TB:บทที่ 193 มนต์คาถาแม่มด
ตอนแรกที่เขาได้เห็นภาพของเงานี่ เฉินหลงอยากจะหยิบเอาโล่ป้องกันออกมา แต่เมื่อคิดอีกครั้ง เขาคิดว่านี่เป็นโอกาสให้เขาพัฒนาพลังไปอีกขั้น ฉะนั้น มาสู้กันสิ
ระฆังทองของเฉินหลงอยู่ในระดับสิบเอ็ด และแม้ว่าคู่ต่อสู้เขาจะแข็งแกร่งทว่าเขาช่างมั่นใจว่าเขาจะรับมือกับกระบวนท่านี้ได้และไม่ตาย
“ถ้าคุณอยากได้ชีวิตผม คงขึ้นอยู่กับฝีมือคุณแล้วล่ะ” เขากล่าวไป เฉินหลงนำระฆังทองที่มีพลังระดับสิบเอ็ดออกมาระฆังสีทองเรือนใหญ่ที่ดูเก่าแก่ปรากฏรอบตัวเฉินหลง
ครั้งนี้ ระฆังทองดูมีความดุดันกว่าครั้งก่อนที่เฉินหลงพบกับพระทั้งสี่
“ระฆังทองหรือ” หญิงคนนั้นขมวดคิ้วเบาๆ จากนั่นเธอกล่าวอย่างรังเกียจว่า “หากพลังของนายไปถึงระดับพลังลมปราณแล้ว เช่นนั้นฉันคงช่วยอะไรนายไม่ได้ โชคร้ายหน่อยที่พลังของนายอ่อนแอเกินไป”
ตอนที่สิ้นเสียง หมีตัวยักษ์ได้ตะปบอย่างแรงลงบนระฆังทอง
“กึ้ง”
อุ้งมือยักษ์ตบลงบนระฆังทอง จนระฆังส่งเสียงออกมา
จากนั้นเฉินหลงรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่กดลงบนระฆังทอง อักษรรูนบนระฆังทองวิ่งวนอย่างบ้าคลั่งและพยายามจะกระจายพลังไป
อย่างไรเสีย พลังนี้ช่างมากมายเกินกว่าระฆังทองจะต้านทานได้
ภายใต้อุ้งเท้าของหมีที่ตบลงมา รอยแตกเริ่มจะปรากฏบนระฆังทองที่พร้อมจะแตกหักได้ในทุกเมื่อ รอยแตกค่อยๆใหญ่ขึ้นเรื่อยๆและในท้ายสุดก็แตกออก อุ้งเท้าของหมียักษ์ตามร่างของเฉินหลงไปและทุบโดนเฉินหลง
ยังเป็นเรื่องดีที่ ระฆังทองป้องกันพลังที่โจมตีได้แปดสิบเปอร์เซ็น และด้วยพลังในร่างเฉินหลง มีอีกยี่สิบเปอร์เซ็นที่โจมตีเฉินหลงได้ซึ่งนั่นทำให้เฉินหลงทำได้เพียงสำรอกออกมาพร้อมเลือดที่เต็มปากเท่านั้น อาการบาดเจ็บไม่สาหัสนัก
เฉินหลงใช้โอกาสนี้นำพลังของเขาไว้ที่แขนและทุบกระจกบ้านเพื่อหลบหนี
เฉินหลงคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี แต่เพราะหญิงคนนี้มีความสามารถพิเศษในการหาเรื่องให้เฉินหลง ทำไมเธอจะไม่คิดเรื่องนี้ไว้กัน
หลังจากออกมาจากบ้านได้ เฉินหลงคิดว่าเขาจะหลบหนีสำเร็จ ทว่าจู่ๆก็มีพลังที่มองไม่เห็นมาขวางไว้
เขาโดนพลังนี้ทุบเข้า เฉินหลงจึงกระเด็นกลับไป ในการปะทะกันนี้ เฉินหลงกระอักเลือดที่เต็มปาก
“นายคิดว่าฉันไม่เตรียมตัวมาหรือ ฉันใช้การม่านกำบังตัวมาที่นี่ได้ อีกอย่างหากจะทำลายม่านกำบังของฉัน คงไม่มีโอกาศแม้แต่เสียงก็ส่งผ่านออกไปไม่ได้ ดังนั้นนายจะโดนฉันฆ่าทั้งเป็นคนเดียวที่นี่” หญิงคนนั้นกล่าวด้วยเสียงที่เหี้ยมโหด
คำพูดของหญิงคนนั้นทำให้ใจของเฉินหลงกระตุก เขาคิดว่าหญิงคนนั้นมาฆ่าเขาด้วยเหตุผลส่วนตัว
“นี่คุณ คุณคือคนที่ใช้คำสาปกับหวังหว่านจินใช่ไหม” เฉินหลงจ้องมองผู้หญิงคนนั้น
หญิงคนดังกล่าวมองเฉินหลงอย่างเย็นชาและกล่าวไปว่า “นายไม่โง่นี่ นายทำลายมนต์ของฉันไปแล้ว คิดว่าฉันจะปล่อยนายหรอ”
หากว่าไม่ใช่เพราะเฉินหลง เธอคงสามารถเข้าสู่ระดับพลังลมปราณได้ในหนึ่งปี
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของความก้าวหน้า ทว่ายังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของพลังในอนาคตด้วย
เฉินหลงทำลาย “มนต์ตราผูกมัดหยิน” นั่นกล่าวได้ว่าเขาได้ทำลายเส้นทางการพัฒนาของเธอไป
ตามปกติแล้ว เพียงแค่ได้เอาชีวิตเฉินหลงไปเธอคงทำลายความเกลียดชังไปได้บ้าง
ชื่อของหญิงคนนี้คือกู่เหวิน เธอเป็นนายแม่ของกลุ่มลึกลับที่เรียกว่าผู้มีมนต์คาถา “วู๋เจียว” คือกลุ่มหนึ่งของกลุ่มที่ไม่เป็นไปตามปกติ มีกลุ่มที่มีมนต์ลึกลับแบบนี้อีกหลาหลายกลุ่มในหมู่แม่มด “มนต์ตราผูกมัดหยิน” เป็นมนต์ที่เลวร้ายและทรงพลังมากที่สุดในกลุ่มของผู้มีเวทย์มนต์คาถา มีเพียงนายแม่เท่านั้นที่ฝึกคาถาเช่นนี้ได้ นายแม่ในทุกๆรุ่นสามารถพัฒนารากของ “มนต์ตราผูกมัดหยิน” ได้ มนต์นี้จะยึดโยงกับเส้นเลือดหัวใจ รากของ“มนต์ตราผูกมัดหยิน”สามารถวางไว้ในตัวเด็กที่มีความสามารถในการพัฒนาที่ทรงพลัง เมื่อเด็กโตขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นแล้ว อีกทั้งยังเป็นไปตามเงื่อนไขของ“มนต์ตราผูกมัดหยิน” “มนต์ตราผูกมัดหยิน”จะฆ่าร่างนั้นและนำเอาพลังที่พัฒนาได้ทั้งหมดมาเป็นของตน
หลังจากนั้น แล้ว“มนต์ตราผูกมัดหยิน” จะกลับมาเป็นรากดังเดิมที่เมื่อใช้คาถาในร่างอื่นอีกครั้งตราบใดที่รากนี้ยังไม่ตายและนายแม่ยังคงอยู่ ตามทฤษฏีแล้วพลังของนายแม่จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆอย่างไม่สิ้นสุด
นายแม่ของแต่ละรุ่นของกลุ่มผู้มีคาถาจะเพิ่มพลังของตนผ่านวิธีที่ว่า
แต่หาก“มนต์ตราผูกมัดหยิน”ได้ถูกทำลายไป การเพิ่มพลังของนายแม่จะถูกตัดขาดไปด้วย
เป็นเรื่องจริงที่ว่าพ่อแม่ของหวังหว่านจินช่วยกู่เหวินไว้ ทว่าด้วยความโลภต่อการพัฒนาพลังของเธอ ทำให้เธอเริ่มใช้มนต์นี้กับหวังหว่านจิน
ตอนแรกเมื่อพลังของหวังหว่านจินเพิ่มไปถึงระดับกำเนิด กู่เหวินสามารถจะเอาชีวิตเขาไปและนำพลังมาเป็นของเธอได้ แต่เมื่อคิดถึงพ่อแม่ของหวังหว่านจินที่ช่วยเธอไว้ เธอจึงใจอ่อนและปล่อยให้หวังหว่านจินมีอายุถึงยี่สิบปี
อย่างไรก็ตามแต่ เธอคาดไม่ถึงว่าใจเธอที่อ่อนไปจะทำให้เส้นทางการพัฒนาของเธอโดนทำลายไปด้วย
“คุณไม่คิดว่าคุณทำเกินไปกับเด็กสองขวบหรือ” เฉินหลงไม่ชอบผู้หญิงคนนี้เลยแม้ในใจลึกๆก็ตาม และหากเป็นไปได้เขาอยากจะฆ่าเธอเสียจริงๆ
“ถ้าฉันใจเหี้ยมกว่านี้ เขาคงตายไปแล้ว แต่อย่างไรเสียถึงฉันจะคงเป็นคนใจอ่อนแต่ฉันคงปล่อยนายไปไม่ได้หรอกนะ ไอ้ตัวปัญหาที่ทำลาย “มนต์ตราผูกมัดหยิน” และตัดทางพัฒนาของฉันไป วันนี้ฉันจะใช้เลือดของแกไปดับความโกรธแค้น”
“แปลงเป็นหมาป่า”
ภาพของเงาเบื้องหลังของกู่เหวินเปลี่ยนแปลงจากหมีใหญ่เป็นหมาป่าสีขาว กรงเล็บของหมาป่ากำหัวใจของเฉินหลงไว้
“หมีใหญ่เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนเป็นหมาป่าสีเทา” ทั้งสองสิ่งนี้คือวิธีการใช้คาถาหรือ เพื่อเพิ่มความเป็นตัวตนให้กับภาพของเงานี้ เธอจะต้องฆ่าหมีหรือหมาป่าและใช้เวทย์มนต์เพื่อรวมพลังวิญญาณไว้ ยิ่งฆ่ามากเท่าไรพลังที่ใช้ยิ่งมากเท่านั้น ด้วยพลังที่แข็งแกร่งขึ้นตามระดับแล้ว พลังที่มีจะมีความน่าเกรงขามมาก
“หากอยากได้ชีวิตผมนัก ก็เอาไปเลย” สิ้นคำเฉินหลงใช้ระฆังทองขึ้นอีกครั้ง
เธอเห็นเฉินหลงใช้ระฆังทองอีกครั้งแล้ว กู่เหวินแสดงท่าทางเย้ยหยันและกล่าวว่า “ดูสิ นายจะทนได้นานแค่ไหนกัน”
เฉินหลงบาดเจ็บจากการโจมตีในตอนนี้ คงขึ้นอยู่กับว่าเขาจะทนได้อย่างไรแล้ว
อย่างไรเสียกู่เหวินไม่รู้ว่าร่างของเฉินหลงผลิตฉีรักษาได้ ในตอนนี้เมื่อมองจากภายนอก เฉินหลงยังดูบาดเจ็บอยู่
กรงเล็บของหมาป่าไม่แข็งแกร่งเท่ากับอุ้มเท้าหมีและป้องกันได้ด้วยระฆังทอง
อย่างไรเสีย มีรอยแตกจำนวนมากอยู่ที่ด้านบนของระฆังทอง ตราบใดที่มีต้องรับการโจมตีของกรงเล็บอีก ระฆังทองต้องถูกทำลายเป็นแน่
เธอเห็นเฉินหลงรับกรงเล็บแล้ว กู่เหวินประหลาดใจเล็กน้อย เฉินหลงสามารถป้องกันกรงเล็บของเธอได้ แต่เมื่อเธอเห็นรอยแตกบนระฆังทองแล้ว จึงโจมตีลงไปอีกครั้ง
อย่างไรก็แล้วแต่ กู่เหวินได้เพิ่มกรงเล็บขึ้นอีก เฉินหลงใช้ฉีให้ผ่านระฆังทองได้อีกครั้ง
ก่อนที่กรงเล็บหมาป่าจะโจมตี เฉินหลงซ่อมแซมรอยแตกบนระฆังทองไว้
และหลังจากเขาขวางการโจมตีครั้งที่สองอีกครั้ง กู่เหวินกล่าวกับเฉินหลงคล้ายกับน้ำเสียงของแมวที่ไล่หนู “พลังของนายเยี่ยมจริงๆ แต่นายเพิ่งผ่านระดับของพลังลมปราณมา โชคไม่ดีหน่อยนะ นายไม่มีโอกาสหรอก”
สิ้นคำ ลมหายใจของกู่เหวินเปลี่ยนไปอีกครั้ง และเงาของหมีที่หายไปปรากฏขึ้นอีกรอบ ควบคู่ไปกับเงาของหมาป่า
ในตอนนั้นเองมีเส้นเลือดสีฟ้าบนหน้าผากของกู่เหวิน ดูเหมือนกับว่ามีเงาทั้งสองเกิดขึ้นพร้อมกันซึ่งนี่เป็นภาระต่อร่างของเธอมาก