เมืองที่เรียกได้ว่าเป็นฝันร้าย

“บอสเฉิน ผมไม่คิดว่าผมจะอยู่ในบ้านไหวแล้ว ผมจะไปรอคุณที่ชั้นล่าง” ฟ่านต้าเตอตะกุกตะกักออกมา รอยเท้าบนบันไดทำให้เขาตระหนก และเสียงฝีเท้าก็ดังผ่านโทรศัพท์มา

“ไม่ต้องตื่นตระหนกไป เขาน่าจะยังแอบอยู่ที่บันได บอกผมสิว่ารอยเท้านั่นมีขนาดและรูปร่าง…” ก่อนที่เฉินเกอจะทันพูดจบ โทรศัพท์ก็ถูกตัด “พอคนผู้หนึ่งตกอยู่ในภาวะตื่นตระหนก พวกเขาก็มักจะทำเรื่องไร้เหตุผล แต่ฉันก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าฟ่านต้าเตอจะเป็นคนที่เป็นแบบนี้หรือเปล่า”

เฉินเกอเก็บโทรศัพท์ลงไปแล้วเก็บกระเป๋าขึ้นจากพื้น ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังถนนตรงหน้า “ป้ายหน้าคือเมืองหลี่ว่าน ฉันมาแล้ว แต่แกอยู่ไหนล่ะ?”

ความมืดและน้ำฝนปิดซ่อนทุกอย่างเอาไว้ ไม่มีใครบอกได้ว่ามีสัตว์ประหลาดที่มีชีวิตอยู่ในเงาจำนวนมากมายเท่าใดที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ไกลความเจริญ เมืองหลี่ว่านนั้นอยู่ข้างหน้านี่แล้ว!

คนขับ ถังจวิน เหยียบคันเร่ง รถเมล์เก่า ๆ พุ่งผ่านม่านฝนเร่งความเร็วขึ้น สายฝนกระทบกับหน้าต่าง และรถเมล์ก็สั่นอย่างรุนแรงจนเหมือนทั้งคันจะพังลงมาแล้ว แต่ว่า ไม่มีผู้โดยสารคนไหนบนรถสนใจเรื่องนั้น

เมื่อเงาเลือนรางปรากฏขึ้น ทุกคนก็กลั้นหายใจ สายฟ้าแลบวาบอยู่บนฟ้า และในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ท้องฟ้าสว่างขึ้นนั้นก็เพียงพอให้เห็นเงามากมายที่งุ่มง่ามอยู่ในความมืด และเงาเหล่านั้นก็สังเกตเห็นรถเมล์สาย 104 ที่แล่นฝ่ายสายฝนมาเช่นกัน

“พวกเราเกือบถึงที่นั่นแล้ว” หมอเป็นคนแรกที่ลุกจากที่นั่ง เขารับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของรถขนคนตายคันนี้ และมันก็ต่างไปจากปกติ เขาไม่คิดจะอยู่บนรถให้นานขึ้นสักวินาที

“เฮ้ พวกเราสามคนควรจะลงไปด้วยกัน” หมอกระซิบกับเฉินเกอและผู้ชายคนที่เรียกตัวเองเป็นมือกรรไกร “มีผู้โดยสารอีกคนด้านหน้าที่อันตรายมาก เมื่อพวกเราสามคนลงไปแล้ว พวกเราก็จะแยกกันไปคนละทาง ใครจะถูกไล่ตามก็ขึ้นกับโชคแล้ว”

ผู้โดยสารเหล่านี้ที่รอดชีวิตมาได้หลังจากขึ้นรถขนคนตายนั้นประมาทไม่ได้ ดังนั้นหมอจึงไม่คิดปิดบังแผนการและบอกกับคนอื่นอย่างเปิดเผย

ทั้งเฉินเกอและมือกรรไกรล้วนไม่พูดอะไร มือกรรไกรนั้นสงสัยว่านี่จะเป็นแผนการที่หมอวางเอาไว้– หมอพยายามแยกเขาออกและเขาจะได้ตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายขึ้น แต่ว่าเฉินเกอเองก็มีแผนการของตัวเอง เขาวางแผนจะขับรถต่อไปยังเขตที่พักของฟ่านฉงและพารองเท้าส้นสูงสีแดงกับชายหน้ายิ้มไปด้วยเพื่อลุยผ่านกับดักที่เงานั่นอาจจะวางเอาไว้ ช่วยฟ่านฉงที่มีข้อมูลสำคัญอยู่ในครอบครอง

ขึ้นรถเฉินเกอมานั้นมันง่าย แต่ว่าการจะกลับลงไปนั้นยาก จากอีกมุมหนึ่ง ใครก็บอกได้ว่ารถคันนี้นั้นอันตรายมากเทียบกับตอนที่มันยังทำงานอยู่ภายใต้เงานั่น

หมอเดินไปที่ทางออก มือจับราวบันไดเอาไว้ เขาได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับชายหน้ายิ้มมาก่อนและแผนการของเขาก็คือหาสถานที่ปลอดภัยซ่อนตัวหลังจากลงจากรถ รถเมล์นั้นขับเข้ามาในเมืองหลี่ว่านแล้วและพวกเขาก็ใกล้จะถึงป้ายรถเมล์เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้แล้ว หัวใจของหมอเต้นตุบ และกล้ามเนื้อแขนและขาของเขาก็ตึงเขม็ง เขาเตรียมตัวกระโจนลงไปทันทีที่ประตูเปิด

นั่นคือแผนการ แต่ว่าความจริงนั้นก็มีแผนการอื่นเหมือนกัน รถเมล์ไม่จอดตอนที่มันผ่านป้ายสุดท้าย มันไม่กระทั่งลดความเร็วลงและพุ่งผ่านไป

“มันไม่หยุด?” ลางสังหรณ์เลวร้ายผุดขึ้นในหัวใจของหมอ– เขารู้ว่ามีบางอย่างไม่ดีกำลังจะเกิดขึ้นในคืนนี้ รถเมล์ไม่หยุดที่ป้ายที่มันมักจะหยุดเป็นปกติ

นอกจากเฉินเกอแล้ว ผู้โดยสารทั้งหมดล้วนหันไปมองคนขับ ถังจวินที่อยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล ร่างกายเริ่มสั่น เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่เหมือนกัน– เขาแค่ทำตามที่เจ้านายของเขาสั่งลงมา

“เฮ้ ทำไมคุณไม่หยุดล่ะ? เฮ้!” จากครอบครัวสามคน ชายวัยกลางคนลุกขึ้นจากที่นั่น สีหน้าของเขาดูย่ำแย่ เด็กชายที่นั่งอยู่ข้างเขาก็โผล่หัวขึ้นมามองไปรอบ ๆ อย่างแอบ ๆ ด้วย เขาไม่ค่อยเข้าใจโลกของผู้ใหญ่ ทุกอย่างนั้นซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้อยู่เสมอ

“หยุดรถ! หยุดรถบ้า ๆ นี่เดี๋ยวนี้!” ชายวัยกลางคนกระทืบเท้าเดินไปทางที่นั่งคนขับ เมื่อเห็นอย่างนี้ เฉินเกอก็คว้ากระเป๋าแล้วเดินออกไป เขาก้มหน้าต่ำ และทุกคนก็คิดว่าเขาเองก็จะตรงไปหาคนขับอย่างไม่พอใจเช่นกัน เห็นเฉินเกอก้าวเท้าออกไป หมอก็ตัดสินใจตามหลังเขาไป– เขาอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

“แกได้ยินฉันหรือเปล่า?” ไม่ว่าชายวัยกลางคนจะตะโกนอย่างไร ริมฝีปากของคนขับก็หุบแน่น และใบหน้าของเขาก็ซีดขาวเหมือนทาแป้งเอาไว้ “ฉันจะบอกแกอีกครั้งนึงนะ! กลับรถเดี๋ยวนี้! อย่าขับต่อไปข้างหน้าอีกเด็ดขาด!”

ถังจวินไม่สนใจชายวัยกลางคนและตั้งสมาธิอยู่กับการขับรถ

“ถึงแกจะอยากตายก็อย่าลากพวกเราไป! พวกเราไปต่อไม่ได้แล้ว!” นี่น่าจะไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายวัยกลางคนมาที่เมืองหลี่ว่าน เขารู้มากกว่าที่เขาแสดงออกมา เขายกขาขึ้นและพยายามถีบเท้าของถังจวินอีกครั้งเพื่อเหยียบเบรก

“นี่เพื่อน คุณกำลังทำผิดอยู่นะ” ผู้ชายคนหนึ่งคว้าแขนชายวัยกลางคนเอาไว้แน่นหนา เฉินเกอลากเขากลับไปแล้วดันเขาไปข้าง ๆ ชายหน้ายิ้ม

“ปล่อยฉันไป! แกไม่รู้หรอกว่ามีอะไรรอพวกเราอยู่! รีบปล่อยฉันไปเร็ว ๆ!” ชายวัยกลางคนกรีดร้องและดิ้นรน ”หยุดรถ! อย่าไปต่ออีกเลย! นั่นไม่ใช่สถานที่ที่พวกเราไปได้!”

“ดูเหมือนว่าคุณจะรู้อะไรบางอย่าง ทำไมไม่เล่าให้พวกเราฟังเล่า?”

“หมอก หมอกสีเลือด พวกเราจะกลับออกมาไม่ได้เมื่อเข้าไปในนั้นแล้ว! เร็วเข้า หยุดเขา!” ใบหน้าของชายคนนั้นบิดเบี้ยวอย่างหวาดกลัว เขาร้องคำรามขณะพุ่งไปยังที่นั่งคนขับ แต่ก็ถูกเฉินเกอรั้งกลับมาอีกครั้ง

“หมอกอะไรกัน? คุณต้องอธิบายให้ชัดเจนกว่านั้น” เฉินเกอกำลังตั้งใจเค้นคำตอบจากชายวัยกลางคนตอนที่พบว่ารถแล่นช้าลง หมอแตะไหล่เขาเบา ๆ และเขาก็เงยหน้ามองไปยังทิศทางที่หมอชี้ไป

ภาพประหลาดรอเขาอยู่ ครึ่งหนึ่งของเมืองนั้นอยู่ในม่านฝนหนาหนัก แสงไฟทั้งหมดถูกความมืดและความสิ้นหวังกลืนกิน ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งนั้นแห้งสนิท แทนที่จะมีฝน กลับมีหมอกสีแดงหนาหนักลอยอยู่บนถนน อารมณ์ด้านลบต่าง ๆ เต้นเร่า

นี่คือ… โลกที่ด้านหลังประตู?

เฉินเกอนั้นมีประสบการณ์เข้าไปในโลกหลังประตูอยู่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นโลกที่ด้านหลังประตูในโลกจริงและยังหมอกเลือดมากมายระดับนี้

นี่ไม่น่าเชื่อเลย มันลอกแบบมาจากโลกที่ด้านหลังประตูได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

ความตกใจในใจของเฉินเกอนั้นไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ เมืองหลี่ว่านนั้นเหมือนถูกฉีกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งนั้นปกคลุมด้วยม่านฝน และอีกส่วนหนึ่งนั้นถูกหมอกสีเลือดกลืนกิน มันช่างน่าอัศจรรย์ที่โลกทั้งสองนี้แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง

นี่คือผลจากการที่ประตูหลุดออกจากการควบคุมเหรอ? เมืองถูกกลืนกิน และฝันร้ายกลายเป็นส่วนหนึ่งของความจริง?

ในค่ำคืนที่ฝนตก หลังเที่ยงคืน เมืองหลี่ว่านก็เผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันออกมา ระหว่างภารกิจระดับสามดาวก่อนหน้านี้ของเฉินเกอ โลกที่ด้านหลังประตูมักจะเป็นอาคารสิ่งก่อสร้างที่เต็มไปด้วยหมอกสีเลือด แต่ตรงหน้าเฉินเกอนี้เป็นครึ่งเมืองที่ถูกหมอกสีเลือดปกคลุมอยู่!

“อย่าไปต่ออีกเลย!” ถึงแม้ว่าเสียงของชายวัยกลางคนจะแหบแห้งจากการตะโกน รถเมล์ก็ไม่หยุด

ถังจวินเหลือบมองเฉินเกอผ่านกระจกมองหลัง เฉินเกอแอบส่งสัญญาณให้เขาขับต่อไปเมื่อหันหน้าหลบพ้นสายตาผู้โดยสารคนอื่น ๆ หลังจากได้รับคำสั่ง ถังจวินก็เลิกลังเลและเหยียบเท้าลงบนคันเร่ง

บอสใหม่ของเขานั้นภายนอกดูใจดีและสุภาพ แต่อันที่จริงแล้ว เขาเป็นคนบ้าที่บ้าคลั่งยิ่งกว่าเงานั่น เทียบกับหมอกสีเลือดแล้ว ถังจวินกลัวบอสของเขามากกว่า

รถเมล์เร่งความเร็วขึ้นโดยไม่บอกล่วงหน้า

เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นก้องอยู่บนรถ และชายหน้ายิ้มก็ผุดลุกขึ้นจากที่นั่งของเขาพร้อมรอยยิ้มที่ประทับอยู่บนใบหน้า แต่ทั้งสองคนก็ช้าเกินไปแล้ว

รถเมล์คันสุดท้ายสาย 104 พุ่งหัวเข้าไปในหมอกสีเลือดและแล่นไปตามถนนที่ถูกย้อมด้วยสีแดง!