TQF:บทที่ 687 มองออกทะลุปรุโปร่ง (2)
บนรถลากสัตว์วิญญาณ
“คุณหนู เราถูกเปิดเผยเพราะข้ารึเปล่า” หยูเฮงน้อยมีสีหน้าโมโหตัวเอง
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวไม่ได้รู้สึกอะไร “ไม่เกี่ยวกับเจ้าหรอก เขาเป็นประมุขของประเทศต้องจับตาดูเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว อีกอย่างเขาก็ไม่ได้แน่ใจซะทีเดียว ไม่อย่างนั้นคงไม่ถามคำถามพวกนั้นต่อหน้าเราหรอก หยั่งเชิงดูเท่านั้น”
“แต่ตอนนี้เขารู้แล้วนี่” หยูเฮงน้อยเบ้ปากด้วยความไม่พอใจ
“ยัยโง่” เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้ม “ไม่เห็นจะมีอะไรน่าโมโหเลย กระดาษมันห่อไฟไม่ได้หรอก ถ้าไม่อยากให้ใครรู้เราก็ต้องไม่ทำ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ปิดบังได้แค่พักเดียวเท่านั้น จะช้าจะเร็วก็ต้องมีคนรู้เข้าอยู่ดี ตอนนี้ตาเฒ่าฮ่องเต้รู้แล้วยังไง ที่จริงให้เขารู้สิยิ่งดี”
“ทำไมล่ะคุณหนู”
“เพราะถ้าเขารู้ถึงพลังของเรา เขาก็ยิ่งไม่กล้าหาเรื่องพวกเรา เขาทำได้แค่ระแวงหรือพยายามลากเราเป็นพวก และจะไม่ทำเรื่องที่ทำให้เราไม่พอใจเด็ดขาด ไม่เห็นจะมีอะไรแย่เลย”
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวยิ้มอย่างงดงาม “ถ้าเราเจอเรื่องยุ่งยากตาเฒ่าฮ่องเต้ยังจะช่วยพวกเราจัดการอีกด้วย ขอแค่เป็นเรื่องที่มีประโยชน์กับตัวเองไม่ว่าใครก็ไม่อยากพลาด โดยเฉพาะคนที่มีภาระอันยิ่งใหญ่อย่างตาเฒ่าฮ่องเต้ เขายิ่งต้องการพรรคพวกที่มีพลังและมีประโยชน์”
“ก็จริง ถ้าฮูหยินฟางครองรักกับองค์ชาย 18 จริงๆละก็ เราก็ต้องนับญาติกับพวกเขาจริงๆนะ”
“คนในใต้หล้านี้มีใครไม่ถูกหลอกใช้บ้าง ถ้าไม่มีใครหลอกใช้แปลว่าคนๆนั้นเป็นแค่คนเขลาคนนึงเท่านั้น ไม่คู่ควรจะให้ใครไปสนใจ พวกเราเองก็เหมือนกัน ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ”
“หืม ยุ่งยากไปข้าไม่เข้าใจ”
“อีกหน่อยเจ้าก็จะรู้เอง”
ระหว่างที่ทั้ง 2 คุยกันอยู่ รถลากสัตว์วิญญาณก็ขับเคลื่อนไปยังทิศบ้านตระกูลฟางภายใต้การคุ้มครองจากทหารยาม
หลังจากที่พวกนางกลับมาของขวัญจากฮ่องเต้ก็มาถึงตระกูลฟาง กล่องแล้วกล่องเล่า ลังแล้วลังเล่า หยูเฮงน้อยรับของขวัญจนมือไม้อ่อน จากเดิมที่นางเซ็งๆอยู่ก็เปลี่ยนเป็นมีความสุขทันทีหลังจากที่ได้เห็นของขวัญเหล่านี้
ตอนที่ขันทีผู้มาส่งของกำลังจะไป หยูเฮงน้อยก็ยื่นกล่องไปให้ 2 กล่อง เปิดมาดูเป็นผลไม้ 2 ลูก ทำให้ตาเฒ่าทั้ง 2 หัวเราะร่วน แต่ก็ยังรับไว้อย่างเบิกบานใจ
โดยเฉพาะขันทีชราที่เก็บเข้าแหวนมิติอย่างระมัดระวังราวกับเป็นสมบัติที่สะสมไว้
วันเวลาหลังจากนั้นครึกครื้นสุดๆ
หลังจากที่องค์ชาย 18 ออกจากการเก็บตัวก็ไปที่บ้านใหญ่ตระกูลฟางอยู่บ่อยๆ ส่วนเรื่องของเขากับฟางซูหยุนจริงๆแล้วคนทั้งชิงยางรู้กันหมด เพียงแต่ไม่มีใครพูดอะไร
บัดนี้ทั้งชิงยางมีใครไม่รู้บ้างว่านายท่านใหญ่แห่งตระกูลฟางเพิ่งจะบรรลุบรรลุเทพเทวาไป ในโลกที่ถือคนแกร่งเป็นใหญ่นี้ผู้ที่แข็งแกร่งก็เปรียบเสมือนเทพเจ้าของคนอื่นๆ ไม่มีใครกล้าเสียมารยาทกับครอบครัวพวกเขา
อีกอย่างคนในตระกูลฟางอยากจะให้บ้านใหญ่รักษาความสัมพันธ์กับราชวงศ์ไว้จะตาย นี่เท่ากับได้สหายเพิ่มขึ้นอีก เป็นเรื่องดีๆที่คิดไม่ถึงเลยจริงๆ
ส่วนเสียงที่แตกต่างออกไปทุกคนเลือกที่จะเมินเฉย เหล่าผู้อาวุโสตระกูลฟางได้เตือนพวกชอบสร้างเรื่องไว้แล้ว
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่หวงฝู่มั่วเฉินที่มาป้วนเปี้ยนในบ้านใหญ่บ่อยๆ แขกคนอื่นๆก็มาไม่ขาดสาย ที่น่าสนใจที่สุดก็คือหนุ่มสาวทั้ง 2 ของบ้านใหญ่ที่คนมาสู่ขอเยอะจนประตูบ้านตระกูลฟางแทบพัง ทุกคนล้วนอยากดองกับบ้านใหญ่ตระกูลฟาง
คนในบ้านใหญ่สะเทือนใจอยู่บ้างกับสถานการณ์นี้ หลายสิบปีที่ผ่านมาเคยมีเรื่องแบบนี้ซะที่ไหนกัน แม้แต่ตอนที่ฟางเส้าหยิ่งแต่งงานก็ไม่ค่อยมีใครมา
ถึงแม้ทุกคนจะนึกเศร้าใจ แต่เมื่อเห็นภาพบ้านตัวเองครึกครื้นเต็มไปด้วยผู้คนก็รู้สึกดีใจและมีความสุขมากๆ
คนบ้านใหญ่มีชื่นอารมณ์กันถ้วนหน้า แต่คนบ้านสามอยู่กันแย่ลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะฟางซูเสวี่ยที่พบว่าสามีของนางมีผู้หญิงอื่น นางจึงตามไปจับชู้จนเป็นที่อลหม่าน ฮือฮาไปทั่วชิงยาง สามีภรรยาเจ้าสำนักมารสู้รบกันกลางชุมชนก็เป็นหัวข้อใหม่ล่าสุดให้คนได้พูดคุย
วันนั้นเจ้าสำนักมารเซียวซีหนิงพานางบำเรอใหม่ที่โปรดปราน 2 คนและลูกศิษย์ตัวเองกลับสำนักไป ทิ้งฮูหยินเจ้าสำนักไว้โดยไม่สนใจอีก
จากสิ่งที่หยูเฮงน้อยบอกมา ฟางซูเสวี่ยที่เพิ่งถูกสามีทุบตีมาก็โดนท่านพ่อฟางเต๋อถังตบอีกรอบ และยังสั่งให้นางกลับสำนักมารไปเดี๋ยวนั้นเพื่อเชิญบรรลุเทพเทวาสำนักมารมาช่วย
ข่าวนี้ทำให้หยูเฮงน้อยอารมณ์ดีอยู่นาน เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเองก็เฝ้ารอว่าฟางซูเสวี่ยจะเชิญมาอย่างไร และจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก
เวลาอันสงบสุขของ 2 สาวอยู่ได้ไม่นานก็มีคนมาหาพวกนางอีกแล้ว
ขุนนางนักปราชญ์เป็นฝูงรวมถึงพระโอรสและพระธิดามาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง เจาะจงว่าจะพบคุณหนูเฉิงเสี่ยวเสี่ยว
หากมาแค่คน 2 คนนายท่านฟางยังหาข้ออ้างไล่พวกเขาไปได้ แต่นี่มากันเป็นฝูงเกรงว่าบรรลุเทพเทวาอย่างเขาก็คงทำอะไรไม่ได้ จึงต้องให้คนไปเรียกนางมาเจอแขก
ที่จริงคนพวกนี้มาถึงบ้านตระกูลฟางเฉิงเสี่ยวเสี่ยวและหยูเฮงน้อยรู้หมด และก็รู้ด้วยว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นนางจึงให้คนรับใช้จัดโต๊ะเก้าอี้และขนมชนิดต่างๆไว้ที่สวนหลังบ้าน
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวสั่งให้หยูเฮงน้อยไปเรียกพวกเขามา ส่วนตัวเองนั่งเขียนโคลงบท 2 บรรทัดอยู่ข้างศาลา รอให้คนพวกนั้นมา
แม้ว่าเฉิงเสี่ยวเสี่ยวในชาติก่อนจะไม่ใช่อัจฉริยะอะไร แต่ถึงยังไงก็เป็นชาวเน็ตที่สิงอยู่ในเน็ตบ่อยๆ พวกบทกลอน โคลงบทก็มีสนใจบ้าง แม้จะจำได้ไม่หมดแต่ก็พอจำได้อยู่นิดหน่อย เอามาแกล้งให้ตาแก่พวกนี้มีน้ำโหก็น่าสนุกเหมือนกัน
และก็จริง ตอนที่พวกเขามาอยู่ที่สวนหลังบ้านไม่เห็นอย่างอื่นเลยนอกจากโคลงบท 2 บรรทัดที่แขวนอยู่บนศาลา ตาแก่ 1 ในนั้นอ่านอย่างประกอบท่าทาง “ขำอดีต ขำปัจจุบัน ขำตะวันออก ขำตะวันตก ขำไปขำมาขำตัวเอง ที่แท้ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
“….”
ทุกคนมองโคลงบท 2 บรรทัดนี้อย่างใช้ความคิด
เฉิงเสี่ยวเสี่ยวนั่งดื่มชากินขนมในศาลาด้วยท่าทีเรียบๆ ไม่สนใจผู้คนที่ยื่นอึ้งอยู่ด้านนอก
หยูเฮงน้อยก็กลับมาแล้วเหมือนกัน นางกินผลไม้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางมาดูเรื่องสนุกชัดๆ
ที่จริงไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนี้หรอก แต่ช่วยไม่ได้ที่ครั้งที่หวงฝู่เส้าจวินยืนยันจะให่นางเขียนโคลงบท 2 บรรทัดอะไรนี่ให้ได้ ตอนนั้นเฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็เกิดนึกสนุกและนึกถึงโคลงบทบนอันโด่งดัง ‘ตึกว่างเจียง มองธารไหล ใต้ตึกว่างเจียงมองธารไหล ตึกเจียงโบราณ กระแสน้ำธารโบราณ”
โคลงบท 2 บรรทัดนี้เรียกได้ว่ายากที่สุดในประวัติกาล นอกจากคำซ้ำแล้ว ที่สำคัญคือตัวอักษรสื่อถึงความหมายและภาพอันงดงาม ต้องมีโคลงบทล่างที่เหมือนกัน ยากมากจริงๆสำหรับคนโบราณเหล่านี้
วันนั้นหนอนหนังสืออย่างหวงฝู่เส้าจวินคิดตั้งนานก็คิดไม่ออก สุดท้ายต้องยอมให้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเฉลยคำตอบ
โคลงบทล่างมี 2 ฉบับ ฉบับแรกคือ ‘บ่อยิ่นเยวี่ย สะท้อนเงาจันทร์ ในบ่อยิ่นเยวี่ยสะท้อนเงาจันทร์ บ่อเยวี่ยหมื่นปี เงาจันทร์หมื่นปี’ อีกฉบับหนึ่งคือ ‘เวทีไส้ซือ แข่งแต่งกลอน แข่งแต่งกลอนบนเวทีไส้ซือ เวทีเลิศล้ำ แต่งกลอนเลิศล้ำ’
—————————–