TB:บทที่ 186 ผงกระดูก

 

หลังจางเฟิงหยานโผล่ออกมาแล้ว เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งเมื่อเห็นเฉินหลง จากนั้นเขาเห็นพระทั้งสี่ข้างหลังเฉินหลง เขารู้สึกว่าความขมขื่นในใจเขาปะทุออกมา

“พวกพระสี่คนอยู่ที่นี่ และดูเหมือนจะไม่อยู่ข้างเขา”

 

“ประสก คุณไม่หลับตอนกลางดึกหรือ คุณมาทำอะไรที่นี่”” ไม่พูด” ใช้มือข้างหนึ่งทำท่าเคารพให้จางเฟิงหยาน

ชายตรงหน้าเขาคงเล่นตุกติกไม่ได้ เขาจะทำให้ดูดีเองทีหลัง

จางเฟิงหยานรู้ว่าพระทั้งสี่ตรงหน้าเขามีชื่อเสียงเรื่องความไม่มีเหตุไม่มีผล ดังนั้นเขาจึงกล่าวได้แค่  “ฉันจะบอกว่าฉันนอนไม่หลับ เลยมาเดินเล่น จะเชื่อหรือไม่เชื่อกันละ”

 

“ประสก พระที่น่าสงสารพวกนี้เป็นแค่พระ พวกเขาไม่ได้มีปัญหาทางสติปัญญา คุณหลอกว่าพวกเขาชัดๆเลยที่พูดแบบนี้ พวกพระนี่กำลังอารมณ์ดี แต่คุณกำลังจะทำให้พวกเขาโกรธที่พูดไปแบบนั้น” “ไม่พูด” กล่าวน้ำเสียงเขาเย็นชา

 

เขารีบพุ่งใส่ทันที

จางเฟิงหยานรู้ทันและรีบหลบกลับไปในห้องทำงานข้างหลังเขา และหยิบยาสีม่วงในมือออกมา เขาบีบยาอย่างแรงจนเข้าไปถึงผงยา แล้วโปรยยาไปข้างหน้า “ไม่พูด”

“ไม่พูด”ได้กลิ่นที่จู่ๆก็แปลกขึ้นมา ใบหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที “ผงกระดูกหรือ นายมีได้อย่างไร”

 

“ไม่พูด” เขาโบกมือไปมา และด้วยมือนั่นทำให้ผงยากระจายไป

อย่างไรก็ตามในตอนที่ยานี่กระจายไปกลิ่นที่ว่าพลันคลุ้งเต็มห้องทำงาน

ไม่ต้องกล่าวถึงจางเฟิงหยานที่ออกไปนอกห้องทำงานแล้ว

 

“ฮี่ฮี่ นายไม่ต้องรู้หรอกว่าฉันได้มาจากไหน นายแค่ต้องรู้ว่านี่คือผงกระดูก ฉันว่านายคงรู้การทำงานแล้ว ที่เมื่อได้กระจายออกไปแล้วก็ไม่สามารถหยุดได้ด้วยการกลั้นหายใจ ฉันกินยาแก้มาก่อนหน้านี้แล้ว หากนายสู้กับฉันที่นี่ นายไม่ใช่คู่ต่อสู้ฉันหรอก” จางเฟิงหยานกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

ในขณะเดียวกัน เขาดีใจอย่างมากที่หลานหลี่เย่เตรียมของพวกนี้ไว้ให้เขา ไม่เช่นนั้น นี่คงยากจะหนีไปจากคนทั้งสี่จริงๆ

เขามองเฉินหลงอย่างไม่สมัครใจ จางเฟิงหยานพูดค่อนข้างถูก ตราบใดที่เขาหายใจเข้าไปแม้เล็กน้อย คนธรรมดาจะรู้สึกอ่อนล้าและไร้พลังในทันที และนั้นทำให้พวกเขาโดนฆ่า แม้เขาจะไม่ได้กล่าวไปตอนนี้ว่าเขาหายใจเข้าไปแล้ว แม้เขาจะไม่ได้รู้สึกอ่อนล้าอย่างคนทั่วไปแต่พลังของเขาก็ได้รับผลกระทบด้วย อย่างมากที่สุดเขาคงสู้ได้แค่ครึ่งหนึ่งของกำลังที่มี

 

เฉินหลงมองจางเฟิงหยานที่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดและกล่าวว่า “นายอยากให้พวกเราปล่อยนายไปอย่างนั้นหรือ”

 

“คงดีกว่าจะทิ้งฉันไว้ที่นี่มากๆนะ” คำของจางเฟิงหยานเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

ด้วย “ผงกระดูก” จางเฟิงหยานมั่นใจเรื่องเฉินหลงได้ร้อยเปอร์เซ็น พวกเขาไม่มีทางจัดการได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นเสียงเขาจึงมั่นใจเหลือเกิน

จริงอยู่ที่ว่า “ผงกระดูก” มีความเด็ดขาดอย่างมากและมีผลต่อสิ่งทั่วไปในธรรมชาติ แต่ใช้จัดการกับเฉินหลงไม่ได้ “นายคิดว่าเราได้ผู้ชนะกันแล้วหรือ”

สิ้นคำ ยิ้มแปลกๆก็ปรากฏบนใบหน้าเฉินหลง

 

“ได้แล้วไม่ใช่หรือ” จางเฟิงหยานรู้สึกได้ว่า “ผงกระดูก” รอบๆเขาเริ่มหายไป

“ไม่ล่ะ นายควบคุมมาตลอด และนายพูดไปเรื่อยมาก” เฉินหลงพูดขึ้น ร่างเขาเคลื่อนไป กรงเล็บจับคอของจางเฟิงหยานเบื้องหน้า

 

เขาเห็นเฉินหลงพุ่งผ่านมาข้างหน้าจางเฟิงหยาน โดยไม่แม้แต่จะทำท่าทีอย่าง “ระวังตัว”

เมื่อจางเฟิงหยานเห็นเฉินหลงที่พุ่งเข้ามาหาแล้ว รอยยิ้มอย่างดูถูกปรากฏบนหน้าเขา ในตอนเดียวกันนั้น เขาตัดสินใจว่าจะใช้โอกาสนี้ฆ่าเฉินหลงเสีย เขาจะทำภารกิจที่กลุ่มเขามอบหมายสำเร็จและสู้ให้กับเกียรติของกลุ่มเขาได้

 

แต่อย่างไรก็ตามใบหน้าของจางเฟิงหยานได้แสดงความตกใจทันที เพราะเขาพบว่า “ผงกระดูก” ในห้องทำงานนี้ได้หายไปแล้วในทันใดเฉินหลงพุ่งเข้ามา

ตอนที่เฉินหลงพุ่งเข้ามาในห้องทำงานนั้น “ไฟกำเนิด” ได้เผาไหม้ “ผงกระดูก” ในห้องไปเรียบร้อย

จางเฟิงหยานที่ตกใจอยู่นั้นดึงดาบที่เบาบางออกมาเพื่อจะป้องกัน

 

แม้ว่าจางเฟิงหยานตกใจด้วยการที่จู่ๆ“ผงกระดูก” ได้หายไป แต่อย่างไรเสีย เมื่อพลังเขาไปถึงขั้น “กำเนิด” แล้ว การตอบโต้ของเขาจึงเกินกว่าคนทั่วไป

 

การโต้กลับกลายเป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกไป

เฉินหลงจับดาบที่เบาบางของจางเฟิงหยานด้วยมือขวาและนั้นทำให้เกิดเสียงของทองกระทบเหล็กกล้า

เมื่อได้ยินเสียงแล้ว ใบหน้าจางเฟิงหยานเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“นายคือฉือเฮยหูหรือ”

“ใครบอกนายว่าฉันคือฉือเฮยหู ระฆังทองนี่ไม่ใช้กระป๋องของใครคนใดคนหนึ่งนะ” เฉินหลงว่า เขาต่อยจางเฟิงหยาน

 

ตอนจางเฟิงหยานเห็นหมัดของเฉินหลง ใจของเขารู้สึกขัดขืนอย่างไม่มีเหตุผล เขาไม่สามารถหาความมั่นใจมารับหมัดของเฉินหลงได้

เขารีบกระโจนถอยไป และชนเข้ากับกระจกด้วยหลังเขาอย่างจัง เขาตกลงจากตึก ในขณะเดียวกัน ตะขอเหินหาว ในมือเขาออกบินอีกครั้ง และเขาพร้อมจะออกไปจากตึก

ปัญหาแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับพระที่ไม่มีเหตุมีผล อีกอย่างเฉินหลงได้ฝึกระฆังทองด้วย เขาไม่ต้องสู้ต่ออีกแล้ว เขาทำภารกิจไม่สำเร็จคราวนี้ เขาจะรายงานเรื่องนี้กับกลุ่มของเขาและเมื่อเขากลับไปเขาจะต้องจัดการด้วยตัวเอง

 

เฉินหลงเห็นจางเฟิงหยานบินมุ่งไปตึกอื่นราวกับเป็นสไปเดอร์แมน แล้วเขาจึงโยนดาบเบาบางไปให้จางเฟิงหยาน

“เอาคืนไป”

ร่างของจางเฟิงหยานเปลี่ยนมุมเล็กน้อยในอากาศเพื่อหลบการโจมตีของเฉินหลง เขายังยื่นมือออกไปและจับดาบเขาไว้ในมือ

“ฉันจะจ่ายค่าหน้าต่างที่พัง”

กล่าวจบจางเฟิงหยานยื่นมือออกมาและโยนบางสิ่งให้เฉินหลง

เฉินหลงกางมืออกมาและจับสิ่งของเล็กๆนี่ไว้ในมือ เมื่อเขากางมือออกดูของนั่นกลายเป็นเหรียญทอง

ตอนที่จางเฟิงหยานพังหน้าต่าง นั่นทำให้เรียกหวังหูและพวกมา

“เจ้านาย ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ เกิดอะไรขึ้นครับ” เมื่อหวังหูมาแล้วและเห็นเฉินหลง พวกเขานิ่งไปพักหนึ่ง แล้วสีหน้าพวกเขาก็เปลี่ยนไป

 

“ไม่เป็นไรหรอก แค่โจรตัวเล็กๆ พวกเราไล่อออกไปแล้ว” เฉินหลงกล่าวให้เป็นเรื่องเล็ก “แต่ว่านะ นายให้ใครมาทำความสะอาดที่นี่ และก็ปิดกระจกด้วย แล้วพรุ่งนี้ค่อยซ่อม”

เฉินหลงไม่พูดต่อ หวังหูจึงไม่ถามอะไร เขาตรงไปสั่งให้คนเริ่มทำความสะอาด

เฉินหลงออกจากตึกไปพร้อมคนสี่คน

 

“ประสกเฉิน คุณกำจัด “ผงกระดูก”ไปได้อย่างไร ” หลังขึ้นรถแล้ว “ไม่พูด” อดถามไม่ได้

ตอนแรกเมื่อเฉินหลงพุ่งเข้าไปและไม่ได้รับผลกระทบจาก “ผงกระดูก” เขาคิดว่าเป็นเพราะการทำงานของระฆังทอง แต่เมื่อหวังหูและพวกมาถึง พวกเขาก็ไม่ได้รับผลอะไรเลยด้วย ไม่ต้องคาดการณ์อะไร เฉินหลงมีวิธีที่จะกำจัด “ผงกระดูก” ในตอนที่เขาพุ่งเขาไป

“ใช้ไฟ” เฉินหลงตอบง่ายๆในสองคำ

เมื่อเขาใช่เวลาสองสามวันอยู่กับพระพวกนี้แล้วเฉินหลงรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คนร้ายกาจอะไร พวกเขาแค่มีความเชื่อในหัวใจ ร่วมกับวิธีที่จะรับมือสิ่งต่างๆ คนอื่นเลยรู้สึกว่าพวกเขาช่างไร้เหตุและไร้ผล แต่อย่างไรก็แล้วแต่ พวกเขาไม่ได้ทำร้ายชีวิตใคร ดังนั้นเฉินหลงจึงพร้อมจะบอกเรื่องพลังเล็กๆน้อยๆของเขากับพวกพระเหล่านี้