ภาคที่ 4 บทที่ 160 พบปะ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 160 พบปะ

บ้านต้นไม้หลังเล็กผุดขึ้นมาบนต้นไม้ในป่าบึงน้ำเงิน

ตอนนี้ ซูเฉินนั่งอยู่ในบ้านต้นไม้ กำลังปรุงยาชนิดใหม่ เขาคิดจะใช้มันเพื่อรับมือกับเจ้าอสูรวาโยทมิฬโดยเฉพาะ

แม้เขาจะไม่กลัวเจ้าอสูรวาโยทมิฬ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะนั่งเฉย ๆ ไม่ตระเตรียมอะไร

ดูถูกคู่ต่อสู้อย่างมีกลยุทธ์แต่ก็เอาจริงเอาจังกับศัตรู เป็นนิสัยที่นักรบผ่านศึกจำต้องมี แม้จะไม่รู้ตัวก็ตาม

ในขณะที่กำลังกลั่นยาอยู่ แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดที่พกติดตัวไว้ก็ร้อนขึ้น

ซูเฉินจึงหยิบมันออกมา มันคือแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดที่ใช้สื่อสาร ชิ้นที่ฉือหมิงเฟิงให้เขามานั่นเอง

เป็นพวกเขาหรือ ?

พวกนั้นติดต่อหาเขาได้อย่างไร ?

แล้วมาที่นี่ ? พวกเขาเดินทางมาที่แดนสัตว์อสูรงั้นหรือ ?

ซูเฉินตกใจนัก

เขาวางแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดลงบนโต๊ะแล้วเปิดใช้งาน แสงเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากแผ่น เผยให้เห็นท่าทางยินดีแกมตกใจของเยี่ยเม่ย มองเลยไปด้านหลังคือฉือหมิงเฟิงและคนอื่น ๆ

“ขอบคุณสวรรค์ ! ในที่สุดก็พบเจ้าแล้ว” เยี่ยเม่ยตะโกนด้วยความยินดี

พวกเขาเหนื่อยยากไม่ใช่น้อยที่ต้องไล่ตามซูเฉินอยู่ตลอด แม้เขาจะเดินทางผ่านเพียงชายแดน แต่ชายแดน ‘เล็ก ๆ’ นี่ก็ใหญ่ไม่ใช่น้อย ดังนั้นได้พบหน้าจึงนับว่าเป็นโชคดี

“เยี่ยเม่ย ? ฉือหมิงเฟิง ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?” ซูเฉินถาม

“ฮ่า เจ้าถามข้าอย่างนั้นหรือ ? จะติดต่อกับเจ้าทั้งทีไม่ง่ายเลย พวกเจ้ามาที่นี่เร็วนัก แล้วยังเข้าไปในแดนสัตว์อสูรอีก !” เยี่ยเม่ยตะโกนเสียงดังตื่นเต้น

“พวกข้า ?” ซูเฉินสับสนอยู่เล็กน้อยก่อนจะเข้าใจ “เจ้าคิดว่าข้าอยู่กับกองทัพกำลังสวรรค์งั้นหรือ ?”

“แล้วไม่ใช่หรือไร ?” เยี่ยเม่ยอึ้งไป

ซูเฉินเพียงแต่ยิ้มไม่ตอบคำ

ฉือหมิงเฟิงเอ่ยคำ “เช่นนั้นท่านก็แยกกับกองทัพกำลังสวรรค์จริงเสียด้วย”

ถึงตอนนี้เขาก็ไม่ประหลาดใจแล้ว ก่อนหน้านี้ลำบากมากกว่าจะตามซูเฉินได้ทัน เขาเองก็สงสัยแล้วว่าซูเฉินอาจเดินทางคนเดียวก็ได้

ซูเฉินไม่ตอบคำถาม ตอบเพียงว่า “ตามหาข้าทำไม ?”

“อารามนิรันดร์อยากทำการค้ากับท่าน” ฉือหมิงเฟิงเอ่ยตามตรง เขารู้นิสัยอีกฝ่ายดี ดังนั้นจึงไม่คิดอ้อมค้อม

“ทรัพยากรงั้นหรือ ?” ซูเฉินหรี่ตาลง เขาเองก็เข้าใจอารามนิรันดร์พอสมควร

ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ “ใช่แล้ว”

ซูเฉินตอบ “ตอนนี้ พวกท่านอยู่ในจุดที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ที่สุด เผ่าสัตว์อสูรพากันไปปะทะกับเผ่าคนเถื่อนแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ที่นี่จึงเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด”

“ที่นี่มีคุณภาพ แต่ที่กองทัพกำลังสวรรค์มีจำนวนมาก” ฉือหมิงเฟิงตอบ “พวกเราอยากได้ทั้งคู่ หักหน้ากันในเรื่องสะสมและเก็บเงินแล้ว จำนวนสำคัญกว่าคุณภาพ”

ทรัพยากรที่อยู่ในแดนสัตว์อสูรนั้นหายากและได้มายากยิ่ง หากมองในหลักเกณฑ์ของมนุษย์แล้ว อาจเป็นของที่หาไม่ได้เลยก็เป็นได้ ของบางชิ้นก็หายากจนไม่อาจกำหนดราคา แต่ก็เพราะเช่นนี้จึงขายได้ยาก ตั้งราคาสูงไปก็ไม่มีใครซื้อ แต่ถ้าตั้งราคาต่ำไปก็เสียประโยชน์ ที่น่ารำคาญกว่าคือพวกทรัพยากรที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ดังนั้นจึงไม่อาจรู้ได้เลยว่ามีประโยชน์หรือคุณสมบัติอะไรบ้าง

หากเทียบกันแล้ว เผ่าคนเถื่อนมีทรัพยากรน้อยกว่า แต่ส่วนมากเป็นของที่ตั้งราคาได้ ทั้งยังได้จำนวนมากกว่า มีจำนวนมากตั้งราคาถูกหมายความว่าสามารถขายได้ทั่วไป สร้างรายได้มั่นคง ไม่เหมือนกับพวกสมบัติ ‘ที่ไม่อาจหาค่าได้’ พวกนั้น

อารามนิรันดร์จึงต้องอยากได้ทรัพยากรที่ตั้งราคาได้มากกว่าของที่ ‘ไม่อาจหาค่าได้’

หากมองในมุมนั้น อีกฝ่ายนับว่ามีมุมมองต่างกับเขาโดยสิ้นเชิง

เพราะหากเป็นสิ่งของที่สามารถหาซื้อได้ด้วยเงิน งั้นแล้วมันก็ถือว่าไม่สำคัญต่อซูเฉิน ด้วยมีแต่สิ่งของที่ไม่อาจหาค่าได้เท่านั้นที่จะมีประโยชน์ต่อเขา

และเป็นเพราะทั้งสองฝ่ายต้องการของที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้ จึงสามารถร่วมมือกันได้นั่นเอง

ดังนั้นเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดมาเขาจึงหัวเราะ “ท่านอยากได้ทรัพยากรที่กองทัพกำลังสวรรค์ปล้นมาจากแดนคนเถื่อนอย่างนั้นหรือ ? ย่อมได้ ข้าตอบแทนกองทัพเลยก็ได้ ราคาก็ต้องการของแลกเปลี่ยนเช่นกัน”

“เสบียง น้ำ ต้องการอะไรบอกข้าได้เลย” ฉือหมิงเฟิงเอ่ออย่าง ‘ใจกว้าง’

ซูเฉินหลุดขำ “ใช้ของธรรมดาอย่างเสบียงและน้ำมาซื้อยาและส่วนผสมล้ำค่างั้นหรือ ? พี่ฉือ ท่านเล่นง่ายดีนี่ ท่านคิดหรือว่ากองทัพกำลังสวรรค์กับข้าจะซาบซึ้งกับข้อเสนอเช่นนั้น ? ท่านจะเอาเสบียงมากเท่าไหร่มาแลกกับหญ้าสามคมพันปีหนึ่งก่อกันเล่า ? ใช้หินสองก้อนงั้นหรือ ? แล้วต้องใช้น้ำเท่าไหร่เพื่อที่จะแลกผลดอกบัวน้ำแข็ง ? ใช้หม้อสักสองใบงั้นหรือ ?”

ฉือหมิงเฟิงยิ้มเขิน “จะส่งของพวกนั้นมาที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านก็รู้ว่าไม่ใช่ใครที่จะข้ามพรมแดนได้ง่ายเช่นท่าน”

“ข้ารู้ดี นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ท่านพยายามจะซื้อทรัพยากรเหล่านี้ในราคาหลักพันของราคาขายใช่หรือไม่ ?”

ฉือหมิงเฟิงตอบ “หากไม่ได้ผลประโยชน์ ใครจะยอมเสี่ยงกัน ? หากท่านไม่ตกลงเรื่องราคา เราต่อรองกันเพิ่มเติมอีกก็ได้ ท่านมีหญ้าสามคมกี่กอ ? ข้าเต็มใจจะแลกหินเสบียง 10 ก้อนกับหญ้า 1 กอ”

หญ้าสามคมอายุพันปี 1 กอแลกหินพลังในอาณาจักรหลงซางได้นับพัน ในขณะที่หินพลังเพียงก้อนเดียวสามารถแลกหินเสบียงได้อย่างน้อย 4 ก้อน

ความต่างของราคาช่างน่าตกใจเป็นยิ่งนัก

ถึงกระนั้น ฉือหมิงเฟิงก็มั่นใจว่ากองทัพกำลังสวรรค์คงไม่มีทางเลือกมาก หินเสบียงก้อนหนึ่งสามารถใช้เป็นอาหารสำหรับทหาร 15 นายได้เป็นเวลาหนึ่งวัน แต่หญ้าสามคมกอหนึ่งไม่อาจทำให้ท้องอาหารอิ่มได้แม้สักคนเดียว แดนเผ่าคนเถื่อนนั้นรกร้างเป็นพิเศษ ความสามารถในการหาเสบียงของกองทัพย่อมมีจำกัด ดังนั้นคงไม่อาจหาอาหารได้มากพอ ซูเฉินอาจนำเสบียงมาเติมได้ชั่วขณะ แต่ก็ไม่อาจเสริมเสบียงให้ได้ตลอด

แน่นอนว่าเขาเปิดราคามาเช่นนี้เพื่อที่ซูเฉินจะสามารถต่อรองได้ แต่ไม่ว่าจะต่อราคาลดลงไปเท่าไหน อารามนิรันดร์ก็ยังได้กำไรนับร้อยเท่าอยู่ดี

“คำพูดท่านราวกับว่าใจกว้างนัก” ซูเฉินหัวเราะ “แต่ข้าเชื่อว่าแม่ทัพหลี่และคนอื่น ๆ ไม่มีทางตกลงกับราคานี้แน่”

“ท่านต้องการเท่าไหร่ ?” ฉือหมิงเฟิงถาม

ซูเฉินส่ายหน้า “เรื่องของเรื่องคือไม่ใช่เท่าไหร่ เพราะข้าไม่คิดจะแลกเสบียงมาตั้งแต่ต้นแล้ว”

“ว่าไงนะ ?” ฉือหมิงเฟิงอึ้งไป

การใช้เสบียงแลกเปลี่ยนกับสมุนไพรวิญญาณนับเป็นแผนหลักของอารามนิรันดร์มาตั้งแต่ต้น เมื่อการแลกเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าซูเฉินจะกะเกณฑ์อย่างไร อารามนิรันดร์ก็สามารถตอบโต้และป้องกันในขณะล่าถอยไปได้ ใช้ของธรรมดาแลกกับของหายากเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงอย่างไร อารามนิรันดร์ก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่นอน

หากแต่อีกฝ่ายกลับพูดประโยคเดียวก็ปฏิเสธข้อเสนอแล้ว

ฉือหมิงเฟิงพยายามเก็บแววไม่พอใจในน้ำเสียง “กองทัพกำลังสวรรค์ต้องการเสบียงไม่ใช่หรือ ?”

ซูเฉินตอบ “ถูกต้องแล้ว แต่เราไม่จำเป็นต้องหามันด้วยวิธีเช่นนี้”

ฉือหมิงเฟิงพูดไม่ออก “เช่นนั้นท่านต้องการอะไร ?”

ซูเฉินยิ้มบาง “ก็เหมือนกับท่าน พืชพันธุ์หายาก สมุนไพรวิญญาณ ทรัพยากรที่มีพลังต้นกำเนิดอยู่เป็นจำนวนมาก… ซึ่งทุกอย่างสามารถหาได้ในแดนสัตว์อสูร”

“ว่าไงนะ ?” ฉือหมิงเฟิงอึ้งไป

เขายังไม่อาจเข้าใจสถานการณ์ได้

ซูเฉินเอ่ยคำ “จะชิงเอาทรัพยากรจากแกนสัตว์อสูรมีโอกาสไม่กี่ครั้งนัก ให้ข้าทำงานคนเดียวคงเป็นเรื่องน่าเสียดายแย่ ในเมื่อพวกท่านมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็มาพร้อมกันกับข้า เก็บเกี่ยวทรัพยากรที่นี่เสียเถอะ ต้องการหญ้าสามคมใช่ไหม ? ก็ไม่ยาก เพียงเก็บเกี่ยวของจากที่นี่ที่ไม่มีใครเคยเห็นไปสักหน่อย ของแต่ละชิ้นมีมูลค่ามากพอที่จะเอาไปแลกหญ้านั่นได้เป็น 10 กำ และหากมีมูลค่ามากกว่านั้น ท่านก็อาจแลกได้มากกว่านั้นอีก”

ในที่สุดฉือหมิงเฟิงก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายอยากใช้แรงงานพวกเขา ให้พวกเขาไปเก็บทรัพยากรด้วยกัน

แต่ปัญหาก็คือทรัพยากรที่เขากำลังเอ่ยถึงเป็นของกองทัพกำลังสวรรค์ แล้วซูเฉินมีอำนาจอันใดที่จะต่อรองโดยใช้ทรัพย์สินของกองทัพได้เล่า ?

ทว่าฉือหมิงเฟิงได้เห็นหน้าตามั่นใจของซูเฉินก็พลันเข้าใจ

ดูท่าอิทธิพลของซูเฉินต่อกองทัพคงจะมากกว่าที่พวกเขาประเมินไว้

“เราจะดำเนินการแลกเปลี่ยนกันอย่างไร ?” เป็นตอนนั้นที่คนสวมชุดคลุมดำข้างกายฉือหมิงเฟิงเอ่ยขึ้น

“คนคนนี้……” ซูเฉินเหลือบมองเขาแล้วเอ่ยคำเพียงเท่านั้น

ฉือหมิงเฟิงจึงรีบแนะนำ “คนผู้นี้คืออาซือถิง มาจากประตูฟื้นความเยาว์ รับผิดชอบเขตใต้ในแดนคนเถื่อน เดิมทีเราวางแผนว่าจะร่วมมือกับเขาเพื่อขนเสบียงให้กองทัพกำลังสวรรค์ แต่ดูท่าจะไม่จำเป็นแล้ว”

“เรายังร่วมมือกันต่อไปได้” อาซือถิงเอ่ย

ซูเฉินเหลือบมองคน คิดอยู่เล็กน้อยพลางว่า “เช่นนั้นหลังขบวนสัตว์อสูรจบลงก็แล้วกัน”

หากจะทำการแลกเปลี่ยน ซูเฉินก็ต้องกลับกองทัพกำลังสวรรค์ก่อน เขาถึงจะยืมอำนาจกองทัพมาใช้คุมการแลกเปลี่ยนได้ แน่นอนว่าต้องเสียเวลา แต่ในเมื่อตอนนี้เป็นเวลาปล้นชิงทรัพยากรที่ดีที่สุดแล้ว เสียเวลาก็เหมือนเสียเงิน เสียชีวิต เสียอนาคต มีหรือซูเฉินจะยอมทำเช่นนั้น ?

ดังนั้นเขาจึงเสนอว่ารอจนขบวนสัตว์อสูรจบลงค่อยทำการค้ากัน

อย่างไร การเก็บทรัพยากรแดนสัตว์อสูรนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งหรือที่ว่างในแหวนพลังสักนิด

ฉือหมิงเฟิงไม่คิดคัดค้าน แต่อาซือถิงย่อมไม่อาจยอมรับได้

ระยะเวลาของขบวนสัตว์อสูรไม่แน่นอน ขบวนเล็กอาจจบภายในหนึ่งเดือน ขบวนใหญ่อาจนานกว่าสามเดือน

ซูเฉินยั่วยุเผ่าสัตว์อสูร ยิ่งทำให้ขบวนอสูรก่อตัวยาวนานขึ้น ฉะนั้นขบวนนี้อาจยืดยาวนับครึ่งปีเลยก็เป็นได้

และตานปาไม่คิดรอนานถึงครึ่งปี

อาซือถิงเอ่ยคำ “ข้าหวังว่าจะได้ทำการค้าในเร็ว ๆ นี้ ระยะหลังนี้ประตูฟื้นความเยาว์จำเป็นต้องใช้ทรัพยากร ระหว่างทางที่มาหาท่านก็พอเก็บทรัพยากรล้ำค่ามาได้บ้าง จึงหวังว่าจะได้ทำการแลกเปลี่ยนในเร็ววัน”

ซูเฉินยังปฏิเสธ “ข้ายังจากแดนสัตว์อสูรไปหากองทัพตอนนี้ไม่ได้”

อาซือถิงเอ่ยคำเสียงกังวล “ข้าขายแล้วท่านจ่ายทีหลังก็ได้”

“จ่ายทีหลัง ?” ซูเฉินอึ้งไป ในใจบังเกิดความสงสัย หากประตูฟื้นความเยาว์ต้องการทรัพยากร จะมาขายแล้วให้เขาจ่ายทีหลังได้หรือ ? ช่างย้อนแย้งเสียจริง ด้วยหากปล่อยให้มีคนติดค้างไว้มากเข้า ก็แสดงว่าไม่ได้รีบเอาทรัพยากรต่างหาก !

อีกทั้งทรัพยากรแดนคนเถื่อน ในสายตามนุษย์ส่วนมากเห็นว่าเป็นของหายาก ดังนั้นแผนการของอารามนิรันดร์ที่คิดจะกักตุนไว้จึงไม่ผิด แต่ของพวกนี้ ประตูฟื้นความเยาว์ไม่น่าหาได้ยากนี่นา ? แม้ด้วยฐานะจะไม่อาจเก็บสะสมได้อย่างเปิดเผย แต่ก็ไม่จำเป็นจะต้องมาเอาทรัพยากรผ่านทางเขานี่ !

นักเลงเจ้าถิ่น มีหรือจะต้องจ้างคนนอกมาเพื่อหาทรัพยากรในท้องถิ่นตน ? มันผิดหลักไปกระมัง !

ความสงสัยของซูเฉินยิ่งหนักหน่วง เริ่มระวังภัยมากขึ้น

ซูเฉินยังคงสีหน้าเดิม “นั่นก็ไม่เลวทีเดียว แต่โอกาสนี้หาได้ยากมากจริง ๆ มีไม่กี่หนหรอกที่ข้าจะเดินทางในแดนสัตว์อสูรได้ตามใจชอบเช่นนี้ได้ เสียเวลาไปกี่วันย่อมเป็นที่น่าเสียดาย ข้ายังยืนยันจะทำการแลกเปลี่ยนหลังขบวนสัตว์อสูรจบลง”

อาซือถิงจึงเอ่ยคำ “หากท่านซูตอบตกลงคำเมื่อก่อนหน้า พวกเราเสนอราคาที่ดีกว่าให้ได้”

กระทั่งฉือหมิงเฟิงยังประหลาดใจอยู่เล็กน้อย

ซูเฉินเหลือบมองฉือหมิงเฟิง แล้วมองอาซือถิงอีกครั้ง ก้มหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย ในที่สุดจึงเอ่ยคำ “หากกำหนดที่อัตราแลกเปลี่ยนหนึ่งถึงห้า งั้นสามวันหลังจากนี้ก็ทำการค้ากันได้เลย”

อาซือถิงถามทันที “ที่ไหน ?”

ซูเฉินมองอีกฝ่ายนิ่ง “มีบึงอยู่ที่ทางใต้ของป่าทมิฬ ข้าจะรออยู่ที่นั่น”

ว่าจบเขาก็โบกแขนเสื้อ ตัดการติดต่อไป

กองทัพชนเผ่ากิ้งก่ากรวดประจำการอยู่ใกล้กับชายแดนเผ่าสัตว์อสูรและคนเถื่อน

ตานปานั่งอยู่ภายในกระโจมหลักของค่ายเผ่าคนเถื่อน กำลังอ่านรายงานการรบ แล้วค่อย ๆ เอ่ยคำขึ้นว่า “อาซือถิงติดต่อกับซูเฉินได้แล้ว ส่งคำยืนยันมาแล้วว่าเขาไม่ได้อยู่กับกองทัพกำลังสวรรค์ เขาเดินทางไปยังแดนสัตว์อสูรตัวคนเดียวเพื่อพยายามช่วงชิงทรัพยากร ยิ่งยั่วโมโหพวกสัตว์อสูร ทำให้ขบวนสัตว์อสูรอยู่ยาวนานขึ้น อาซือถิงยังตกลงกับเขาว่า อีก 3 วันถัดจากนี้จะทำการค้าในขั้นเริ่มต้น โดยจะทำการซื้อขายเป็น… การติดเอาไว้ก่อน”

“เช่นนั้นเราจะรออะไร ? ก็เข้าไปในแดนสัตว์อสูรแล้วจัดการมันเสียเลย !” ปาเหยียนคำรามก้อง

ตานปาจ้องปาเหยียนสายตาเย็นชาพลางเอ่ยคำ “หากอยากไปนัก เจ้าก็เอาทัพส่วนตัวไปสังหารเขา เจ้าว่าอย่างไร ?”

“ข้าหรือ ?” ปาเหยียนชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด

“คงไม่ได้จะบอกว่าเจ้ากับกองทัพนับพันของเจ้าจะไม่สามารถรับมือคนด่านทะลวงลมปราณเพียงคนเดียวได้หรอกกระมั้ง ?” ตานปาตอบเสียงสงบ

ปาเหยียนเลียปากตื่นเต้น “ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น ข้าจะมอบหัวมนุษย์ผู้นั้นให้กับมือเลย”

“ข้าจะรอฟังข่าวดี” ตานปาตอบเสียงเรียบ

ปาเหยียนออกไปทันที จาเค่อที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยคำเป็นกังวล “ประมุขน้อย อย่างไรปาเหยียนก็เป็นลูกผู้นำเผ่า ส่งเขาไปเสี่ยงเช่นนี้เหมาะแล้วหรือ ?”

“ข้าไม่ได้ส่งให้ไปเสี่ยง” ตานปาตอบเกินคาด “ข้าส่งให้ไปตาย”