TB:บทที่ 195 แถวตัวเลขหนึ่งหมื่นแถว

 

มีดขว้างของเจิ้งอี้โยนขึ้นไปสูงจากวิลล่า

เมื่อมีดขว้างที่โยนขึ้นไปโดนกับม่านกำบังแล้ว มีดปาที่หายไปเนื่องจากความเร็วได้ปรากฏกลับมา แล้วเฉือนม่านกำบังและลอยผ่านเข้าไปในม่านนั้น

 

“เจ้านาย ม่านนี้ขังพลังระดับลมปราณไม่ได้ ทว่าคงเป็นเรื่องที่ยากมากหากจะออกไปได้ด้วยพลังที่ต่ำกว่านั้น” มีดขว้างของเจิ้งอี้ทำให้เขาได้ทดลองพลังของม่านกำบัง “อย่างไรเสีย ตราบเท่าที่พลังยังแข็งแกร่งเพียงพอ เราคงทำลายม่านกำบังนี้ออกไปได้ตรงๆ”

เฉินหลงถามไปว่า “พลังนายไปถึงที่ระดับไหนกัน”

“พลังลมปราณแทบจะปล่อยออกมาไม่ได้เลยครับ” เจิ้งคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าวตอบ

“เอาล่ะ ม่านกำบังนี้คงอยู่ที่นี่ไปก่อนในตอนนี้ อย่างไรก็ตามฉันคงยังไม่ต้องออกไปไหนสักพัก” หลังจากที่ฟังคำของเจิ้งอี้ เฉินหลงยอมแพ้แผนที่จะทำลายม่านกำบังด้วยแรงระเบิดทันที

 

ในท้ายที่สุด ในหมู่คนที่เฉินหลงรู้จัก มีเพียงหวังหงที่มีพลังทำลายม่านกำบังได้ แต่เฉินหลงไม่ต้องการจะให้หวังหงทำลายเพราะนี่เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ อีกสิ่งหนึ่งเขาเกือบจะเข้าสู่การทะลวงระดับลมปราณได้ แล้วเขาจะเข้าและออกม่านกำบังนี่ได้ดังใจ

 

อย่างไรก็ตามแต่ เฉินหลงมองไปยังห้องที่โดนทำลายจากการต่อสู้อย่างจริงจัง เขารู้สึกได้ถึงความไร้หนทาง แม้วิลล่าจะพังไปมากแบบที่เขาแทบจะอยู่ไม่ได้ เรื่องนี้มีผลต่ออารมณ์ของเฉินหลง เขาต้องล้มเลิกการต่อสู้นี่

 

เฉินหลงไม่ต้องการจะหาตัวหวังหง แต่ยังมีทางอื่นที่จะทำให้การต่อสู้นี่ล้มเลิกไป

เขาเข้าไปในระบบเพื่อตามหาหว่านซูจื่อ

“ท่านน้อง มีอะไรให้ช่วยหรือ” หว่านซูจื่อกำลังเล่นเกมอยู่กับป๋ายเอไอ

เพราะเขาเป็นเพื่อนกับหว่านซูจื่อเฉินหลงจึงยกสินค้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีบนโลกให้เขา อย่างไรก็แล้วแต่ของพวกนั้นไม่ได้มีราคามากนักอยู่แล้ว

เฉินหลงคุยกับเขาเกี่ยวกับกู่เหวิน เรื่องกลุ่มผู้มีเวทย์มนต์คาถาและเรื่องพวกของเขาโดนขังอยู่ในม่านกำบัง

 

“สิ่งที่คุณกล่าวมาว่าพวกเราควรจะใช้เวทย์ของบรรพบุรุษของผู้ใช้เวทย์มนต์คาถา คาถาของกลุ่มพวกเขาช่างต่างออกไปจากลัทธิเต๋าแบบปกติ คาถาของพวกเขายึดโยงกับวิญญาณของสัตว์ ยิ่งมีวิญญาณสัตว์มากเท่าไหร่ พลังยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น ตั้งแต่ที่คุณทำลาย “มนต์ตราผูกหมัดหยิน” ได้ เธอและคุณอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ แต่อย่างไรเสีย พลังของนายแม่ไม่ได้แข็งแกร่งนัก ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรหรอก” หว่านซูจื่อกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง

 

พลังของหว่านซูจื่อไปถึงระดับปรมาจารย์แห่งดวงดาวแล้ว และพลังของกู่เหวินหากเป็นตามปกติแล้วไม่ได้อยู่ในสายตาเขา

 

“พี่ใหญ่ พี่ช่างทรงพลัง เธอไม่ใช่อะไรสลักสำคัญสำหรับพี่ แต่พลังของผมไม่ได้แข็งแกร่งเท่าเธอเลย ตอนนี้ผมติดอยู่ในม่านกำบังที่เธอสร้างและออกไปไหนไม่ได้ โปรดสอนวิธีที่จะทำลายม่านกำบังนี่” พลังของหว่านซูจื่อช่างทรงพลัง เขาอาจจะไม่ต้องสนใจกู่เหวินก็ได้ทว่าเฉินหลงไม่อาจเพิกเฉยไปได้ หว่านซูจื่อกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เอาล่ะ ม่านกำบังนั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเพราะทำลายได้ง่ายๆ และฉันมี “แผนภาพแถวตัวเลขหนึ่งหมื่นแถว” อยู่ที่นี่ หากนายเอาไปและเรียนรู้ที่จะใช้งาน นายอาจจะทำลายการผูกมัดของเธอไปได้” สิ้นคำ หว่านซูจื่อมอบการแลกเปลี่ยนลับให้กับเฉินหลง

หว่านซูจื่อยังเป็นเจ้าของระบบอีกด้วย ตามปกติแล้วเขารู้ว่าม้วนวิชาที่บันทึกความลับไว้จากระบบนั่นสามารถจะเรียนรู้ได้ตราบใดที่คนคนนั้นมีความสามารถพอ ดังนั้น เขาคงกล่าวได้ว่าหากเขาเรียนรู้วิชานั้น เขาจะสามารถชนะในการต่อสู้นี้ได้

หลังจากที่ได้รับม้วนวิชาลับมาแล้ว เฉินหลงกล่าวไปอย่างตื่นเต้นว่า “ผมจะไม่รบกวนคุณเล่นเกมแล้ว”

กล่าวจบ เฉินหลงได้ตัดการติดต่อไป

“ฉันเล่นเกมนี้ไปแทบหมดแล้ว คราวหน้าช่วยเอาเกมสนุกๆมาให้ฉันอีกนะ” หว่านชูจื่อกล่าวในตอนนั้น

พลังของหว่านชูจื่อเป็นระดับที่มีเพียงเขาคนเดียวที่ไปถึงในดวงเคราะห์ของเขา และนี่เป็นระดับที่ไม่อาจพัฒนาขึ้นได้อีกแล้ว เมื่อเขาเบื่อ เขาเคยแสร้งทำตัวเป็นคนเกเร แต่ในตอนนี้เนื่องจากสินค้าเทคโนโลยีที่เฉินหลงส่งไป หว่านชูจื่อมีอะไรสนุกๆให้ทำฆ่าเวลาแล้ว

 

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก พี่ใหญ่” เฉินหลงรีบให้คำมั่น

หลังจากนั้น เฉินหลงออกจากระบบไป เขารับเรียนรู้ “แผนภาพตัวเลขหนึ่งหมื่นแถว” “แผนภาพตัวเลขหนึ่งหมื่นแถว” ที่ว่าเป็นม่านกำบังโดยสมบูรณ์ที่รวบรวมขึ้นมาโดยอัจฉริยะในการสร้างม่านกำบังที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้จากดาวเคราะห์ของหว่านซูจื่อ คนคนนี้เก็บสะสมม่านกำบังทั้งหมดบนดาวเคราะห์มาร่วมกับใช้ความคิดของเขา ม่านกำบังที่แข็งแกร่งที่สุดคือ “ม่านกักขังเทพเจ้า” พลังนี้สามารถกักขังได้แม้แต่สิ่งที่มีความแข็งแกร่งระดับ  “สละกายหยาบ” ซึ่งเป็นพลังที่แข็งแกร่งมาก

แต่อย่างไรเสีย ในการจะใช้งาน “ม่านกักขังเทพเจ้า” พลังของผู้ใช้ควรไปถึงระดับ “สรวงสวรรค์และมนุษย์ที่เป็นหนึ่งเดียว”

 

เมื่อได้เรียนรู้  “แผนภาพตัวเลขหนึ่งหมื่นแถว” เฉินหลงมีความรู้อย่างมากมายเกี่ยวกับตำแหน่งของม่านกำบังในทันที มีหยินและหยางล้อมรอบด้วยยันต์แปดทิศและส่วนต่างๆอีกมากมาย ในตอนนั้นเอง เฉินหลงได้รู้แล้วว่าเขาจะทำลายการผูกมัดของม่านกำบังที่กักขังไรเขาไว้ได้อย่าง

จากนั้น เฉินหลงเคลื่อนที่ไปรอบๆในทิศทางที่ดูไม่ปกติและเป็นปริศนา

 

ทุกครั้งที่เขาสัมผัสจุดใด เฉินหลงจะใส่พลังลงไปด้วย เมื่อเฉินหลงได้ไปสัมผัสมาแปดจุดแล้ว ม่านกำบังที่ล้อมรอบวิลล่าได้พังทลายลงไปและเมื่อม่านกำบังทลายแล้ว กู่เหวินที่เคลื่อนที่อยู่นั้นหันไปมองในทางที่วิลล่าตั้งอยู่ จากนั้นเธอจึงหยุดและกลับไปที่ด้านบนของวิลล่า

 

เธอรู้ได้หลังจากที่ม่านกำบังพังทลายไปแล้ว ว่าเฉินหลงจะต้องออกไป เธอจึงต้องการจะดูว่าเจิ้งอี้จะไม่ตามเฉินหลงไปด้วยสักพักหรือไม่ แต่แม้เธออยากจะไปเท่าไหร่ ทว่าโอกาสที่เจิ้งอี้จะไม่ตามเฉินหลงไปแทบจะไม่มีเลย แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเธอก็ต้องการจะไปดู

เมื่อม่านกำบังทลายไปเฉินหลงและเจิ้งอี้ก็ออกไปด้วย สุดท้ายแล้ววิลล่าได้พังไปแล้วเช่นกัน ฉะนั้นพวกเขาจึงอยู่ต่อได้หลังจากซ่อมวิลล่าแล้วเท่านั้น

หลังจากที่เธอยอมแพ้ เธอตรงกลับไปโรงแรมและไปยังแผนกต้อนรับ

ที่นั่นมีหญิงสาวสามคนทำหน้าที่ต้อนรับอยู่ กู่เหวินไปหาพวกเธอและพ่นเวทย์มนต์คาถาที่ประหลาดออกมา

ตอนที่หญิงสาวทั้งสามได้ยินมนต์นั้นแล้วพวกเธองุนงง

แล้ว พวกเธอได้รับข้อมูลเข้าไปในหัว บ้างเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเฉินหลง และข้อมูลว่าให้พวกเธอจับจ้องเฉินหลง

หลังจากได้รับข้อความแล้วนั้น สายตาของหญิงสาวทั้งสามกลับไปสู่ปกติ และไม่มีใครเห็นว่ามีคนร่ายมนต์ใส่พวกเธอให้กลายเป็นหุ่นเชิดของกู่เหวินไป

 

“มนต์ตราสะกด” เป็นมนต์ประเภทของผู้ใช้เวทย์มนต์คาถา ที่หากมีใครโดนมนต์นี้ไปแล้วจะกลายเป็นหุ่นเชิดของผู้ร่ายมนต์ไปก่อนมนต์นี้จะโดนถอน ช่างเป็นมนต์ที่ร้ายกาจ

หลังแปรเปลี่ยนสามสาวที่แผนกต้อนรับให้กลายเป็นหุ่นเชิดด้วย “คาถาเวทย์” แล้ว กูเหวินยังได้เปิดห้องสวีทของโรงแรมและพักที่นั่นด้วย

หลังจากที่เฉินหลงไปพักที่โรงแรม เขาเรียกซวีหมิงเหม่ยมาพร้อมกับขอให้เธอช่วยซ่อมวิลล่าให้

ในคราวหน้าที่เฉินหลงพักอยู่ที่โรงแรม เขาได้พยายามจะพัฒนาพลังของตน

เฉินหลงรู้ว่ากู่เหวินเพ่งเล็งเขาอยู่ และเขาไม่อาจจะให้เจิ้งอี้ตามเขาตลอดวันได้ เขาจึงต้องพัฒนาพลังของตัวเอง

 

เฉินหลงพักอยู่ที่โรงแรมกว่าสิบวัน ในช่วงสิบวันนี้เฉินหลงไม่ออกไปจากห้องเขาเลย ยกเว้นเมื่อจะกินหรือนอนเท่านั้น ที่เหลือนั้นเขาพัฒนาพลังของเขาในเกม

“เข้ามาสิ มาดูกันว่าคราวนี้ใครจะอยู่ใครจะไป” ในเกม ที่ทุ่งหญ้าร่างทั้งร่างของเฉินหลงโชกไปด้วยเลือด และมีลิงที่สูงสิบเมตรคล้ายเป็นสัตว์ร้ายกำลังสู้กับเขาอยู่

 

ชื่อของลิงในเกมที่รูปร่างดังปิศาจนี่คือ “อสูรลิงคลั่ง” เมื่อโตเต็มวัยแล้ว พลังของมันจะมีมากถึงระดับลมปราณ อีกสิ่งหนึ่งคือพลังตามธรรมชาติของมันยังถือว่าเป็นระดับกลางค่อนสูงที่ไปถึงระดับของสัตว์ประหลาดระดับลมปราณเลยทีเดียว

เพื่อที่จะผ่านพ้นไปอีกระดับ เฉินหลงจึงต้องต่อสู้กับ “อสูรลิงคลั่ง”

ในขณะนั้นเอง แม้เฉินหลงจะบาดเจ็บแต่จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขายังพุ่งสูงไปถึงฟ้า และพลังงานในร่างเขายังไปถึงจุดสูงสุดด้วย เขากำลังจะข้ามผ่านระดับพลัง