บทที่ 159 เขมือบ
ภาพหาดูได้ยากกำลังเกิดขึ้นบนท้องฟ้า
แมงมุมสาวน้อยโชกเลือดดุร้ายทรงพลังกำลังไปหนีด้วยความเร็วสูง ในขณะที่เรือเหาะตะวันกรุ่นไล่ตามไปด้วยความเร็วพอกันอย่างสบาย ๆ
ในบางจังหวะ หงส์เพลิงขนาดยักษ์ก็จะถูกยิงออกมาจากตัวเรือ ปะทะนางแมงมุมเข้าที่หลัง
ในฐานะอสูรกายระดับสูง ความแข็งแกร่งของแมงมุมสาวน้อยโชกเลือดไม่ใช่เรื่องมองผ่านไปได้ง่าย แต่ในปัจจุบันความแกร่งทั้งหลายถูกจำกัดด้วยพิษดาราเหมันต์น้ำเงิน นางแมงมุมจึงได้แต่รับการโจมตี ไม่อาจโต้กลับได้ สุดท้าย ซูเฉินก็ส่งหงส์เพลิงครั้งแล้วครั้งเล่าซัดเข้าที่หลังมัน แผดเผาเป็นรอยใหญ่เสียจนแทบจำไม่ได้
“ยังไม่ตายอีก ?” ซูเฉินงึมงำ
สมกับที่มันเป็นอสูรกายระดับสูง มีพลังเทียบเท่ากับแท่นบงกช 4 ชั้นจริง นับเป็นระดับหน้าขวัญผวา แก่นพลังชีวิตถึกทนนัก ซัดหงส์เพลิงออกไปสามสิบกว่าครั้งยังไม่อาจสังหารมันได้ ซูเฉินได้แต่ถอนหายใจชื่นชมพลังป้องกันและแก่นพลังชีวิตอันสูงส่งของมัน
โชคไม่ดีที่แม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังที่สุด อย่างไรก็ต้องจนมุม หากต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ถูกโจมตีอยู่ฝ่ายเดียว
เมื่อถูกซูเฉินไล่ล่าติดตามไม่หยุด แก่นพลังชีวิตของแมงมุมสาวน้อยโชกเลือดจึงจางลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายจึงสูญเสียพลังทั้งหมดไปอย่างช้า ๆ
“ไว้ชีวิตข้าด้วย !” มันร้องลั่น
“ข้าหาเหตุผลให้ทำเช่นนั้นไม่ได้” ซูเฉินเอ่ยเสียงเย็น
“ข้าเป็นสตรีของเจ้าอสูรวาโยทมิฬ หากสังหารข้า เขาไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่ !”
“เจ้าอสูรวาโยทมิฬ ?” ซูเฉินชะงักไปชั่วขณะ “ระดับเจ้าอสูรหรือ ?”
“ยังดีที่รู้ !”
สัตว์อสูรระดับเจ้าอสูรแกร่งพอ ๆ กับผู้เชี่ยวชาญด่านผลาญจิตวิญญาณ แม้ซูเฉินจะมีทั้งความแกร่งแหละหลากหลายวิชา แต่จะเอาชนะคู่ต่อสู้เช่นนั้นนับว่าเป็นไปไม่ได้
หากแต่ซูเฉินกลับตอบหน้าคว่ำ “สัตว์อสูรระดับเจ้าอสูรน่ากลัวก็จริง แต่อย่างไรเล่า ? คิดหรือว่าแค่อ้างชื่อเจ้าอสูรที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยซ้ำจะทำให้ข้ายอมปล่อยเจ้าไป ?”
แมงมุมสาวน้อยโชกเลือด กรีดร้อง “เขาอยู่ที่ยอดเขาวาโยทมิฬ หากสังหารข้า เขาไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่นอน !”
“อยู่ที่ยอดเขาวาโยทมิฬหรอกหรือ ? ขอบใจที่บอก ข้าจะได้เลี่ยงที่นั่น” ซูเฉินเอ่ย ว่าแล้วก็สร้างหงส์เพลิงขึ้นอีก
ในที่สุดแมงมุมสาวน้อยโชกเลือดก็รู้ว่าตนถูกหลอก หงส์เพลิงปะทะเข้าร่างเป็นครั้งสุดท้าย เปลวไฟหลอมละลายลุกลามไปทั่วร่างกาย
ระหว่างที่กำลังถูกเผามันก็ร้องลั่น “หากเจ้ากล้าสังหารข้า เจ้าอสูรวาโยทมิฬไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อแน่ ! ข้าจะปล่อยจิตของข้า ให้เจตจำนงกระจายไปในอากาศ กลบพื้นดิน ใบหญ้า และใบไม้ทุกใบ ! สายลมจะนำพามันไปสู่เจ้าอสูรวาโยทมิฬเอง……”
ฟ้าว !
คมดาบตวัดผ่านลำคอแมงมุมสาวน้อยโชกเลือด บั่นศีรษะออกจากร่าง บนใบหน้านางแมงมุมยังมีสีหน้าเหลือเชื่ออยู่
ซูเฉินเก็บดาบไปยังไม่คิดอะไร “หากอยากทำก็ทำไป ไม่เห็นต้องเสียเวลามาบอก”
เขาไม่เคยดูถูกพลังของแมงมุมสาวน้อยโชกเลือด แต่เขาเข้าแดนสัตว์อสูรมาก็เพื่อเก็บเกี่ยวทรัพยากร การเดินทางเสี่ยงภัยครั้งนี้จำต้องมีความกล้าและบ้าบิ่น กล้าที่จะเอาชีวิตเข้าแลก
หากถูกขู่แล้วยอมแพ้ไป เขาจะไปทำอะไรได้ ?
หากเจ้าอสูรวาโยทมิฬจะตามไล่ล่าเขาจริง เช่นนั้นก็ปล่อยไป
ถึงจะมาจริง…… ซูเฉินหนีเสียก็สิ้นเรื่องนี่นา ?
เขามีเรือเหาะจันทราเงิน ดังนั้นจึงไม่เกรงกลัวใคร แต่การสังหารอสูรกายระดับสูงทำให้ฝีมือในการต่อสู้ของซูเฉินเพิ่มสูงขึ้น น่าเสียดายที่มันเป็นการต่อสู้ลับตาคน ไม่ได้มีผู้ชมผู้สังเกตการณ์สักคน ไม่เช่นนั้น หากข่าวเรื่องนี้ดังไกลถึงแดนมนุษย์ ก็คงเป็นคลื่นลูกใหญ่ไม่ใช่น้อย
ซูเฉินมองเหมือนกับคำขู่ของนางแมงมุม แล้วกรีดร่างนางเปิดออก
ผลึกแก้วต้นกำเนิดสีเงินก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
“อย่างน้อยก็ได้ที่เสียไปคืนมาบ้าง” ซูเฉินถอนใจ
ค่าเสียหายจากการกลั่นยาพิษดาราเหมันต์น้ำเงินนั้นสูงมาก กระทั่งแก่นของอสูรกายระดับสูงยังเทียบไม่ติด แต่ว่าในเมื่อแมงมุมสาวน้อยโชกเลือดพยายามหนี และเขาก็ยังมีดาราเหมันต์น้ำเงินเหลืออยู่อีกหน่อย คิดเช่นนั้นแล้ว นับว่าเขาได้กำไร แต่จะได้ก็ต่อเมื่อใช้พิษให้หมดภายในหนึ่งเดือนเท่านั้น ด้วยอายุมันมีจำกัด วันถัดจากนี้ต่อไป ประสิทธิภาพของมันก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ
จัดการนางแมงมุมยักษ์ได้แล้ว นับว่าซูเฉินรับมือกับปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่ตามหลอกหลอนเขามานานสำเร็จแล้ว เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นตามหาทรัพยากรต่าง ๆ ต่อไปด้วยความช่วยเหลือของตุ๊กตากระดาษขาว
ดินแดนสัตว์อสูรมีทรัพยากรมากหลายจนแทบไม่อยากเชื่อ ซูเฉินค้นพบสมบัติมากมายที่ไม่เคยพบได้ในแดนมนุษย์ แม้ส่วนมากจะมีอสูรกายระดับสูงเฝ้าอยู่ และเขาไม่อาจนำมันออกมาได้ แต่กับสมบัติที่เฝ้าโดยอสูรที่เขารับมือได้นั้น แค่นั้นก็มีมากมายจนแทบเก็บไม่ไหวแล้ว
ซูเฉินไม่เสียเวลา รีบกลับมาเดินทางต่อทันที
แต่สิ่งทีชายหนุ่มไม่รู้ก็คือ หลังเขาจากไปได้ไม่นาน ลมหอบหนึ่งก็พัดผ่านด้านหลังซูเฉินไป
ลมทมิฬหยุดอยู่ที่ร่างของแมงมุมสาวน้อยโชกเลือด เวียนวนอยู่บนอากาศเหนือร่างมันเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ ก่อรูปเป็นรูปร่างมนุษย์
แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่มนุษย์เสียทีเดียว แต่เป็นสิ่งมีชีวิตสองเท้าที่ดูกลุ่มเครือมากกว่า หลาย ๆ คนเรียกมันว่าเหมือนกับมนุษย์ แต่นั่นเป็นเพียงการยกย่องทำให้เผ่ามนุษย์ดูสูงขึ้นเท่านั้น แท้จริงแล้วอสูรกายไม่ได้เหมือนกับมนุษย์สักนิด เพียงแต่เดินสองเท้าเพื่อให้มือว่าง และพัฒนาความสามารถพิเศษขึ้นมามากขึ้น เป็นตัวอย่างของการวิวัฒนาการที่มาบรรจบกัน มีการทำงานคล้ายคลึงกันนั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น อสูรกายมีเท้าคู่หนึ่งและมีเขาโค้งหนึ่งเขาบนหัวเหมือนวัวกระทิง แต่ก็ยังมีสี่แขน ทุกย่างก้าวสั่นสะเทือนปฐพี
เจ้าอสูรวาโยทมิฬเดินเข้ามาหาร่างของแมงมุมสาวน้อยโชกเลือดแล้วดมเล็กน้อย “กลิ่นมนุษย์…… แปลกจริง จะมีมนุษย์มาที่นี่ได้อย่างไรกัน ?”
เขาหรี่ตาลง จ้องศพแมงมุมสาวน้อยโชกเลือดนิ่ง ทันใดนั้นก็เอื้อมแขนออกไปแล้วกำมือขวาอยู่กลางอากาศ
ลมเริ่มพัดรุนแรง เกิดเป็นกระแสลมวนอยู่กลางอากาศ ภาพมายาของแมงมุมสาวน้อยโชกเลือดพลันปรากฏขึ้น
นางลอยอยู่กลางอากาศ กรีดเสียงร้องไห้ “แก้แค้นให้ข้า…… แก้แค้นให้ข้าด้วย……”
“คนที่สังหารเจ้ามีเท่าไหร่ ?” เจ้าอสูรวาโยทมิฬถามเสียงสั่น
เสียงคร่ำครวญหยุดไปเล็กน้อย “คน…… เดียว……”
“พื้นฐานพลังเล่า ?”
“ด่าน…… ทะลวง…… ลมปราณ……”
นอกจากท่อนที่บอกว่า ‘แก้แค้นให้ข้าด้วย’ แล้ว น้ำเสียงของวิญญาณก็พูดตะกุกตะกัก หอบหายใจดูทรมาน
“คนด่านทะลวงลมปราณสังหารเจ้านั้นหรือ ?” เจ้าอสูรวาโยทมิฬถึงกับเปลี่ยนสีหน้า
“เขา…… ใช้…… พิษ…… ดารา…… เหมันต์….. น้ำเงิน…… กับ…… เรือ…… เหาะ……”
“ไม่แปลก วิชาเจ้าใช้พลังต้นกำเนิดเป็นหลัก พิษดาราเหมันต์น้ำเงินเป็นศัตรูตัวฉกาจของเจ้า อีกทั้งเรือเหาะอย่างรวดเร็วมากจนติดตามเจ้าได้ แต่จากสภาพที่เจ้าตาย ดูท่ามนุษย์จะใช้วิชาไฟย่างเจ้าทั้งเป็น บาดแผลจากดาราเหมันต์น้ำเงินไม่ได้หนักหนานัก เจ้าเป็นสตรีอ่อนแอโง่เขาเสียจริง ไร้ความกล้าที่จะสู้จนตัวตาย ศัตรูจึงหลงเหลือดาราเหมันต์น้ำเงินไว้ใช้” เจ้าอสูรวาโยทมิฬปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
“แก้แค้นให้ข้าด้วย……”
“ข้าย่อมแก้แค้นให้ และจะพาเจ้าไปดูให้เห็นกับตา” เจ้าอสูรวาโยทมิฬตอบ “แต่ก่อนหน้านั้น ข้าต้องการให้เจ้าเข้าไปในคุกไร้จุดจบของข้า และกลายเป็นพลังส่วนหนึ่งให้ข้า”
“ไม่ !!!” ผีแมงมุมกรีดเสียงร้องโหยหวน
“อย่างไรเจ้าก็จะหายไปแล้ว จะให้เสียวิญญาณไปเปล่า ๆ หรือ ? การได้อยู่กับข้าไปตลอดการนับเป็นความฝันสูงสุดของสตรีของข้าแล้ว” เจ้าอสูรวาโยทมิฬพูดพลางยกสี่แขนขึ้น ฝ่ามือทั้งสี่เกิดเป็นหลุมดำ สร้างแรงดูดทรงพลัง วิญญาณนางแมงมุมถูกดูดเข้าไปทันที
น้ำเสียงร้องโหยหวนยังได้ยินมาจากเบื้องหลังเจ้าอสูรวาโยทมิฬ เป็นน้ำเสียงที่ไร้ร่าง แต่กลับดังก้องไม่หยุดอยู่ภายในใจ
เจ้าอสูรวาโยทมิฬตอบคำ “อย่าได้รีบร้อนนัก อีกไม่นานข้าจะให้เขาไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”