บทที่ 64 โจมตีกลางดึก โดย Ink Stone_Romance
ในวันฉูซี แถบชายแดนหิมะตกหนักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หิมะหนาปกคลุมไปทั่วทั้งค่ายทหาร หอสังเกตการณ์สูงบัดนี้ดูราวกับเจดีย์สีขาว
อวี๋เซ่าชิงยืนอยู่บนหอสังเกตการณ์อย่างมีสมาธิ
หลังจากที่เหยียนฉงหมิงได้ลิ้มลองความหอมหวานของตำแหน่งแม่ทัพกุยเต๋อหลาง เขาก็ให้อวี๋เซ่าชิงประจำการในกะดึกที่สุดทุกคืน
หิมะห่าใหญ่บดบังทัศนวิสัยของอวี๋เซ่าชิง เขาได้ยินเพียงเสียงร้องรำทำเพลงดังแว่วมาจากค่ายทหารชาวซยงหนู
ค่ายใหญ่ของซยงหนูก็มีธรรมเนียมการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่เช่นกัน ในวันฉูซีของทุกปี ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงปากเปล่ากันว่าจะไม่เคลื่อนทัพออกรบ
ปีก่อนๆ เป็นเช่นนี้ ปีนี้ก็คง…ไม่มีอันใดเปลี่ยนแปลง
ทว่าปีก่อนๆ อวี๋เซ่าชิงไม่เคยต้องยืนประจำการในคืนวันฉูซี สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงการเฉลิมฉลองดังมาจากทั้งสองฝั่ง
“อวี๋เฒ่า!” อู๋ซันปีนฝ่าหิมะขึ้นมา เปิดห่อผ้าซึ่งห่อไว้อย่างแน่นหนาออก แล้วหยิบสุรานารีแดง[1]ออกมาหนึ่งขวด “ดื่มสุราให้ร่างกายอบอุ่นสักหน่อยเถิด!”
อวี๋เซ่าชิงกล่าวว่า “ข้าประจำการอยู่ ไม่ดื่มสุรา”
อู๋ซันพ่นลมหายใจฟืดครั้งหนึ่ง แล้วจึงยัดขวดสุราใส่มือเขา “เจ้าดื่มให้สบายใจเถิด!”
อวี๋เซ่าชิงมิได้ดื่ม เพียงแต่ถามต่อว่า “ปีก่อนๆ ก็เป็นเช่นนี้หรือไม่”
“เป็นอย่างไร” อู๋ซันมองตามทิศสายตาของอวี๋เซ่าชิงไปยังฝั่งค่ายทหารซยงหนู แล้วอุทานว่า ‘โอ้’ ออกมาคำหนึ่ง “วันฉูซีเชียวนา พวกเขาไม่ส่งกองทัพไปไหนหรอก!”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“ก็กฎบอกไว้เช่นนั้น! ”
“ใครเป็นคนออกกฎ”
“…” อู๋ซันไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อ เขาเกาหัวแกร็ก “เจ้าเองก็ไม่ได้มาค่ายใหญ่เป็นวันแรก ไม่รู้กฎที่ว่าวันฉูซีไม่เปิดศึกรึ? ได้ยินว่าแม่ทัพเซียวทำข้อตกลงกับแม่ทัพของซยงหนู ผ่านมากี่ปีแล้ว ก็ยังไม่มีผู้ใดเคยฝ่าฝืน”
“จริงหรือ?” นัยน์ตาของอวี๋เซ่าชิงล้ำลึกเกินหยั่งรู้
อู๋ซันชักชวนให้เขาดื่มสุราอยู่อีกครู่หนึ่ง ทว่าก็จนปัญญา อวี๋เซ่าชิงมิได้แตะสุราเลยแม้แต่หยดเดียว อู๋ซันจึงกลับไปด้วยความขุ่นเคือง
อวี๋เซ่าชิงยืนประหนึ่งเหล็กกล้าท่ามกลางลมหนาวและหิมะอยู่สองชั่วยาม จนกระทั่งทหารอีกนายมาผลัดเวร เขาถึงลงมาจากหอสังเกตการณ์
บัดนี้ทั้งสองฝั่งต่างฉลองวันปีใหม่เสร็จแล้ว ค่ายทหารกลับสู่ความเงียบงันอีกครั้ง
อวี๋เซ่าชิงเดินย่ำบนหิมะหนากลับไปยังกระโจม
เมื่อเขาแง้มม่านออก ก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ไม่คุ้นเคยจากในความมืด นัยน์ตาของเขาเย็นเยียบ เขาชักดาบออกมา ปลายดาบชี้ไปยังเตียงนอน!
“ข้าเอง”
เสียงสั่นเทิ้มด้วยความกลัวของสตรีดังขึ้นอย่างแผ่วเบา
อวี๋เซ่าชิงชะงักไป
สตรีนางนี้ลุกขึ้น หยิบท่อเป่าไฟ แล้วจุดแสงไฟสลัวในตะเกียง
เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นไร้อาภรณ์เผยขึ้นใต้แสงของตะเกียง เป็นคณิกาของทางการที่ออกมาจากกระโจมของเหยียนฉงหมิงในวันนั้น
อวี๋เซ่าชิงหันหลังกลับไป “สวมเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้!”
เท้าเปลือยเปล่าของนางย่ำลงบนพื้นอันหนาวเหน็บ ค้อมตัวลงเก็บเสื้อผ้าบนพื้น หลังจากเก็บขึ้นมาแล้ว นางมิได้รีบรุดแต่งตัวทันที แต่กลับยิ้มอย่างเย้ายวน “เมื่อข้าพบใต้เท้าครั้งแรก ข้าก็ถูกใจท่านทันที วันนี้ให้ข้าได้รับใช้ท่านดีหรือไม่”
“ออกไป”
นางค่อยๆ เยื้องย่างเข้าไปด้านหลังอวี๋เซ่าชิง “หลายปีแล้ว ใต้เท้าไม่รู้สึกเหงาหรืออย่างไร”
นางลากสายตามลงจากช่วงเอวของอวี๋เซ่าชิง “แม้ใต้เท้ามิได้รู้สึกเหงา แต่มันก็คงรู้สึกเหงาแล้วกระมัง ให้ข้าน้อยได้ช่วยท่านคลายความเหงาเถิด…”
อวี๋เซ่าชิงหันหลังกลับมาพลัน รังสีอำมหิตลุกโพลงอยู่ในดวงตาของเขา “ออกไป!”
นางตกใจกลัวจนทรุดลงไปกับพื้น รับรู้ได้ว่าอวี๋เซ่าชิงสังหารนางได้จริง นางจึงกระวีกระวาดเก็บเสื้อผ้าและวิ่งออกไป!
ในกระโจมเงียบสงัด
อวี๋เซ่าชิงนั่งลงบนเตียงด้วยความเศร้า
เหงา…
เขาจะไม่เหงาได้เยี่ยงไรเล่า?
เขาคิดถึงภรรยาและลูกๆ ที่บ้านเหลือเกิน คิดถึงจนปวดใจ
อี๋เซ่าชิงหยิบไหสองใบที่ส่งมาจากบ้านมาขัดจนเงา และนอนหลับบนเตียงแข็งไปทั้งอย่างนั้น
เพิ่งผ่านยามสี่[2]ไป ก็ได้ยินเสียงของนายทหารตะโกนมาจากด้านนอกกระโจม “โจมตีกลางดึก! มีการโจมตีกลางดึก!”
อวี๋เซ่าชิงลืมตาขึ้นทันที!
ทหารซึ่งเข้าเวรอยู่ ณ หอสังเกตการณ์เมาไม่ได้สติ พลทหารใหม่ซึ่งออกไปปลดทุกข์เป็นคนต่อสู้กับทหารซยงหนูซึ่งลอบเข้ามาในค่ายใหญ่
น่าเสียดายที่ช้าเกินไป หทารพลีชีพของซยงหนูได้เข้ามาในค่ายใหญ่เสียแล้ว
ทัพใหญ่ของซยงหนูก็มาถึงทั้งห้าทิศของค่ายใหญ่แล้วเช่นกัน
“ฉิบหาย! เราถูกล้อมไว้แล้ว” อู๋ซันคว้าหอกยาว แล้วรุดไปยังกระโจมของอวี๋เซ่าชิง
แม่ทัพเซียวนำทหารม้าสองพันนาย ตีฝ่าวงล้อมกองทัพซยงหนูเข้ามา
เหยียนฉงหมิงได้รับคำสั่งให้จัดการเก็บกวาดศพของทหารพลีชีพที่เข้ามาในค่าย
อย่างไรก็ตาม จำนวนของทหารพลีชีพมีมากจนมิอาจนับได้ เหยียนฉงหมิงตามจับอยู่นาน แต่กลับจับทหารจากกองทัพซยงหนูไม่ได้แม้แต่คนเดียว
“เติ้งเฒ่า! เติ้งเฒ่า…” เหยียนฉงหมิงเลิกผ้าห่มออก ก็เห็นศีรษะกลมๆ กลิ้งเข้ามา เขาตกใจจนตัวแข็งไป
“แม่ทัพกุยเต๋อหลาง! หัวหน้ากองพันหลิวตายแล้ว!”
“แม่ทัพกุยเต๋อหลาง หัวหน้ากองร้อยลู่ตายแล้ว!”
“แม่ทัพกุยเต๋อหลาง หัวหน้ากองพันโจวตายแล้ว!”
“แม่ทัพกุยเต๋อหลาง…”
“แม่ทัพกุยเต๋อหลาง…”
นายกองคนแล้วคนเล่าถูกสังหาร กองทัพกลายเป็นมังกรไร้เศียร เหล่าทหารกล้าไร้ขวัญกำลังใจ
ในภาวะคับขันเช่นนี้ เหยียนฉงหมิงนึกถึงอวี๋เซ่าชิง “หัวหน้ากองร้อยอวี๋เล่า?”
พลทหารข้างกายกล่าว “ไปที่คลังเสบียงแล้วขอรับ!”
เมื่อได้ยินว่าอวี๋เซ่าชิงยังมีชีวิตอยู่ เหยียนฉงหมิงก็ถอนหายใจอย่างโล่งออก
“ไปเรียกเขามา! ให้เขารักษาการค่ายใหญ่!” เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง “ช่างเถอะ ข้าจะไปเอง!”
เมื่อเหยียนฉงหมิงไปถึงคลังเสบียง ก็เห็นอวี๋เซ่าชิงกำลังออกสั่งให้ทหารราดน้ำมัน
“เจ้าทำอะไร” เหยียนฉงหมิงเอ่ยถามเสียงดัง
อวี๋เซ่าชิงตอบ “เผาเสบียง”
ไฟโทสะของเหยียนฉงหมิงปะทุขึ้นทันที “เจ้าบ้าไปแล้ว! นี่เป็นเสบียงของพวกเราเช่นกัน! เจ้าเผาทิ้งอย่างนี้แล้วพวกเราจะกินอะไร!”
อวี๋เซ่าชิงยังคงมีสีหน้าแข็งกร้าว “หากไม่เผา เสบียงเหล่านี้ก็ต้องกลายเป็นของซยงหนู! ฝั่งนั้นบุกมาเพื่อแย่งเสบียงอาหาร พวกเขาขาดแคลนเสบียง หากครานี้แย่งชิงเสบียงของทัพใหญ่ซีเป่ยไปไม่ได้ ก็คงจะต้องอดตายแล้ว!”
“พวกเราก็จะอดตายเช่นกัน!”
เหยียนฉงหมิงไม่อนุญาตให้เผาเสบียง
แม่ทัพเซียวไม่อยู่ เขาคือผู้ออกคำสั่งในค่าย คำสั่งของเขา ก็คือคำสั่งสูงสุด “อวี๋เซ่าชิง! ข้าขอสั่งให้เจ้านำทหารฝีมือดีห้าร้อยนาย ไปจัดการกับทหารพลีชีพในค่ายทั้งหมด! หากรอดไปได้แม้แต่คนเดียว เจ้าจักต้องรับผิดชอบ!”
………………………………………………
[1] สุรานารีแดง คือสุราเหลืองประเภทหนึ่งของจีน ผลิตจากเมืองเซ่าซิง มณฑลเจ้อเจียง
[2] ยามสี่ ช่วงเวลาประมาณ 1:00-3:00 น.