บทที่ 161 หนองน้ำ
หนองน้ำทางตอนใต้ของป่าทมิฬ
ฉือหมิงเฟิงยืนเหม่อจ้องมองผืนน้ำอยู่ที่ขอบหนองน้ำ ราวกับมีเรื่องบางอย่างติดอยู่ในใจของเขา
ขณะเดียวกัน อาซือถิงที่อยู่ไม่ไกลนักก็กำลังเดินวนไปวนมาอย่างร้อนใจ
“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว เหตุใดชายผู้นั้นถึงยังไม่มาอีก ?”
“อย่าได้กังวลเกินไปหน่อยเลยอาซือถิง” ฉือหมิงเฟิงกล่าวอย่างใจเย็น “อันที่จริงข้ารู้สึกว่าสิ่งที่ซูเฉินพูดนั้นมีเหตุผล เวลาของเรามีจำกัด และโอกาสที่จะแทรกซึมลึกเข้าไปในอาณาเขตของเผ่าสัตว์อสูรก็น้อยเกินไป แต่แทนที่จะปล้นที่นี่และเพิ่มความสามารถของเรา กลับกลายเป็นเรากำลังเสียเวลาของเราในการทำธุรกิจนี้มากกว่า ช่างเป็นการทำอะไรถอยหลังซะจริง”
“บางทีข้าก็สงสัยเกี่ยวกับชายหนุ่มผู้สร้างความตื่นตระหนกให้คนเถื่อนทั้งเผ่าผู้นี้อยู่นิดหน่อย สิ่งที่เจ้าพูดมาก็อาจจะถูก ข้าเองก็คงจะกังวลเกินไปหน่อย แต่ข้อตกลงก็ได้เกิดขึ้นไป จนเรื่องมันมาถึงจุดแล้วใช่ไหมล่ะ ?” อาซือถิงยักไหล่
ฉือหมิงเฟิงหันกลับมาและมองไปทางคู่สนทนา “อาซือถิง บอกข้าสิว่าเจ้ามีแผนอื่นในใจหรือไม่ ?”
“แผนอื่น ?” อาซือถิงชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา “เจ้ากำลังพูดถึงอะไร ? ข้าแค่ต้องการหาเงินและอยากจะทำความรู้จักกับผู้ที่สามารถนำพาความมั่งคั่งมาไม่รู้จบมาให้ข้าได้ก็เท่านั้น มันผิดด้วยหรือ ?”
เมื่อฉือหมิงเฟิงได้ฟังสิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวมา เขาก็พยักหน้าและตอบว่า “ถูกของเจ้า ในสถานการณ์เช่นนี้ ใคร ๆ ก็คงอยากจะรู้จักคนเช่นนั้น”
อาซือถิงหัวเราะคิกคัก “เข้าใจก็นับว่าดีแล้ว”
ฉือหมิงเฟิงหันกลับมา “ในป่าทมิฬมีดอกไม้ชนิดหนึ่งที่ถูกเรียกว่าเมฆปีศาจราตรี มันเป็นส่วนผสมอันล้ำค่าที่สามารถช่วยชำระร่างกายให้บริสุทธิ์ได้ ทั้งยังสามารถกินไปทั้ง ๆ เช่นนั้นได้เลยไม่จำเป็นต้องไปปรุงเป็นยา ทว่างูเหลือมยักษ์ 2 ตัวค่อยปกป้องอยู่ พวกมันไม่ง่ายที่จะรับมือเลย”
อาซือถิงไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ อีกฝ่ายถึงได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจึงจ้องมองคู่สนทนาอย่างงุนงง
ฉือหมิงเฟิงกล่าวต่อ “งูเหลือมยักษ์ 1 ในนั้น ที่รู้จักกันในนามงูเหลือมลุ่มน้ำ ตามชื่อของมันที่อาศัยอยู่ในหนองน้ำ”
หลังจากไม่เข้าใจอยู่สักพัก ในที่สุดเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และโพล่งออกมา “บัดซบ !”
ทันใดนั้นหัวขนาดมหึมาก็ค่อย ๆ โผล่ขึ้นมาจากหนองน้ำเบื้องหน้า นัยน์ตาวาววับจับจ้องตรงมาที่ทั้งสอง
ฉือหมิงเฟิงกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ข้าจะเข้าไปในป่าทมิฬเพื่อเก็บเมฆปีศาจราตรี เจ้ากับลูกน้องอยู่ที่นี่แล้วรั้งเจ้างูเหลือมลุ่มน้ำนี้ไว้ หากทุกอย่างราบรื่นดี เราก็น่าจะสามารถเก็บมันมาได้ทันก่อนที่ซูเฉินจะมาถึง จากนั้นเราจะมีไพ่มาไว้ต่อรองเพิ่มอีกอัน”
ขณะที่พูดเขาก็เตรียมที่จะพาเยี่ยเม่ยกับเฮ่อซื่อมุ่งหน้าเข้าไปด้านในป่า
“เดี๋ยวก่อน หมิงเฟิงไม่จำเป็นจะต้องทำอย่างนั้น !” อาซือถิงตะโกนสุดเสียง
งูเหลือมยักษ์ตัวนี้เพียงแค่มองดูก็รู้ได้แล้วว่าไม่ใช่สิ่งที่รับมือได้ง่ายเลย เขาไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับสัตว์อสูรอยู่เพียงลำพังที่นี่
ฉือหมิงเฟิงหันย้อนกลับมามอง “เจ้าไม่อยากจะได้ของไปแลกเปลี่ยนทรัพยากรเพิ่มแล้ว ? ยังไงนั่นก็คือจุดประสงค์ของการมาที่นี่มิใช่หรือ”
“ข้า… ” อาซือถิงพูดไม่ออก
“นอกจากนี้ เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าซูเฉินถึงได้เลือกที่จะแลกเปลี่ยนที่นี่ ? บางทีมันอาจต้องการยืมมือของเราเพื่อจัดการกับงูเหลือม 2 ตัวนี้ก็ได้ แม้แต่ทางนั้นเองงูคู่นี้อาจจะรับมือยากอยู่สักหน่อยก็เป็นได้”
“เจ้าหมายถึง… ”
“ถ้าเจ้าไม่ฆ่ามัน ซูเฉินก็อาจไม่ปรากฏตัวออกมาเลย” ฉือหมิงเฟิงยิ้ม
หลังพูดจบเขาก็พาอีก 2 คนเขาป่าไป
ตอนนี้งูเหลือมลุ่มน้ำได้เผยทั้งร่างของมันออกมาแล้ว ขนาดตัวของมันยาวหลายร้อยจั้ง ทุกครั้งที่มันหายใจออก กระแสลมหมุนวนเล็ก ๆ จะก่อตัวขึ้นที่ด้านหน้าของจมูกของมัน เห็นได้ชัดเลยว่างูเหลือมตัวยักษ์ทรงพลังมากเพียงใด
อาซือถิงเหลือบมองสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่และคิดถึงภารกิจของเขาอีกครั้ง ท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงกลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “เอาล่ะ จัดการเจ้านี้ก่อนแล้วกัน …ไป !”
กลุ่มผู้ใต้บังคับบัญชาของประตูฟื้นความเยาว์พุ่งเข้าหางูเหลือมลุ่มน้ำในทันทีที่ได้รับคำสั่ง
ริ้วแสงต้นกำเนิดพุ่งเข้าปะทะใส่งูเหลือมลุ่มน้ำอย่างรุนแรง ส่งเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว งูเหลือมยักษ์ก็ตอบโต้ด้วยการโจมตีอย่างป่าเถื่อน ร่างกายที่ใหญ่โตของมันคืออาวุธที่ดีที่สุด ความเข้ากันได้กับพลังต้นกำเนิดประเภทดินทำให้มันสามารถควบคุมแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ของโลก ออกมาในรูปแบบของทักษะต้นกำเนิดประเภทดินได้
การต่อสู้ครั้งใหญ่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
แม้ว่างูเหลือมลุ่มน้ำไม่ใช่ตัวตนที่จัดการได้ง่าย แต่ประตูฟื้นความเยาว์ก็แข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด การเผชิญหน้าครั้งนี้ทางฝ่ายประตูฟื้นความเยาว์มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจน
ท่ามกลางประกายแสงจ้าและเสียงคำรามก้องไปทั่วท้องฟ้า ฝ่ายอาซือถิงค่อย ๆ เริ่มสร้างความได้เปรียบอย่างมั่นคงทีละน้อย
เมื่อความได้เปรียบนี้ก่อตัวขึ้นมั่นคงแล้ว เขาก็สามารถผ่อนคลายลงได้เล็กน้อย สมองก็จะว่างและมีเวลาพอจะไปคิดถึงคำถามอื่น
ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ฉือหมิงเฟิงรู้เรื่องเมฆปีศาจราตรีในป่าทมิฬได้อย่างไร ? และรู้ได้อย่างไรว่ามีงูเหลือมยักษ์ 2 ตัวเฝ้าอยู่ที่นี่ ?
เพราะแม้แต่เขาที่อยู่กับเผ่าคนเถื่อนมา เขาก็ไม่เคยได้รับข้อมูลนี้มาก่อนเลย แล้วเหตุใดฉือหมิงเฟิงถึงได้รู้เรื่องนี้ได้ ?
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ อาซือถิงก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ
ในโลกนี้การหลอกลวงที่ประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่ไม่เคยเผื่อใจหรือเตรียมตัวไว้ว่าจะถูกหลอก หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับผู้ที่สร้างการป้องทางจิตใจเพื่อหลีกเลี่ยงจากการถูกหลอกโดยเฉพาะ มันก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ เพราะรายละเอียดที่ดูเหมือนไม่สำคัญอะไรก็จะโดดเด่นขึ้นมาในทันที
เหตุใดฉือหมิงเฟิงถึงได้รู้เรื่องป่าทมิฬ ? เหตุใดอีกฝ่ายถึงต้องรีบจากไปอย่างรวดเร็ว ? แล้วเพราะเหตุใดเขาถึงไม่อาจอยู่ช่วยตนกำจัดงูเหลือมยักษ์พวกนี้กับพวกเขา ?
พริบตาที่คำโกหกอย่างหนึ่งถูกมองออก เรื่องต่าง ๆ ที่ดูไม่สมเหตุสมผลก็จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นมากมายอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
ในเวลานี้อาซือถิงรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นแล่นผ่านกระดูกสันหลังของเขา
ฉือหมิงเฟิงโกหกเขา !
แต่ความเย็นนี้ก็ยังไม่ได้ครอบงำเขาอย่างสมบูรณ์ ความหวังเองก็ยังไม่กลายเป็นความสิ้นหวังอย่างสมบูรณ์
อาซือถิงหวังว่าการเดาของเขาจะผิด หรืออย่างน้อยก็หวังว่ามันจะมีเหตุผลอื่นมารองรับข้อสงสัยของเขา
จนกระทั่งเขาได้เห็นต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่ไม่ไกล
ต้นไม้ต้นนั้นเหี่ยวเฉาไปนานแล้ว กิ่งก้านและรากที่แห้งกรอบของมันแผ่ออกไปตามพื้นดิน เศษผ้าผืนหนึ่งแขวนอยู่บนต้นไม้นั้น
ผ้าสีเทาชิ้นนี้ไม่ได้ดูมีอะไรให้สะดุดตาเป็นพิเศษ แต่ในสภาพแวดล้อมที่วุ่นวายและมีเสียงดังเช่นนี้ มันกลับดูโดดเด่นยิ่ง
เศษผ้า !
เสื้อผ้าของมนุษย์มาแขวนอยู่ในที่แบบนี้ได้อย่างไร ?
อาซือถิงเข้าใจได้ในทันที
เขาตัวสั่นและตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ซูเฉิน ! เจ้าอยู่ที่นี่แล้วใช่ไหม ? ออกมาเดี๋ยวนี้ !”
ไม่มีการตอบสนองใดตอบรับเสียงขานเรียกของเขา นอกจากเสียงขู่คำรามอันเกรี้ยวกราดของงูเหลือมลุ่มน้ำที่สะเทือนถึงชั้นฟ้า คลื่นพลังต้นกำเนิดประเภทดินก่อตัวขึ้นกดดันรอบเหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดของประตูฟื้นความเยาว์อย่างต่อเนื่อง พลังงานที่ท่วมท้นทำให้พวกเขาแทบจะหายใจไม่ออก
มือของอาซือถิงสั่น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
“ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ออกมา !”
เสียงถอนหายใจเบา ๆ ดังขึ้นตามคำเรียกของเขา
อาซือถิงหันไปรอบ ๆ ตามทิศทางของเสียงอย่างรวดเร็ว และพบกับซูเฉิน
ชายหนุ่มยืนอยู่ที่ข้างหลังอย่างเงียบ ๆ รอยยิ้มสบาย ๆ ประดับอยู่บนใบหน้าของเขา
ซูเฉินถือแก้วเหล้าอยู่ในมือ ภายในแก้วนั้นเต็มไปด้วยเหลวสีเลือด ชายหนุ่มยืนอยู่หน้าป่าทมิฬบริเวณข้าง ๆ หนองน้ำ
อาซือถิงกลืนน้ำลายก่อนจะพูดต่อ “ซูเฉินข้ามาที่นี่เพื่อเจรจาธุรกิจกับเจ้า ข้านำทรัพยากรจำนวนหนึ่งมาด้วย ไข่ของงูแดงปีกเหมันต์ ดวงตานกฮูกผลึกเมฆายังมี… ”
ซูเฉินยักไหล่อย่างไม่สนใจ “ความจริงใจของเจ้าหน้าตาน่าเชื่อถือพอ ๆ กับโคลนในหนองน้ำแห่งนี้ ประโยชน์หนึ่งเดียวของมันคือช่วยแผนการสกปรกและอุบายของเจ้าเอาไว้ข้างใต้ก็แค่นั้น”
ท่าทางของอาซือถิงเปลี่ยนไป “ข้าคิดว่าระหว่างเราน่าจะมีความเข้าใจผิดเกิดขึ้น”
“เจ้ากำลังพยายามจะบอกข้าว่า เจ้าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทหารของเผ่าคนเถื่อน 500 กว่าชีวิตที่รอข้าอยู่นอกป่านั่นน่ะหรือ ?”
การที่ซูเฉินสามารถระบุจำนวนคนได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ ทำให้หัวใจของอาซือถิงสั่นอย่างรุนแรง
“เจ้า… ” เขาจ้องมองซูเฉินด้วยความตกตะลึง
ชายหนุ่มตอบกลับว่า “อันที่จริงการที่ตานปาส่งคนมาเพื่อสังหารข้าเพียง 500 คนนั้น คิดว่าคนแค่ครึ่งพันก็พอจะรับมือข้าแล้วมิใช่ว่ามันดูถูกข้ามากไป ? หรือมันแค่ประเมินข้าไว้สูงจนไม่เต็มใจที่จะเสี่ยงมากกว่านี้กันแน่ ?”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูเฉินก็ส่ายหัว “ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่ามันกำลังพยายามทำอะไร แต่อย่างน้อยข้าก็รู้ว่าเจ้าและคนของเจ้าจะไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้อีกแล้ว ในเมื่อเจ้าหาตัวข้าเจอได้ทันเวลา อย่างน้อยเจ้าก็ได้รับโอกาสในการต่อสู้กับข้าแบบตัวต่อตัว”
เขาหยิบดาบดาบหั่นภูผาออกมาและชี้ไปที่คู่ต่อสู้ “หากเราจบเรื่องนี้กันได้เร็วพอ เราก็ควรจะได้ข้อสรุปเรื่องนี้ทันก่อนที่คนของเจ้าจะถูกงูยักษ์ตัวนั้นฆ่าทิ้งหมด”