บทที่ 63 ตัดขาดต่อหน้าผู้คน โดย Ink Stone_Romance
ทันทีที่เธอพูดออกไป เสียงดังอึกทึกในห้องก็พลันเงียบลง
แม้ว่าจะไม่รู้ชื่อยา แต่คำพูดของเธอนั้นชัดเจน ต่อให้ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราว ก็ยังรู้ได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
ถึงจะเป็นเรื่องที่กุขึ้นมา แต่กุขึ้นมามากมายเพียงนี้ใจคราเดียว ทั้งยังรู้กระทั่งต้องใช้กี่เฉียน เรื่องแบบนี้มิใช่ว่าใครก็ทำได้
“นี่ ตาชุยเฒ่า” ท่าป้าไป๋ขยับไปข้างชุยเฒ่า กล่างเสียงค่อยว่า “นาง…ใบสั่งยาของนางถูกต้องหรือไม่เล่า”
ชุยเฒ่ากล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “บอกว่าข้าเป็นหมอเถื่อนมิใช่หรือ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าใบสั่งยาของนางถูกต้องหรือไม่”
ป้าไป๋รับรู้ได้ทันทีว่าเขาเพียงหาเรื่องทะเลาะกับนาง จึงอดถลึงตาใส่เขาไม่ได้ จากนั้นก็เดินออกไปด้วยความรู้สึกเดียดฉันท์ “ตาเฒ่าเฮงซวย!”
แม้ว่าชุยเฒ่าจะหาเรื่องป้าไป๋ไปแล้ว ทว่าเขาก็ยังหันไปพูดกับซวนจื่อและบิดาของเขาว่า “งงอะไรอยู่เล่า ไปหยิบยาสิ!”
นี่ก็เท่ากับเขายอมรับว่าใบสั่งยาของอวี๋หวั่นนั้นถูกต้อง
แน่นอนว่า เขาเป็นเพียงหมอกำมะลอในสายตาผู้คน ต่อให้เขาบอกว่าใบสั่งยาถูกต้อง ก็ไม่แน่ว่าคนจะเชื่อ
เพียงแต่ในตอนนี้ไม่มีหนทางอื่นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่รักษาม้าตายให้กลับมามีชีวิตก็ดี เรื่องที่อับจนหนทางจนต้องเรียกหมอสุ่มสี่สุ่มห้าก็ดี ล้วนไม่สำคัญแล้ว บิดาของซวนจื่อก็ยังสั่งให้บุตรรีบไปซื้อยาในตำบล
“ข้าไปกับเจ้า” อวี๋เฟิงกล่าว
ซวนจื่อใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พยักหน้า “ขอบคุณมากพี่เฟิง!”
อวี๋เฟิงถือใบสั่งยาเดินออกไปพร้อมกับซ่วนจื่อ ระหว่างทางก็พบกับจ้าวเหิงพอดี
จ้าวเหิงได้ยินเรื่องที่คอกวัวมาบ้าง และเห็นกับตาตนเองว่าซวนจื่อโยนชุยเฒ่าไป จึงเดาได้ว่าวัวของบ้านซวน
จื่อได้รับบาดเจ็บ หากเป็นเมื่อก่อน ในสถานการณ์เช่นนี้ ต้องมีคนมาเชิญเขาไปแล้ว แน่นอนว่ามิใช่ไปรักษาใคร หากแต่ไปช่วยเขียนในสั่งยา ทว่าเขาก็รออยู่นาน กลับไม่มีใครมาเชิญเขาไปสักคน
ภายในใจรู้สึกสงสัย กระนั้นทิฐิของเขากลับสูงยิ่งนัก เขาเดินไปได้เพียงครึ่งทางก็หันหลังกลับ ไหนเลยจะรู้ว่าจะบังเอิญไปเจอกับอวี๋เฟิงและซวนจื่อพอดี
เขากล่าวทักทายด้วยความประหม่า
มิได้คาดคิดเลยว่าทั้งสองคนไม่ได้ยี่หระแม้แต่น้อยว่าเขาจะไปที่ใด
เขากระแอม มองผ่านอวี๋เฟิงผู้มีสีหน้าเย็นชาไป แล้วมองไปยังซวนจื่อ พร้อมกับเอ่ยถามว่า “วัวบ้านเจ้าไม่เป็นไรแล้วกระมัง? พวกเจ้าจะไปไหนกันหรือ”
ซวนจื่อยังนับว่าเกรงอกเกรงใจเขาพอสมควร “บาดเจ็บเสียแล้วละ ข้ากับพี่เฟิงจะไปซื้อยาในตำบล”
พูดจบ เขาก็โบกใบสั่งยาในมือ
แม้จะบอกว่าเป็นใบสั่งยา แต่ก็เป็นเพียงตัวอักษรที่ใช้ถ่านไม้เขียนบนผ้าฝ้ายเก่าๆ
จ้าวเหิงไม่เคยคิดเลยว่านอกจากเขาแล้ว ในหมู่บ้านนี้ยังมีคนอื่นที่รู้หนังสืออีก
ความภาคภูมิใจว่าตนเองเลิศล้ำกว่าผู้ใดที่สั่งสมมานานนับปีประหนึ่งถูกจู่โจมเข้าฉับพลัน เขาแบมือออกมาทันที “ให้ข้าดูหน่อย”
ซวนจื่อตกใจ เขาอุทานว่า ‘โอ้’ แล้วส่งใบสั่งยาให้กับจ้าวเหิง
จ้าวเหิงรับผ้าฝ้ายสีซีดสกปรกผืนนั้นมา เขามองปราดเดียว ก็ถึงกับตกตะลึง
มีผู้รู้หนังสือคนที่สองก็ทำให้เขาตะลึงได้มากพอแล้ว แต่คนผู้นี้ยังเขียนได้ดียิ่ง ตัวอักษรจานซูเสี่ยวข่าย[1]ตัวบรรงเหล่านี้ ทำให้เขารู้สึกราวกับในมือของตนมิได้ถือผ้าเก่าๆ หากแต่ถือกระดาษเซวียน[2]แผ่นหนึ่งอยู่
“ดูพอหรือยัง!” อวี๋เฟิงเดินไปดึงใบสั่งยามาอย่างไม่เกรงใจ
จ้าวเหิงเงยหน้ามองอวี๋เฟิง เขาจำได้เลือนลางว่าอวี๋เฟิงเคยเรียนหนังสือเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่ว่าเขาดื้นรั้นและไร้ความสามารถ ไปเรียนได้เพียงไม่กี่วันก็ออกมา ตัวหนังสือนี่คงมิใช่เขาเขียนหรอกกระมัง?
“เจ้า…”
ขณะที่จ้าวเหิงจะเอ่ยปากถาม ซวนจื่อซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็พูดขึ้นว่า “เป็นอย่างไร ใบสั่งยาของอาหวั่นไม่มีปัญหาใช่หรือไม่”
“ใบสั่งยาของอาหวั่น?” จ้าวเหิงมองไปยังซวนจื่อด้วยความสงสัย
ซวนจื่อพยักหน้า และเล่าเรื่องที่อวี๋หวั่นรักษาวัวและเรื่องใบสั่งยาให้จ้าวเหิงฟัง
จ้าวเหิงแทบไม่อยากเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร…”
“พอได้แล้ว อย่าชักช้าไปกว่านี้เลย ไม่ได้ยินที่อาหวั่นบอกหรืออย่างไรว่าที่เป็นเรื่องเร่งด่วน เจ้ายังอยากจะรักษาวัวอยู่หรือไม่” อวี๋เฟิงคร้านจะสนใจจ้าวเหิง จึงเดินจากมา ปล่อยให้จ้าวเหิงยืนตะลึงงันอยู่เช่นนั้น
ทั้งสองคนล้วนเดินเร็ว ก่อนเที่ยงวันก็ซื้อตัวยากลับมาได้แล้ว ซวนจื่อมีเงินไม่พอ อวี๋เฟิงจึงจ่ายเงินให้ก่อน
อวี๋หวั่นตรวจสอบตัวยา หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าซื้อมาถูกต้องแล้ว จึงลงมือบดยาเหล่านั้นเป็นผง แบ่งน้ำมันงาจากบ้านของเธอมาส่วนหนึ่ง ทำเป็นยาใช้ภายนอก และทาลงไปที่แผลของวัว ทั้งยังต้มยาสำหรับดื่ม และผสมกับหญ้าให้ข้นสักหน่อย
เจ้าวัวรู้สึกเจ็บจนไม่กินอะไร
อวี๋หวั่นต้องใช้เวลาหนึ่งเค่อเต็มๆ จึงจะป้อนยามันจนหมด
ชุยเฒ่ามองดูกระบวนการรักษาของอวี๋หวั่นมาโดยตลอด แต่มิได้พูดอะไร นัยน์ตาของเขาปรากฏความรู้สึกที่ผู้อื่นยากจะเข้าใจ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ยาก็ออกฤทธิ์ วัวไม่ร้องด้วยความทรมานอีก ทั้งยังรู้สึกอยากอาหารขึ้นมา หญ้าที่อวี๋หวั่นถือมา มันก็อ้าปากงับ และค่อยๆ เคีัยว
เมื่อเป็นว่าเจ้าวัวกินอาหารได้แล้ว ผู้คนต่างก็รู้สึกคลายความกังวลลงได้
“มัน…มัน…มันยังมีชีวิต” ป้าจางกล่าวด้วยความตื่นเต้น ก่อนหน้านี้วัวตัวนี้มิได้กินอย่างรวดเร็วเช่นนี้
ชุยเฒ่าพยักหน้า พร้อมกับพึมพำว่า “มีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วย”
แม้ว่าเขามักโอ้อวดถึงความเก่งกาจของตนอยู่เป็นอาจิณ แต่เขาก็มิเคยอวดอ้างเกี่ยวกับการรักษา เขาจะพูดว่ามีชีวิตรอด ก็ต่อเมื่อเขารักษาเรียบร้อยแล้วเท่านั้น
………..
ทุกคนต่างถอนหายใจยาวๆ เฮือกหนึ่ง
สำหรับพวกเขาแล้ว นี่มิใช่เพียงการช่วยชีวิตวัวที่เหลืออยู่ของหมู่บ้าน แต่ยังเป็นการช่วยเหลือกสิกรรมและการค้าของพวกเขาด้วย
สายตาที่ทุกคนมองอาหวั่นพลันเปลี่ยนไป จากนั้นพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าผู้ที่เติบโตขึ้นมาในหมูู่บ้านเช่นอาหวั่น ก่อนหน้านี้ไม่รู้หนังสือแม้แต่ตัวเดียว ไฉนจู่ๆ จึงรู้วิชาแพทย์ได้เล่า?
“อาหวั่น เจ้ามีสิ่งใดปิดบังทุกคนอยู่หรือไม่” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามคำถามอยู่ในใจของชาวบ้าน
อวี๋หวั่นพูดอย่างใจเย็นว่า “มิได้ปิดบัง บ้านญาติของข้าเป็นหมอรักษาม้า ข้าก็ครูพักลักจำเรียนวิชาแพทย์มาบ้าง อ่านหนังสือเพียงไม่กี่วัน ความรู้ตื้นเขินเช่นนี้ ข้าไม่สามารถนำมาโอ้อวดได้”
ผู้ใหญ่บ้านพลันกระจ่างขึ้นทันที “เป็นเช่นนี้เอง”
ทว่า นี่มิใช่ความรู้ตื้นเขินเป็นแน่ นางเก่งกว่าหมอพื้นบ้านทั่วไปเสียอีก
เขามิได้สงสัยว่าอวี่หวั่นจะโป้ปด อย่างไรเสียความสามารถทางการแพทย์ของนางนั้นจริงแท้แน่นอน ลายมืองดงามก็มิใช่ของปลอม ของแบบนี้จะไปเรียนจากหอคณิกาได้อย่างไรกัน
ชาวบ้านต่างก็รู้สึกผิดต่ออวี๋หวั่นเป็นอย่างมาก จึงก้มหัวให้เธอด้วยความละอายใจ
อวี๋หวั่นกลับมิได้รู้สึกโกรธชาวบ้านแม้แต่น้อย เธอพูดกับผู้ใหญ่บ้านว่า “ข้าไม่รู้ว่าข้าทำผิดอะไร จึงทำให้น้องหญิงสกุลจ้าวเข้าใจผิด รบกวนผู้ใหญ่บ้านเชิญนางมาคุยกับข้าหน่อยได้หรือไม่”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า “ได้”
จ้าวเป่าเม่ยถูกเรียกตัวมา และผู้ที่มากับนางก็คือจ้าวเหิง
จ้าวเหิงยังคงจมอยู่ในความรู้สึกว่าตนนั้นถูกอวี๋หวั่นโจมตีครั้งใหญ่ วิชาแพทย์? รู้หนังสือ? สิ่งเหล่านี้ดูเป็นเรื่องที่ห่างไกลกับดรุณีน้อยจากบ้านนอกเหลือเกิน
สิ่งที่จ้าวเหิงต้องยอมรับก็คือ อาหวั่นมิได้เหมือนกับแต่ก่อนแล้ว คืนก่อนเขาทำมีท่าทีรุนแรงต่อเธอ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เธอกลับมิได้ขมวดคิ้วเลยแม้แต่น้อย
“พูดจบแล้ว?” เธอทิ้งไว้เพียงประโยคนี้ แล้วหันหลังเดินออกไป
ในชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่อวี๋หวั่นหมางเมินเขา
และแน่นอนว่า ก็จะมีครั้งที่สองตามมาในไม่ช้า
อวี๋หวั่นเอ่ยปากถามว่า “จ้าวเป่าเม่ย ข้าขอถามเจ้า คำพูดเหลวไหลว่าข้าไปอยู่ในหอคณิกาได้ยินมาจากใคร พี่ใหญ่เจ้าใช่หรือไม่”
“ข้า…” จ้าวเป่าเม่ยคิดอยากปฎิเสธ แต่นัยน์ตาของนางกลับเผยความจริงออกไปหมดแล้ว
ป้าไป๋เท้าเอวบริภาษ “จ้าวเหิง เจ้ามันต่ำช้านัก! ก่อนหน้านี้อาหวั่นลำบากส่งเจ้าเรียนหนังสือเพียงใด ตอนนี้เจ้าได้ไปเรียนแล้ว กลับดูแคลนนาง คิดจะฆ่านางอีก! เลวทรามเสียยิ่งกระไร!”
จ้าวเหิงรีบปฏิเสธ “ข้าเปล่า!”
อวี๋หวั่นถามตนเองว่าเธอควรทำท่าทางประหนึ่งผู้ถูกกระทำเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์หรือไม่
เธอได้เรียนรู้ท่าทางซีซือกุมหทัย[3]จากนางเจียงมาแล้ว ทว่าทำแล้วดูไม่เข้าทีเท่าใดนัก หากไม่รู้ ก็คงคิดว่าเธอกำลังสำลักอยู่
ขณะที่ผู้ใหญ่บ้านกำลังจะส่งน้ำชาให้อวี๋หวั่นนั้น เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “จ้าวเหิง ข้ามองเจ้าผิดไป ในเมื่อเจ้าไม่อยากแต่งข้าเป็นภรรยา ข้าเองก็ไม่อยากบังคับใจใคร วันนี้ข้าเชิญผู้ใหญ่บ้านมาเพื่อเป็นพยาน ข้าขอยกเลิกสัญญาการแต่งงานระหว่างสกุลจ้าวและสกุลอวี๋ ตั้งแต่บัดนี้ ข้าและบัณฑิตซิ่วไฉผู้ยิ่งใหญ่ล้นฟ้าแห่งสกุลจ้าวผู้นี้ ขอแยกกันไปคนละทาง”
จ้าวเหิงถึงกับตกตะลึง
“อีกทั้ง เข้าจะขอให้สกุลจ้าวคืนเงินของข้าที่พวกเขาใช้ไปทั้งหมดตลอดหลายปีมานี้”
จ้าวเหิงใบหน้าซีดเผือด
………………………………………………
[1] จานฮวาเสี่ยวข่าย เป็นตัวอักษรโบราณข่ายซูประเภทหนึ่ง ฮูหยินเว่ย (ว่ากันว่าเป็นอาจารย์ของหวังซีจือ ปรมาจารย์ด้านการเขียนอักษรจีนในสมัยจิ้นตะวันออก) ประดิษฐ์ขึ้นในสมัยราชวงศ์จิ้น ตัวอักษรจานฮวาเสี่ยวข่ายเป็นตัวแทนความงดงามและอ่อนหวานของสตรี
[2] กระดาษเซวียน หมายถึงกระดาษคุณภาพสูงสำหรับวาดภาพและเขียนพู่กันจีน ผลิตจากเมืองเซวียนหรือเซวียนเฉิง ในมณฑลอันฮุย
[3] ซีซือกุมหทัย กล่าวถึงซีซือหรือไซซี หนึ่งในสี่ยอดสาวงามของจีนโบราณ ใช้เปรียบเปรยถึงท่าทางป่วยของสตรี แต่ท่าทางนั้นยังคงดูงดงาม