TQF:บทที่ 683  ผู้เป็นรักแรก (3)

 

เทพเซียน!

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ข้างๆตะลึงในใจ นางเพิ่งเคยเจอผู้ฝึกฝนวิทยายุทธระดับเทพเซียนครั้งแรก มองไปยังขันทีที่สุดแสนจะธรรมดาแล้วก็สยองอยู่ในใจไม่น้อย ถ้าหาเรื่องเขาเพราะคิดว่าเป็นขันทีธรรมดาๆละก็จุดจบต้องไม่สวยแน่

 

“แค่กๆๆ..”

 

ตาเฒ่าฮ่องเต้ที่ถูก 2 สาวงามเมินไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ จึงต้องแกล้งไอเพื่อเตือนทั้ง 2

 

สายตาของหยูเฮงน้อยหันไปทางเขาและเอ่ยอย่างประหลาดใจ “เอ๋ ตาเฒ่าฮ่องเต้ คอเจ้าก็ไม่ได้เป็นอะไรนี่ เจ้าไอทำไมน่ะ”

 

“…..” ฮ่องเต้แทบจะสะอึกตาย ได้แต่มองค้อนใส่ยัยหนูนี่

 

เห็นท่าทางฮ่องเต้ที่โกรธจนตาเหลือกเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็แอบตลก ก่อนจะย่อตัวลงนิดหน่อยให้กับผู้เฒ่าทั้ง 2 “เฉิงเสี่ยวเสี่ยวคารวะผู้อาวุโสทั้ง 2”

 

นางเห็นอีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสในฐานะผู้ฝึกฝนวิทยายุทธ ไม่ใช่ฐานะราชวงศ์

 

ตาเฒ่าฮ่องเต้แปลกใจนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย

 

ขันทีชราส่งยิ้มให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวนับว่าให้เกียรตินางแล้ว คนอื่นแค่จะได้เห็นหน้าเขาก็ไม่ง่ายนัก

 

“สวัสดีนะตาเฒ่าทั้ง 2” หยูเฮงน้อยประสานมือพลางกระพริบตาคู่สวย

 

“…..”

 

ฮ่องเต้และขันทีชราไม่รู้จะหัวเราะหรือจะร้องไห้ดี แต่พวกเขาดูออกว่าหยูเฮงน้อยไม่ได้สนใจอำนาจราชวงศ์มากนัก นางเห็นพวกเขาเป็นเพียงผู้เฒ่าเท่านั้น

 

อาจเป็นเพราะไม่มีใครกล้าทำตัวตามสบายแบบนี้ต่อหน้าฮ่องเต้มานานแล้ว ตาเฒ่าฮ่องเต้เองก็ขี้เกียจจะวางมาด เขามองหยูเฮงน้อยผู้น่ารักและประสานมือ “สวัสดียัยหนู….”

 

“อิอิ ตาเฒ่าฮ่องเต้ ไม่เลวนี่ น่าสนุกๆ” หยูเฮงน้อยพูดไปพลางเดินไปหาเขาและถามยิ้มๆ “ตาเฒ่าฮ่องเต้ เจ้าหมกตัวอ่านของพวกนี้ทุกวันไม่เบื่อเหรอ

 

“เบื่อสิ ข้าเบื่อจะแย่อยู่แล้ว เซ็งด้วย ก็เลยว่าจะเลิกทำแล้ว” ฮ่องเต้ยิ้มให้กับเด็กสาวที่เดินเข้ามา เสมือนว่าคุยเรื่องสัพเพเหระกับเด็กในบ้าน

 

หยูเฮงน้อยปัดของบนโต๊ะไปอีกฝั่งเบาๆก่อนจะกระโดดขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ สั่นขาไปมาและยื่นผลไม้ให้กับคนตรงหน้า “ตาเฒ่าฮ่องเต้ ข้าให้เจ้ากินผลไม้ อร่อยมากเลยนะ”

 

คนที่กล้านั่งบนโต๊ะของฮ่องเต้รับรองว่ามีแค่หยูเฮงน้อยคนเดียวเท่านั้น

 

นางกลับไม่รู้สึกตัวเท่าไหร่ว่าโต๊ะตัวนี้นั่งไม่ได้ เพราะหยูเฮงน้อยชินแล้ว นางชอบเอาโต๊ะมานั่งแทนเก้าอี้

 

ตอนแรกที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเห็นท่าทางของหยูเฮงน้อยก็ตกใจเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อฮ่องเต้ไม่ได้โกรธ นางก็ไม่อยากจะว่าอะไรเรื่องที่นางเสียมารยาท

 

ขันทีชราด้านข้างกลับไม่มีทีท่าตกใจเท่าไหร่ ยังคงมองทั้ง 2 คนที่นั่งกินผลไม้อยู่บนโต๊ะและเก้าอี้ด้วยรอยยิ้ม มีความอิจฉาระคนดีใจอยู่ในแววตา

 

ฮ่องเต้ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้มานานมากๆแล้ว

 

“หยูเฮงน้อย ผลไม้ของเจ้าไม่เลวเลย”

 

ผลไม้ในมือฮ่องเต้ถูกกินหมดอย่างรวดเร็ว กินเสร็จก็ไม่ลืมที่จะเอ่ยชมด้วย

 

หยูเฮงน้อยเห็นนางกินหมดก็หยิบลูกที่ใหญ่กว่าออกมาให้เขา “กินสิ ยังมีอีกเยอะเลย เจ้าอยากจะกินเท่าไหร่ก็ได้”

 

ตอนแรกเขาไม่ได้คิดจะกินอีก แต่เมื่อเห็นผลไม้ที่หยูเฮงน้อยหยิบออกมามีพลังวิญญาณที่หนาแน่นยิ่งกว่าเดิม ตาเฒ่าฮ่องเต้ที่ตะกละก็ลืมไปแล้วว่าความเกรงใจเป็นอย่างไร หยิบมากินต่อ

 

เห็นเขากินอย่างมีความสุขหยูเฮงน้อยก็ดีใจ จู่ๆนางก็หันกลับมาและนึกได้ว่ายังมีตาเฒ่าอีกคน จึงโยนผลไม้อีก 2 ลูกใหญ่ให้กับขันทีชรา “ตาเฒ่า เมื่อกี้ลืมให้เจ้า นี่เลย 2 ลูกใหญ่ๆ อร่อยมาก ไม่ต้องเกรงใจ”

 

“ฮ่าๆๆ ข้าขอขอบใจแม่นางหยูเฮงด้วยนะที่มอบผลไม้แก่ข้า” ขันทีชรายิ้มจนเห็นฟันและรับผลไม้ที่ส่งกลิ่นหอมและมีพลังวิญญาณสูงเปี่ยมมา แสดงความเอ็นดูที่มีต่อเด็กสาวบนโต๊ะมากขึ้น

 

จิตใจบริสุทธิ์ใครๆก็ชอบ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ยากจะปฏิเสธความจริงใจที่เด็กๆมอบให้

 

หยูเฮงน้อยซื้อใจตาเฒ่าทั้ง 2 ด้วยผลไม้ของนางอย่างง่ายดาย

 

2 ผู้เฒ่า เด็ก 1 มัวแต่กินผลไม้ เฉิงเสี่ยวเสี่ยวจึงได้แต่เดินชมห้องหนังสือหลวงของฮ่องเต้

 

หลังจากที่เวลาผ่านไป ทั้งห้องหนังสือหลวงเหลือเพียงเสียงเคี้ยวผลไม้ ทั้ง 3 คนนั่งอยู่ด้วยกัน คนนึงนั่งบนบัลลังก์ คนนึงนั่งบนโต๊ะ อีกคนนั่งลงบนพื้นซะเลย และมีเมล็ดกองอยู่ข้างๆ ยังคงกินกันอย่างต่อเนื่อง

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่อ่านหนังสืออยู่เงยหน้าไปมองพวกเขาเป็นบางครั้ง ถ้าภาพนี้ถูกคนอื่นเห็นเข้าคงจะเป็นที่ฮือฮาไปทั่วเมือง โดยเฉพาะหยูเฮงน้อย คงจะท่วมน้ำลายจากเหล่าขุนนางตาย

 

ผ่านไปอีกประมาณครึ่งก้านธูปก็มีคนนึงบุกเข้ามาอย่างรีบร้อน ขัดจังหวะภาพอันน่าพิศวงภายในห้องหนังสือหลวงไป

 

“เอ๋ เจ้านี่เอง….” หยูเฮงน้อยหันมามองและส่งเสียงเป็นคนแรก

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่อ่านหนังสืออยู่ก็เหลือบมองไป และได้เห็นชายชุดม่วงเมื่อกี้วิ่งเข้ามาเพียงลำพัง

 

ตาเฒ่าฮ่องเต้เช็ดปากและมองลูกชายที่สีหน้าไม่ค่อยดี พลางถามอย่างไม่เข้าใจ “เฉินเอ๋อ เป็นอะไรน่ะ”

 

หยูเฮงน้อยกระโดดลงมาจากโต๊ะ เห็นขันทีชรากำลังลุกขึ้นยืนช้าๆ จึงยื่นมือไปพยุงเขาโดยไม่ต้องคิด

 

ในตอนที่มือของหยูเฮงน้อยโดนแขนของขันทีชรา เขาตัวแข็งไปนิดหน่อย พอเห็นว่านางแค่จะมาช่วยพยุงก็มีความเอ็นดูปรากฏอยู่ในแววตาและส่งยิ้มให้นาง

 

ไม่มีใครสังเกตเห็นการกระทำของทั้ง 2 หยูเฮงน้อยส่งยิ้มกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ

 

“เสด็จพ่อ ข้าไม่เป็นอะไร” สีหน้าของหวงฝู่มั่วเฉินไม่ดีเท่าไหร่ เขาทอดสายตาไปยังเฉิงเสี่ยวเสี่ยว เมื่อเห็นใบหน้าที่ทั้งแปลกหน้าและคุ้นเคยก็เอ่ยถามขึ้น “เจ้าชื่อว่าเสี่ยวเสี่ยวใช่มั้ย”

 

“ใช่แล้ว” เฉิงเสี่ยวเสี่ยววางหนังสือในมือลง ถามกลับเบาๆ “ท่านย่าข้าล่ะ”

 

“ซูหยุนนางกลับไปแล้ว” เมื่อพูดถึงผู้หญิงที่ตัวเองรักสีหน้าเขาก็หม่นหมองลงไป

 

หยูเฮงน้อยกลับเดินไปตรงหน้าเขามองและถาม “ฮูหยินฟางของเราเป็นอะไรไป เจ้ารังแกนางรึเปล่า”

 

เมื่อได้ยินคำว่ารังแกหวงฝู่มั่วเฉินก็หน้าแดงนิดหน่อย หลุบตาลงต่ำไม่กล้ามองหยูเฮงน้อย กระอักกระอ่วนไม่กล้าพูดอะไร

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ บอกตามตรงนางไม่ทราบฐานะที่แท้จริงของคนตรงหน้า เดาได้แค่ว่าเป็นลูกชายของตาเฒ่าฮ่องเต้และเป็นรักแรกของท่านย่า

 

“ยัยหนูเสี่ยวเสี่ยว มานี่สิ เขาเป็นองค์ชาย 18 ของข้า เคยรักชอบพอกันกับท่านย่าเจ้า ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นย่าเจ้าหายตัวไปอย่างกระทันหัน นางก็ต้องเป็นลูกสะใภ้ของข้า ไม่ได้เป็นย่าเจ้าหรอก”

 

ตาเฒ่าฮ่องเต้ชี้แจงตรงๆ สายตาเหลือบไปมองหวงฝู่มั่วเฉิน “เฉินเอ๋อรักย่าเจ้ามาก เมื่อกี้คงจะเกิดการเข้าใจผิดกัน”

 

ฮ่องเต้เองก็ไม่กล้าทำให้เจ้าแห่งการฝึกสัตว์ไม่พอใจโดยที่ยังไม่รู้โคตรเหง้านางดี การทำให้นางโกรธจะต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่

 

คำอธิบายของฮ่องเต้ทำให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวรู้ว่าสิ่งที่คาดเดาเป็นจริง นางไม่ได้โกรธ กลับมองชายวัยกลางคนที่เขินอายเสมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งเคยมีความรักด้วยความขบขัน

—————————–