เหตุผลของเหตุผล
หลังจากรถเมล์พุ่งเข้าไปในหมอกสีเลือด เสียงรองเท้าส้นสูงก็หายไปและสีหน้าของชายหน้ายิ้มก็แข็งค้างอยู่ เรื่องต่าง ๆ หลุดออกจากการควบคุมกระทั่งพวกผีก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะไปจบลงอย่างไร
สายฝนยังไหลลงไปตามหน้าต่างรถเมล์ เมื่อหมอกสัมผัสถูกตัวรถ มันก็เปลี่ยนไปเป็นเส้นเลือดเล็ก ๆ แนบตัวเองติดกับที่ด้านนอกรถ จากด้านนอก มันเหมือนรถเมล์เก่าคร่ำนี้กลายเป็นผืนผ้าใบใหม่ไป เมื่อหันกลับไปมอง ถนนที่พวกเขาเพิ่งผ่านมาก็ถูกหมอกสีเลือดกลืนกิน พวกเขาล้วนไม่สามารถกลับออกไปได้แล้วแม้ต้องการจะกลับออกไปก็ตาม
ที่นี่นั้นก็ยังต่างไปจากโลกที่ด้านหลังประตูของจริง ในหมอก ตึกต่าง ๆ ไม่ได้ถูกย้อมเป็นสีแดงไปทั้งหมด หากฉันเข้าใจไม่ผิด กระบวนการที่เกิดขึ้นที่นี่นั้นยังไม่สมบูรณ์นัก
ในฐานะคนที่ทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เฉินเกอนั้นใจเย็นเป็นที่สุด นิ้วของเขานั้นเกี่ยวหลวม ๆ อยู่กับกระเป๋าเสื้อ และเมื่อรถเมล์พุ่งเข้าไปในหมอกสีเลือด โทรศัพท์เครื่องดำก็สั่นอยู่หลายครั้ง
สถานการณ์อาจจะเปลี่ยนไปในนาทีไหนก็ได้ ดังนั้นเขาจึงยังไม่คิดที่จะดึงโทรศัพท์ออกมาดู เขาตัดสินใจรอจนกว่าเขาจะไปถึงสถานที่ปลอดภัยก่อน ตามทิศทางที่เฉินเกอสั่งไว้ก่อนหน้านี้ ถังจวินมุ่งหน้าไปยังบ้านของฟ่านฉง แต่ว่า เพราะเส้นเลือดที่รอบ ๆ ตัวรถ รถเริ่มช้าลง กระทั่งถังจวินเหยียบคันเร่งจนสุด ความเร็วก็ไม่เพิ่มขึ้นเลย
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” ผู้โดยสารทั้งหมดบนรถต้องการคำอธิบาย และความกดดันบนถังจวินก็เพิ่มมากขึ้น เขาทำตามคำสั่งของเฉินเกอ แต่ว่าตอนนี้ ความโกรธที่สั่งสมอยู่ของผู้โดยสารกลับมุ่งตรงมาที่เขา ถังจวินกำพวงมาลัยรถแน่น และกลัวจริง ๆ ว่าฟางหยวนจะทิ้งเขาเอาไว้
ในฐานะวิญญาณที่รู้จักแค่การขับรถเมล์ มันไม่คุ้มค่าจริง ๆ ที่จะเป็นศัตรูกับชายหน้ายิ้มและรองเท้าส้นสูงสีแดง รถช้าลงนั้นไม่ใช่ข่าวดีของถังจวินเลย เขาทำภารกิจที่บอสมอบให้ไม่สำเร็จ และตอนนี้เขาก็ยังต้องทนรับความเกรี้ยวกราดของผู้โดยสาร– เขาล่วงเกินผู้คนทั้งสองฝ่ายเลย
เขาไม่รู้แผนการของเฉินเกอและไม่เคยคิดจะถามถึง มันคงเป็นการโกหกแล้วถ้าจะบอกว่าเขาไม่รู้สึกสำนึกเสียใจสักนิดเลย
“แกคิดจะพาพวกเราไปที่ไหน?” ชายวัยกลางคนถาม ใบหน้าขุ่นเคือง เขาดิ้นหลุดจากมือเฉินเกอไปเหยียบเบรกอีกครั้ง คราวนี้ เฉินเกอไม่ห้ามเขา รถเมล์นั้นแล่นช้าอยู่แล้ว ดังนั้นเฉินเกอจึงไม่เห็นประโยชน์ในการรั้งชายวัยกลางคนเอาไว้
“หยุดรถเมล์บ้า ๆ นี่ซะ!” ชายวัยกลางคนเหยียบเบรกและเริ่มแย่งพวงมาลัย ด้วยสัญชาตญาณของคนขับรถ ถังจวินพยายามผลักเขาออกไป พวงมาลัยรถหมุนไปมาระหว่างการแย่งชิง และรถก็เลี้ยวออกจากถนน มุ่งหน้าไปยังที่กั้นขอบถนน
“ระวัง!” เฉินเกอร้องออกมาแล้วพุ่งเข้าไปผลักชายวัยกลางคนออกไปแล้วไปยืนแทนที่ ตอนที่พ้นจากสายตาของผู้โดยสารทั้งหมดเขาก็ให้สัญญาณถังจวินให้เปิดประตูแล้วลงจากรถไปให้เร็ว ถังจวินเข้าใจสัญญาณของเฉินเกอและตัดสินใจเชื่อเขาเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากเฉินเกอคุมพวงมาลัยได้ เขาก็กัดฟันผลักประตูด้านคนขับออกแล้วกระโดดลงไป
“เฮ้ นั่นคุณจะไปไหนน่ะ?” เฉินเกอร้องออกมาสุดเสียง เขากระทืบเท้าลงกับเบรก และก่อนที่รถจะหยุดนิ่ง เขาก็คว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วกระโดดตามคนขับรถไป
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ! เขาตะโกนลั่นขณะไล่ตามไป
“อย่าวิ่งตามเขาไป! กลับมาเร็ว!” หมอรู้ว่าอันตรายนั้นอยู่ทั่วไปในหมอกสีเลือด เขาต้องการรั้งเฉินเกอเอาไว้แต่ทำไม่ได้ หลังจากเลี้ยวที่ตรงมุม แม้ว่าเฉินเกอจะตะโกนบอกให้ถังจวินหยุด เขาก็กลับดึงเปิดกระเป๋าสะพายและดึงถังจวินกลับเข้าไปในหนังสือการ์ตูน
“อย่าไล่ตามเขาไป!” เสียงของหมอก้องอยู่ที่ด้านหลังเขา เฉินเกอวิ่งกลับไปที่รถ
“คนขับรถไปไหนแล้วล่ะ?” สีหน้าของชายวัยกลางคนคงบิดเบี้ยวไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“ผมไล่ตามเขาไม่ทัน นี่น่าจะเป็นการเตรียมการเอาไว้ก่อนแล้ว อย่างไรซะ เขาก็คงเตรียมทางหนีเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว” เฉินเกอเพิ่งพูดจบตอนที่ชายวัยกลางคนพุ่งเข้ามาคว้าคอเสื้อเฉินเกอเอาไว้ “ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของแก! ถ้าแกไม่มาหยุดฉันไว้ก่อนหน้านี้พวกเราก็จะไม่มาจบลงในสถานที่บ้า ๆ แบบนี้!”
“คุณโทษผมเหรอ? คุณรู้ไหมว่าก่อนหน้านี้รถแล่นเร็วแค่ไหน ถ้าระหว่างแย่งพวงมาลัยกันแล้วคุณกับคนขับสูญเสียการควบคุมรถไปแล้วมันชนกับตึกข้างทาง คุณรู้ไหมว่ามันจะอันตรายแค่ไหน?” เฉินเกอเองก็มีเหตุผลเหมือนกัน
“บ้า บ้า บ้าเอ๊ย!” ชายวัยกลางคนกระแทกกำปั้นเข้ากับรถ เขาขยุ้มผมตัวเองแน่นเหมือนกำลังจะทึ้งผมออกมาแล้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ”เพื่อหนีจากสิ่งเหล่านี้ ฉันเสียสละลูกสาวไปแล้ว และวันนี้ ฉันก็ยังพาลูกชายมาแล้วด้วย ดังนั้นนี่น่าจะเรียบร้อยแล้วแท้ ๆ แล้วดูสิ ดูว่าตอนนี้มันเกิดบ้าอะไร!”
“สละลูกสาวของคุณ?” คิ้วของเฉินเกอเลิกสูง เขาเคยเจอคนชั่วร้ายมากมายมาก่อน แต่แบบชายวัยกลางคนนี้… นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอกับคนเช่นนี้ อารมณ์ของชายวัยกลางคนนั้นพลุ่งพล่าน– เขาต้องการระบายความโกรธในใจออกไป และเฉินเกอที่ดูใจดีก็เป็นเป้าหมายของเขา ถ้อยคำไม่น่าฟังมากมายถูกพ่นออกมาจากปากเขา
ตรงกันข้ามกับชายวัยกลางคน เฉินเกอกลับยังดูสุภาพและน่านับถือ ดวงตาของเขาเบนจากชายวัยกลางคนไปยังเด็กชายที่ตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว มีรอยช้ำหลายรอยที่บนแขนของเด็กชาย เขาต้องการดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าเขาก็ไม่กล้าพอ เขาแอบมองมาเป็นครั้งคราวและรีบหดหัวลงไปเมื่อพบว่ามีคนมองมาทางเขา
“คุณทำอย่างนั้นกับเด็กชายตัวเล็ก ๆ น่ารักแบบนั้นได้ยังไง?”
“นี่ก็เพื่อประโยชน์ของเขาเอง ถ้าพวกเราไม่สามารถสลัดสิ่งนั้นออกไปได้ ทั้งครอบครัวของฉันก็จะตาย!” ยิ่งเขาพูด เขาก็ยิ่งโกรธ เขาคว้าคอเสื้อเฉินเกออีกครั้ง “ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของแก!”
“ถ้าคุณใช้ความสิ้นหวังของคนอื่นช่วยเหลือตัวเองขึ้นจากความสิ้นหวังของตัวคุณเอง คุณก็มีแต่จะจบลงด้วยความสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด มีเพียงการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุเท่านั้นที่คุณจะได้รับการอภัยอย่างแท้จริง” เฉินเกอสะบัดมือชายคนนั้นออกไป “นี่เป็นครั้งที่สองที่คุณดึงคอเสื้อผม ผมหวังว่าจะไม่มีครั้งที่สาม”
“มันไม่มีประโยชน์ที่พวกเราจะมาทะเลาะกันเองตอนนี้ มันจะเป็นประโยชน์กับพวกเรามากกว่าที่จะหาทางแก้ไข” หมอออกมาไกล่เกลี่ย ยืนอยู่ระหว่างชายวัยกลางคนและเฉินเกอ “มีคนสั่งให้คนขับรถจู่ ๆ ก็เปลี่ยนเส้นทางและขับเข้ามาในหมอกสีเลือดนี่ ผมเคยขึ้นรถคันนี้หลายครั้ง และไม่มีครั้งไหนที่เกิดเรื่องแบบนี้ คนขับรถนั่นเป็นแค่ลูกกระจ็อกตัวน้อย ๆ เท่านั้น ดังนั้นน่าจะมีคนอื่นออกมาจัดการกับพวกเรา”
การวิเคราะห์ของคุณหมอนั้นถูกต้อง แต่เพราะไม่มีข้อมูล ทิศทางการวิเคราะห์ของเขาจึงผิด “รถเมล์เที่ยวสุดท้ายสาย 104 นั้นวิ่งผ่านจิ่วเจียง เชื่อมตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน นี่เป็นการจัดการของผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังเมืองหลี่ว่าน ดังนั้น นี่น่าจะเป็นความตั้งใจของฝ่ายนั้นที่พวกเรามาติดอยู่ในหมอกเลือดนี่ มีโอกาสที่จะมีอะไรหรือว่าใครที่เขาต้องการอยู่บนรถคันนี้”
“คุณพูดถูก ผมก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน ต่อให้รถขนคนตายจะหยุดที่ป้าย คนที่บงการอยู่เบื้องหลังน่าจะมีวิธีการอื่นบังคับให้พวกเราเข้ามาในหมอกนี่อยู่ดี” เฉินเกอคว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วไปยืนอยู่ข้าง ๆ หมอ
“คนที่บงการอยู่เบื้องหลังเมืองหลี่ว่าน? คุณดูรู้เรื่องเยอะมากนะ” เห็นหมอออกมาพูดให้เฉินเกอ น้ำเสียงของชายวัยกลางคนอ่อนลงเพราะว่าเขามีจำนวนคนน้อยกว่า “ถ้าอย่างนั้น บอกฉันสิ คุณคิดว่าคนที่เรียกว่าคนบงการนี่ต้องการอะไร?”
“เขาน่าจะต้องการจัดการกับใครสักคนที่อยู่ที่นี่กับพวกเรา” ถ้อยคำของหมอทำให้หัวใจของเฉินเกอกระตุก แต่เมื่อเขาหันไปมอง เขาถึงได้พบว่าอันที่จริงแล้วหมอกำลังจ้องไปที่ชายหน้ายิ้ม
“ทุกคนในพวกเรานั้นมีความลับของตัวเอง อย่างผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างคุณ ครั้งหนึ่งเขาเคยสังหารผู้โดยสารทั้งคันรถมาก่อน ทำลายแผนการของคนบงการเบื้องหลังไป” ในเมื่อเขาคือเหตุผลให้ทุกคนถูกลากลงมาในเรื่องวุ่นวายนี้ หมอก็คิดว่ามันก็สมควรแล้วที่จะแฉชายหน้ายิ้ม
คอของชายหน้ายิ้มยืดยาวขึ้นมาทั้งที่ยังมีรอยยิ้มหลอน ๆ อยู่บนหน้า ดวงตาของเขาที่เต็มไปด้วยเส้นสีดำหันกลับไปมองหมอ “ฉันเคยฆ่าคนทั้งคันรถจริง ๆ รวมทั้งคนขับด้วย ไม่มีใครเหลือรอด แล้ว… แกรู้เรื่องนั้นได้ยังไงล่ะ?”