บทที่ 62 รักษาวัวบาดเจ็บ โดย Ink Stone_Romance
คนบ้านเดิมสกุลอวี๋ตามมาภายหลังจากที่หลังคาถล่มลงมา พวกเขาได้ยินว่านางจ้าวเกิดเรื่อง แต่พวกเขาไม่สนใจใคร่ดูเรื่องของบ้านสกุลจ้าว ทว่าบ้านซวนจื่อนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ ทั้งยังเลี้ยงวัว ทำให้ความสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้านนับว่าไม่เลว
ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่กำลังทำอาหารสำหรับวันสิ้นปีอยู่ในครัว คนที่รุดมาคือสองพี่น้องอวี๋เฟิงและอวี๋ซง
ทั้งสองเห็นป้าสะใภ้สามและอวี๋หวั่นซึ่งอยู่ด้านหลังฝูงชน จึงเดินเข้าไปทักทาย
อวี๋เฟิง “ป้าสะใภ้สาม อาหวั่น”
อวี๋ซง “ป้าสะใภ้สาม”
มิได้สนใจอาหวั่น
อวี๋หวั่นแอบยิ้ม เป็นเด็กที่แปลกจริงๆ
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” อวี๋ซงเอ่ยถาม พลางมองไปยังกลุ่มคนซึ่งออกันอยู่ด้านหน้า
อวี๋หวั่นกล่าวด้วยความรู้สึกเสียใจ “หลังคาคอกวัวหักลงมา อาการของวัวไม่ค่อยสู้ดีนัก”
อวี๋ซงแค่นเสียง ‘หึ’ ขึ้นจมูก “ข้าไม่ได้ถามเจ้าสักหน่อย! ข้าถามป้าสะใภ้สาม! ”
ป้าสะใภ้สามกลอกตามด้วยความเอือมระอา
อวี๋ซงหาเรื่องเอง เขาถูจมูกด้วยความขุ่นเคือง และหันไปสนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแทน
“เหมือนกับวัวของป้าจาง จู่ๆ ก็เดินไม่ได้ หลังจากนั้นไม่นานก็ป่วยตาย”
“วัวของซวนจื่อไม่เป็นอะไรกระมัง? มันเป็นวัวตัวสุดท้ายของหมู่บ้านแล้ว…”
“ข้ากำลังรอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิ แล้วจะยืมมันไปไถนาสักหน่อย”
“จะทำอย่างไรกันดี”
ชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันยกใหญ่
อวี๋เฟิงไม่เห็นสถานการณ์ด้านใน แต่ได้ยินเรื่องราวส่วนใหญ่มาแล้ว เขายังมีภาพจำของวัวของป้าจาง ดูเหมือนว่ามันจะได้รับบาดเจ็บ จากนั้นก็มีคนมารักษา และมันยังสามารถทำงานต่อได้ แต่ผ่านไปไม่กี่วัน ร่างกายของเจ้าวัวก็ร้อนขึ้น หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน เจ้าวัวก็สิ้นลม
หากสุดท้ายแล้ววัวของบ้านซวนจื่อกลายเป็นเหมือนวัวของป้าจาง นั่นมิใช่เรื่องดีเอาเสียเลย
อวี๋เฟิงพลันนึกบางสิ่งออก เขาหันหน้าไปมองอวี๋หวั่นซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง “อาหวั่น เจ้า…”
ทันทีที่เขาพูดออกไป เสียงอันดังก้องของป้าจางก็ดังขึ้นขัดจังหวะ “ถอยๆๆๆ! ชุยเฒ่ามาแล้ว!”
ไม่ไกลออกไป ซวนจื่อกำลังลากแขนหมอพื้นบ้านผมสีดอกเลาผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา
หมอพื้นบ้านผู้นี้มีอายุแล้ว วิ่งมาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ตาแทบเหลือก
เขาคือคนที่เคยรักษาวัวให้ป้าจาง เขาเป็นหมอผีจากหมู่บ้านข้างๆ ปกติจะรักษาอาหารป่วยให้ชาวบ้าน นานๆ ทีจะรักษาให้สัตว์เลี้ยง เขาแซ่ชุย ชาวบ้านจึงเรียกเขาว่า ‘ชุยเฒ่า’
“ท่านรีบมาเร็ว!” ซวนจื่อลากชุยเฒ่าซึ่งหายใจหอบจนตาเหลือกเข้าไปหลังบ้าน
ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของชุยเฒ่ามิใช่การปรี่เข้าไปรักษาวัว แต่เขามองไปยังหลังคาคอกวัวซึ่งหักลงมาอย่างแหลกลาญ แล้วกล่าวด้วยความแปลกใจว่า “หลังคาคอกวัวนี่หักลงมาได้ประหลาดนัก…”
ซวนจื่อเพิ่งจะปล่อยมือ แต่ไม่เห็นเขาตามมา จึงหันไปเร่งเร้า “ไอ้หยา ท่านอย่าชักช้าอยู่เลย! วัวกำลังจะตายแล้ว!”
ชุยเฒ่าเดินไปยังวัวบาดเจ็บตัวนั้น เดินไปพึมพำพลางขมวดคิ้ว “แปลกจริงๆ”
นางเจียงยืนอยู่ด้านหลังฝูงชน ลูบพู่ด้ายในมือเงียบๆ แสงแดดสาดส่องลงมาบนใบหน้าซูบผอมของนาง จนผิวหนังของนางดูโปร่งแสงขึ้นมา
ชุยเฒ่าลงมือตรวจอาการเจ้าวัวแล้ว
ป้าไป๋พูดขึ้นว่า “เขาจะรักษาได้หรือ? เขารักษาวัวของป้าไป๋ แล้วมันก็ตาย”
ชุยเฒ่าเริ่มไม่พอใจ หันมาอย่างไม่สบอารมณ์แล้วกล่าวว่า “เจ้าพูดแบบนี้ ข้ารักษาแล้วมันก็ตายอะไร? วันนั้นมันเกือบจะตายอยู่แล้ว! เป็นข้าที่ทำให้มันมีชีวิตรอดไปอีกครึ่งเดือน!”
ป้าไป๋เบะปาก “วันนั้นท่านก็บอกว่ารักษาอาหวั่นไม่ได้แล้ว แต่อาหวั่นก็ไม่ได้ฟื้นขึ้นมาหรอกรึ?”
ชุยเฒ่าครุ่นคิด คล้ายกำลังคิดว่าอาหวั่นคือใคร ผ่านไปสักพัก เขาก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “นางฟื้นหรือ? เป็นไปได้อย่างไร?”
“เป็นไปได้อย่างไร? ข้าว่าก็เพราะเจ้าเป็นหมอเถื่อนน่ะสิ” ป้าไป๋พึมพำ
ไม่น่าแปลกใจที่ป้าไป๋จะคิดเช่นนี้ ที่จริงชุยเฒ่าก็เป็นหมอมานานหลายปี เขามิได้รักษาคนไข้อาการหนักมากเท่าไร แต่กลับเรียกตนเองว่าหมอเทวดา
“ปีนั้น…” ชุยเฒ่ากำลังจะเริ่มจะโอ้อวดความเป็น ‘หมอเทวดา’ ของตนอีกครั้ง
ซวนจื่อจึงกล่าวตัดบทว่า “ท่านรักษาได้หรือไม่? ถ้ารักษาไม่ได้ ข้าจะไปตามคนอื่น!”
ชุยเฒ่าไม่ตอบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็อ้าปากคล้ายจะกล่าวอะไร
ซวนจื่อจึงบอกว่า “รักษาสิ!”
ชุยเฒ่าเงียบ และก้มหน้าก้มตาตรวจอาการวัว
การตรวจใช้เวลาเนิ่นนานยิ่งนัก
“สรุปแล้วเป็นอย่างไรหรือ?” บิดาของซวนจื่ออดรนทนไม่ไหว จึงเอ่ยถามขึ้น
ชุยเฒ่าโบกมือข้างซ้าย พูดด้วยสีหน้าซับซ้อนว่า “รักษาไม่ได้”
“เช่นนั้นจะรีรออะไรเล่า? รีบไปเชิญหมอใหญ่ในตำบลสิ!” ป้าไป๋เร่งเร้า
หมอใหญ่ในตำบลรักษาคน ไม่อาจรักษาวัวได้
ผู้ใหญ่บ้านคิดถึงจุดนี้ จึงกล่าวว่า “ไปเชิญหมอรักษาม้าที่สถานีส่งสารเถิด”
“ไม่กี่วันก่อนข้าไปสถานีส่งสารมา หมอกลับบ้านเกิดไปแล้ว”
เมื่อเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน ชาวบ้านจึงหันไปมอง และเห็นอวี๋เฟิงเดินเบียดกลุ่มคนออกมา
อวี๋เฟิงพูดกับผู้ใหญ่บ้านว่า “ให้น้องสาวข้าลองสักหน่อยเถิด”
“น้องสาวเจ้า? อาหวั่นรึ?” ผู้ใหญ่บ้านตะลึง
อวี๋เฟิงพยักหน้า “อาหวั่นรักษาม้าที่สถานีส่งสารได้ วัวตัวนี้ นางก็อาจมีหนทางรักษา”
“นั่น…” ไม่ยักเคยได้ยินว่าอาหวั่นรู้วิชาแพทย์ ผู้ใหญ่บ้านมองไปยังอวี๋หวั่นซึ่งเดินมาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรืออย่างไร เขารู้สึกว่าเด็กคนนี้ไม่เหมือนกับแต่ก่อน
ชุยเฒ่ามองอวี๋หวั่น ไม่ผิด เป็นเด็กคนนั้น แต่ครานั้นชีพจรนางบอกแน่ชัดแล้วว่านางใกล้สิ้นลมแล้ว ไร้ซึ่งยารักษา…กลับมามีชีวิตได้อย่างไรกัน? ทั้งยังฟื้นตัวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้?
ผู้ใหญ่บ้านมิได้บอกว่าจะยอมให้อวี๋หวั่นลองรักษาวัวหรือไม่ อวี๋หวั่นตรงเข้าไปนั่งยอง เธอตรวจอาการบาดเจ็บภายนอกของเจ้าวัวก่อน ตัดความเป็นไปได้ของกระดูกที่แตก ตรวจดูต้นขาอีกครั้งหนึ่ง และพบอาการบวมอย่างรุนแรง ไม่มีปากแผล แต่กลับมีอาการเลือดคั่ง
“แผลฟกช้ำ” อวี๋หวั่นวินิจฉัย
แผลฟกช้ำคือแผลที่เกิดจากการกระแทกจากภายนอกโดยที่มิได้ก่อให้เกิดปากแผลบนผิวหนัง อาการเหมือนกับวัวของซวนจื่อ หลังจากนี้จะมีไข้ ความอยากอาหารลดลง อวัยวะภายในทำงานผิดปกติ หรือแสดงอาการอื่นๆ
โดยทั่วไป แผลฟกช้ำเล็กน้อยจะสามารถหายเองได้ แต่แผลฟกช้ำของวัวตัวนี้นับว่ารุนแรง จำต้องได้รับการรักษา
นอกจากนี้ อวี๋หวั่นยังพบว่า ที่รอยฟกช้ำของวัวตัวนี้ยังมีรอยบาดเจ็บเดิมที่ยังไม่ได้รักษา หรืออาจกล่าวได้ว่า รอยบาดเจ็บเดิมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดรอยฟกช้ำเช่นนี้ เพียงแต่อาการบวมและความเจ็บปวดยังไม่มาก ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เกรงว่าเธอก็คงหาไม่พบเช่นกัน
ยังดีที่พบก่อน มิเช่นนั้นหากพบช้าอีกสักหน่อย ผลลัพธ์ก็อาจทวีความรุนแรงขึ้นได้
“รักษาได้หรือไม่?” ซวนจื่อไม่เข้าใจว่าอะไรคือแผลจริงแผลปลอม เขาสนใจเพียงว่ารักษาได้หรือไม่
“รักษาได้” อวี๋หวั่นตอบโดยไม่ลังเล
“เจ้าคิดว่าจะรักษาอย่างไร” ชุยเฒ่าโพล่งขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่ไว้ใจ หรือเพราะความสงสัยกันแน่
อวี๋หวั่นตอบว่า “ต้าหวง หวงปั้อ เจียงหวง ไป๋จื่ออย่างละสามสิบเฉียน เทียนเหนียนซิง เฉินผี ชางมู่ ผงเทียนฮวา โฮ่วพั่ว กานเฉ่า อย่างละสิบสองเฉียน บดเป็นผง เติมน้ำมันงา ผสมพอข้นไม่ใสก็ได้แล้ว ใช้เป็นยาทาภายนอก
ยังมียาภายใน ชวนซยงเก้าเฉียนครึ่ง หยวนหูสิบสองเฉียน หงฮวาสามเฉียนครึ่ง ไป๋จื่อสามเฉียน บดเป็นผงเหมือนกัน ใช้น้ำต้มเทลงไป นี่เป็นยาสำหรับกินหนึ่งครั้ง ลองกินสองครั้งแล้วรอดูผลก่อน จะได้รู้ว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนยาหรือไม่”
…………………………………..