สรวงสวรรค์ของความระทึกขวัญเริ่มต้นขึ้น

‘ประตู’ ในเมืองหลี่ว่านนั้นหลุดออกจากการควบคุม และหมอกสีเลือดก็กลืนกินเมืองลงไปครึ่งหนึ่ง เส้นแบ่งระหว่างฝันร้ายและความจริงนั้นพร่าเลือนไป ตอนนี้ เฉินเกอไม่รู้ว่าเขาอยู่ในประตูแล้วหรือยังเพราะว่าหมอกสีเลือดปกคลุมทุกอย่างเอาไว้ เส้นเลือดคืบคลานอยู่บนผิวกำแพงของทุกตึกราม

หากพวกเราเดินไปตามทางนี้ พวกเราก็จะไปถึงตึกที่ร่างของผีโทรศัพท์ถูกพบ บางทีฉันอาจจะลองขึ้นไปที่ชั้นดาดฟ้าลองตรวจดูในถังน้ำ

ในชีวิตจริง ร่างของผีโทรศัพท์ ถงถง นั้นถูกตำรวจนำไปแล้ว ดังนั้นหากยังมีศพอยู่ในถังน้ำ อย่างนั้นมันก็ต้องหมายความว่าเฉินเกอนั้นอยู่ในโลกด้านหลังประตู โลกที่ด้านหลังประตูนั้นสร้างขึ้นจากความทรงจำของผู้เปิดประตู ดังนั้นตราบใดที่ศพของถงถงยังอยู่ในความทรงจำของเสี่ยวปู้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ศพจะยังถูกทิ้งเอาไว้ในถังน้ำ

แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานของเฉินเกอ และเขาก็ไม่มีวิธีการยืนยันเรื่องนี้

ฟ่านฉงอาศัยอยู่ในเขตที่พักเดียวกันกับเพื่อนร่วมชั้นของเสี่ยวปู้ มันค่อนข้างไกลจากที่นี่ และถ้าฉันไปที่นั่น พวกเราย่อมต้องไปเจอเข้ากับบางอย่างแน่นอน

เฉินเกอมองไปด้านหลังตัวเอง ทุกที่ที่เขาเห็นก็คือหมอกสีเลือด ถนนที่พวกเขาใช้นั้นหายไปแล้ว และโลกนี้ที่ด้านหลังหมอกก็ดูจะมีแต่ทางไปไม่มีทางกลับแล้ว

ถ้าสมมติว่านี่เป็นโลกที่ด้านหลังประตูจริง ๆ หนทางเดียวที่จะออกจากที่นี่ไปได้ก็คือผ่านประตู ประตูเมืองหลี่ว่านนั้นอยู่ในตึกตรงข้ามกับบ้านของฟ่านฉง ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ต้องวนไปที่บ้านเขาในคืนนี้

เฉินเกอวางแผนจะแบ่งปันผลลัพธ์จากการวิเคราะห์ของเขากับเหล่าผู้โดยสารและใช้มันเป็นข้ออ้างขอให้พวกเขาตามตนเองไปยังเขตที่พักอาศัย

“ฉันต้องบอกทิศทางอันแน่นอนให้พวกเขา ว่าจะช่วยพวกเขาหาทางกลับบ้าน”

เส้นเลือดรวมกันอยู่ที่ด้านนอกรถเมล์ มันเหมือนหมอกนั้นมีชีวิตขึ้นมาและค่อย ๆ กลืนกินทุกอย่างที่มาจากด้านนอกลงไปอย่างช้า ๆ

“คุณกำลังพึมพำอะไรน่ะ?” ผู้โดยสารลงจากรถทีละคน หมอรุนหลังเฉินเกอ “พวกเราควรจะอยู่ด้วยกันเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ไม่ควรแยกกันไป”

“ได้” เฉินเกอหันไปมองที่ประตูรถเมล์ ชายขี้เมานั้นอยู่กับครอบครัวสามคน และชายหน้ายิ้มยืนอยู่ที่ด้านข้าง และ ‘ฆาตกร’ ที่เรียกตัวเองว่ามือกรรไกรก็อยู่คนเดียวที่ด้านหลัง

“ก่อนที่จะแน่ใจในความปลอดภัยของตึก มันจะดีกว่าถ้าจะไม่เข้าใกล้ตึกต่าง ๆ มากเกินไป ของน่ากลัวอย่างแขนที่ถูกตัดขาดหรือว่าหัวลอยได้อาจจะโผล่ออกมาจากในนั้น” เฉินเกอนั้นเคยเห็นสิ่งของเช่นนั้นจากในเกมของเสี่ยวปู้ และเพราะอย่างนั้น เขาจึงค่อนข้างมีประสบการณ์มาก

“ผมหวังว่านั่นจะเป็นแค่เรื่องตลกของคุณ” ชายขี้เมานั้นตื่นเต็มตาแล้ว– เขาจะไม่ตื่นได้อย่างไร? หากเขาสามารถมีชีวิตรอดออกจากเมืองหลี่ว่านไปได้ เขาจะไม่เข้าใกล้สิ่งมึนเมาเช่นนี้อีกเลย

“แน่นอน ผมแค่พูดเล่น ผมไม่รู้หรอกว่าจริง ๆ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น– มันอาจจะน่ากลัวกว่าที่ผมพูดก็ได้” เฉินเกอชี้ไปยังตึกที่พบร่างของผีโทรศัพท์ “ไปดูที่นั่นกัน พวกเราจะตรวจดูทุกชั้น และหลังแน่ใจแล้วว่ามันไม่มีอันตราย อย่างนั้นพวกเราก็หลบอยู่ที่นั่นชั่วคราวก่อน”

“ดูเหมือนว่าคุณจะรู้จักที่นี่ดี” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมชักสีหน้า ความไม่เชื่อถือในน้ำเสียงของเขานั้นชัดเจนมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว “มีตึกอยู่รอบตัวพวกเราตั้งมาก ทำไมคุณถึงจะนำพวกเราไปยังตึกหลังนั้น? คุณวางกับดักอะไรเอาไว้ในนั้นใช่ไหม?”

“คุณกำลังอคตินะ” เฉินเกอยิ้มให้ชายวัยกลางคน “ผมไม่ต้องอาศัยกับดักในการฆ่าคุณหรอกนะ”

ใบหน้าของชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปทันที และจากนั้นเฉินเกอก็ยักไหล่ “ผมแค่พูดเล่นน่ะ ผมไม่เคยกระทั่งฆ่าไก่มาก่อนเลยในชีวิตนี้ เหตุผลเดียวที่ผมยังคงใจเย็นอยู่ได้ก็เป็นเพราะว่าผมดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการเล่นเกมสยองขวัญ”

เฉินเกอหันไปชี้ไปที่ตึกที่เขาเลือก “แน่นอนว่า มันมีเหตุผลให้ผมเลือกตึกนั้นให้พวกเรา อย่างที่พวกเขาพูดกัน รู้จักศัตรูก็ชนะสงครามไปครึ่งหนึ่งแล้ว พวกเราจะแอบอยู่ในตึกนั่นแล้วจับตามองรถเมล์ผ่านหน้าต่าง ในเมื่อคนบงการส่งพวกเราเข้ามาในหมอกเลือด เขาย่อมต้องส่งใครสักคนมาตรวจดูพวกเรา พวกเราอย่างน้อยที่สุดก็จะได้รู้จักหน้าค่าตาของศัตรู และก็จะสามารถวางแผนการที่ใช้ได้ขึ้นมา นอกจากนี้ ในหมอกนั้น การมองเห็นจะแย่ลง หากพวกเรายังอยู่ใกล้กับรถเมล์มากเกินไป พวกเราก็จะถูกศัตรูพบ ดังนั้นหลังจากประมวลปัจจัยทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้ว ผมก็คิดว่าตึกนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด”

หลังจากแย้งออกไปแล้ว กระทั่งชายหน้ายิ้มก็ยังพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ชายวัยกลางคนไม่สามารถโต้แย้งด้วยเหตุผลที่หนักแน่นได้ แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอย่างประหลาด “อย่างนั้นคุณก็เดินนำไป และพวกเราตามหลังคุณไป”

“ไม่มีปัญหา แต่ว่าระวังอย่าถูกทิ้งไว้ข้างหลังล่ะ” เฉินเกอรับปากอย่างง่ายดาย เขาหิ้วกระเป๋าทั้งสองใบขึ้นมาและเดินนำไป หมอตามหลังเขาไปติด ๆ

“มีบางอย่างไม่ปกติในตัวผู้ชายคนนั้น” ชายวัยกลางคนคว้าแขนภรรยาของเขา ภรรยาของเขานั้นเหมือนตุ๊กตาชักใย ปล่อยให้เขาควบคุมตัวเธอเอาไว้โดยไม่ดิ้นรน

“จริงหรือ? ผมคิดว่าเขาแย้งได้มีเหตุผลหนักแน่นออกนะ” ในเมื่อครอบครัวสามคนไม่ขยับ ชายขี้เมาก็อยู่นิ่งไปด้วย ครอบครัวสามคนดูคุกคามเขาน้อยที่สุดแล้วดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอยู่กับคนพวกนี้

“เขาดูมีเหตุผล แต่ว่ามันก็สายเกินไปที่จะเสียใจหากว่าเขาปิดบังบางอย่างไว้จากพวกเรา การระมัดระวังเอาไว้ไม่ใช่เรื่องผิด” ชายวัยกลางคนอุ้มเด็กชายขึ้นมา พวกเขาตามหลังเฉินเกอไปแต่ว่ารักษาระยะห่างระหว่างสองฝ่ายเอาไว้ค่อนข้างห่าง

ชายหน้ายิ้มไม่ตามเฉินเกอไปแต่เลือกเดินไปที่อีกฝั่งของถนนคนเดียว จากฝั่งของเฉินเกอ เขามองเห็นเพียงแค่รูปเงาพร่ามัวผ่านหมอกเท่านั้น

มือกรรไกรนั้นอยู่ท้ายกลุ่ม ใบหน้าของเขาซีด และเมื่อไหร่ที่เขาเคลื่อนที่ ก็จะมีเสียงฝีเท้าสองเสียง พวกเขาเดินฝ่าหมอก ตอนที่เข้าไปใกล้ตึกนั่นแล้วก็มีคนดึงเสื้อเฉินเกอ

เขาหันกลับไปมองและเห็นหมอดึงผ้าพันคอลงกระซิบ “ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นการฉลาดที่พวกเราจะเข้าไปในตึกหลังไหนก็ตามในหมอกสีเลือดนี่ ถ้าตึกมันว่างเปล่าอย่างนั้นพวกเราก็โชคดีไป แต่ฉันเกรงว่ามันจะมีใครจับจองแล้ว”

“ไม่เป็นไร ผมสัญญาว่าจะระวัง” เฉินเกอพบว่าหมอนั้นมีความรู้อย่างน่าสงสัย มันเหมือนเขาเคยมาที่นี่มาก่อน ทั้งคู่เข้าไปในตึก ในทางเดินมืด ๆ ล้อมรอบไปด้วยสีทาผนังที่เริ่มลอกและหมอกสีเลือดที่ลอยเอื่อยอยู่ในทุกตารางนิ้วของตึก แค่ยืนอยู่ที่นี่ก็ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจแล้ว

ประตูไม้ที่มีกลิ่นประหลาดถูกผลักเปิด และเฉินเกอก็เข้าไปตรวจดูในทุกห้อง

“คุณวางแผนจะตรวจดูทุกห้องเลยเหรอ?” หมอดูลังเล “ถ้าเกิดว่าพวกเราไปเจออะไรเข้าล่ะ?”

“เป็นฝ่ายบุกเข้าไปหาพวกเขาน่าจะดีกว่าปล่อยให้พวกมันลอบลงมือกับพวกเรา” เฉินเกอขยับตัวรวดเร็ว เขาไม่หยุดพักเลย มันเหมือนเขาไม่เข้าใจความรู้สึกกลัว ไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงที่ชั้นบนสุด

บนชั้นแรก ครอบครัวสามคนและชายขี้เมาหยุดนิ่งอยู่ พวกเขาจับกลุ่มกัน ไม่รู้ว่าควรจะขึ้นบันไดไปหรือไม่

“ผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะไปถึงชั้นบนสุดแล้ว” ชายขี้เมายืนอยู่ที่ช่องบันไดและมองผ่านช่องว่างขึ้นไป

“ไม่มีเหตุผลให้พวกเราตามเขาไป อยู่ที่ชั้นแรกนี่พวกเราจะหนีได้เร็วกว่า” ชายวัยกลางคนค่อนข้างขี้ขลาด

“พ่อครับ…” เด็กชายในอ้อมแขนของเขาเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรขณะที่เขามองไปยังทางเดินมืดสลัวด้านหลังชายวัยกลางคน

“คุณพูดถูก” ชายขี้เมาคอยมองขึ้นไป แต่มันมืดเกินกว่าจะเห็นอะไร เขาหรี่ตาและแอบรู้สึกสงสัยว่ามีบางอย่างอยู่บนบันไดชั้นบนยื่นหน้าออกมา เขาคิดว่ามันน่าจะเป็นของตกแต่งสักชิ้นหนึ่ง

“ให้เขาเดินนำล่วงหน้าไป– พวกเราแค่ต้องรอจนกว่าเขาจะยืนยันว่าที่นี่ปลอดภัย”

ชายวัยกลางคนอยากจะพูดอย่างอื่นอีกตอนที่เด็กชายกระซิบขึ้นอีกครั้ง “พ่อครับ…”

“ว่า? มีอะไร? ฉันรู้แล้วว่าแกไม่เป็นไร ชู่!”

“ลูกปิดประตูที่ทางเดินกำลังขยับ ดูสิ ตรงนั้นครับ” เด็กชายยกมือชี้ไปยังจุดที่ลึกเข้าไปในทางเดิน