระวนกระวาย

ผู้โดยสารคนใหม่นั้นพึงพอใจยิ่งกว่าเดิมกับปฏิกริยาของเฉินเกอ เขาชอบคนที่ ‘อ่อนแอ’ กว่าตัวเอง “แกชื่ออะไร?”

“ผมชื่อเฉินเกอ เป็นพนักงานในสวนสนุก แล้วคุณล่ะ?” เฉินเกอขดตัวลึกเข้าไปในที่นั่งเหมือนกลัวว่าคำถามของตัวเองจะไปล่วงเกินชายคนนี้เข้า ดังนั้นเขาจึงรีบเสริม “แต่คุณไม่บอกก็ไม่เป็นไรนะ ผมแค่ถามเผื่อเฉย ๆ”

“แกเรียกฉันว่ามือกรรไกรก็ได้ ฉันกำลังจะไปตามหาคนคนหนึ่งในเมืองหลี่ว่าน คนตายคนหนึ่งน่ะ” เฉินเกอไม่ได้ถามรายละเอียด แต่ว่าผู้โดยสารคนใหม่ก็เล่าเรื่องของเขาให้เฉินเกอฟังอย่างง่าย ๆ

“ผมเองก็กำลังไปที่นั่นเพื่อตามหาคนผู้หนึ่งเหมือนกัน เพื่อนคนหนึ่งของผมหายตัวไป และเงื่อนงำสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ให้ผมก็คือรถเมล์คันนี้ ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อจนกระทั่งผมเห็นรถเมล์นี่ปรากฏขึ้นต่อหน้า คุณไม่รู้หรอกว่าผมลังเลอยู่นานแค่ไหนก่อนที่จะรวบรวมความกล้าขึ้นมาบนรถนี่ได้…” คำอธิบายของเฉินเกอนั้นละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ และมันยังฟังดูคุ้น ๆ อย่างน่าประหลาดใจสำหรับคุณหมอที่นั่งอยู่ด้านหลัง เขาพบว่าเฉินเกอนั้นดัดแปลงเรื่องเล่าของเด็กนักเรียนมัธยมคนนั้นมาเป็นเรื่องของตัวเอง

“ดูเหมือนว่าฉันคงไม่ใช่คนเดียวที่มีประสบการณ์อย่างนั้น” รอยยิ้มบนหน้าของกรรไกรหุบลงช้า ๆ เขาดูเหมือนกำลังไตร่ตรองบางอย่าง และเมื่อเขาไม่ได้ตั้งใจแสดง สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ นี่เป็นสีหน้าของเขาในชีวิตปกติ

“พวกเราเหมือนกันทั้งหมด” เฉินเกอก้มลง ทำทีเป็นผูกเชือกรองเท้า ปลายนิ้วของเขาปัดผ่านรอยเลือดที่หยดลงมาบนรองเท้าของเขาตอนที่ผู้โดยสารโบกกรรไกรไปมา เฉินเกอถูปลายนิ้วเข้าด้วยกันและแอบขยับปลายนิ้วมาที่จมูก ประสาทสัมผัสของเขานั้นดีมาก ดีกว่าคนทั่วไป แต่ถึงจะอยู่ใกล้เพียงนี้เขาก็ยังไม่ได้กลิ่นของเลือดจาก ‘รอยเลือด’ นี่

นี่ไม่ใช่เลือดความสงสัยของเฉินเกอได้รับการยืนยัน โดยปกติแล้ว หากคนผู้หนึ่งแบกกระเป๋าที่เต็มไปด้วย ‘ชิ้นส่วนร่างกาย’ นอกเสียจากพวกเขาจะมีการเตรียมการพิเศษด้วยถ่านหรือว่าพลาสติกหุ้ม มันต้องมีกลิ่นเลือด

ผู้ชายคนนี้น่าจะไม่ต่างไปจากหมอ คนธรรมดาที่มุ่งหน้าไปยังเมืองหลี่ว่านเพื่อพบ ‘ความหวังสุดท้าย’ ของตัวเอง

เฉินเกอลองเอาตัวเองไปอยู่ในสถานะเดียวกับผู้โดยสารคนนี้ เขารู้ว่าบนรถคันนี้นั้นอันตราย และรู้ว่าปลายทางนั้นเต็มไปด้วยฆาตกรและผี ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแกล้งทำตัวเป็นหนึ่งในคนบ้าและเสียสติเหล่านี้

ถึงจะปลอมตัวเป็นหมาป่า แต่แกะก็คือแกะเฉินเกอมองปลายนิ้วบอบบางของชายคนนี้แล้วก็ส่ายหน้าเงียบ ๆ เขางึมงำอยู่ในใจ วิธีการที่เขาจับกรรไกร คนแรกที่เขาจะทำร้ายเมื่อต้องเผชิญอันตรายก็คือตัวเขาเอง เมื่อต้องหนีอย่างร้อนรน ไม่มีทางที่เขาจะยังรักษาความสงบเอาไว้จนจำได้ว่าที่ต้องแทงคือศัตรู ทางที่ดีนั้นควรจะจับกรรไกรที่ตรงจุดหมุนแล้วใช้มันแทงหรือทิ่ม

ผู้ชายคนนี้เรียกตัวเองเป็นมือกรรไกรที่เผยให้เห็นจุดอ่อนมากเกินไป คนทั่วไปอาจจะกลัวเมื่อเห็นรูปลักษณ์น่ากลัวและคำพูดที่ดูบ้าคลั่งของเขา แต่ไม่ใช่เฉินเกอ เขาเป็นเจ้าของบ้านผีสิง และจากมุมมองของมืออาชีพ ที่มือกรรไกรทำลงไปนี้ยังต้องพัฒนาอีกมาก

มือกรรไกรนี่ไม่ได้ดูน่ากลัวนัก ดังนั้นเฉินเกอจึงหันกลับไปสนใจผู้โดยสารคนอื่น ๆ พวกเขาจะไปถึงเมืองหลี่ว่านในไม่ช้า เขาปล่อยให้ผู้โดยสารเดินไปมาอิสระเกินไปไม่ได้ ก่อนที่แผนการจะเริ่มต้นขึ้น ความบังเอิญอีกอย่างก็เกิดขึ้นเสียก่อน– โทรศัพท์ในกระเป๋าเฉินเกอจู่ ๆ ก็สั่นขึ้นมา เฉินเกอใส่หูฟังและรับสาย เสียงของฟ่านต้าเตอดังมา

“บอสเฉิน! ผมเจอปัญหาเข้าแล้ว! เพราะว่าประตูห้องนั่งเล่นน่ะเปิดอยู่ ผมก็เลยออกไปดูข้างนอก มีแต่รอยเท้ามุ่งหน้าไปทางบันไดและไม่มีรอยไหนเลยที่ย้อนกลับลงมา เจ้าสิ่งนั้นน่าจะยังอยู่ในตึก! ผมควรจะออกไปจากที่นี่ตอนที่ยังทำได้ไหม?”

“มีแต่รอยเท้าเดินขึ้นไป?”

“ใช่ คืนนี้ดูมีบางอย่างไม่ถูกต้อง ทุกอย่างดูผิดที่ผิดทางไปหมด! บอสเฉิน คุณอยู่ไหนแล้ว? ผมไม่คิดว่าผมจะทนได้นานกว่านี้แล้ว!”

“รออยู่ที่นั่นอีกครู่นะ ผมจะไปถึงที่นั่นในไม่ช้าแล้ว!”