ภาคที่ 4 บทที่ 162 การต่อสู้ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 162 การต่อสู้ (1)

ทันทีที่กล่าวจบ กลิ่นอายของซูเฉินก็เปลี่ยนไปในพริบตา

จู่ ๆ แรงกดดันที่แข็งแกร่งจนน่ากลัวก็ระเบิดออกจากร่างกายของชายหนุ่มผู้มีน้ำเสียงสงบนิ่งราวกับไม่แยแสต่อสิ่งใดคนนี้

คลื่นจิตสังหารที่ดุร้ายและรุนแรงพุ่งทะลักออกมาอย่างไร้การควบคุม

ภาพเสมือนของมนุษย์ร่างยักษ์ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของซูเฉิน มันคืออวตารของภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดที่ขยายขนาดเพิ่มมาอีกเกือบ 20 จั้ง ร่างกายที่ใหญ่โตของมันตั้งตระหง่านราวกับภูเขาสูง ดาบหั่นภูผาก็เปลี่ยนกลายเป็นดาบขนาดใหญ่ประหนึ่งดาบผ่าสวรรค์ เปลวเพลิงลุกโชนไปตามแนวใบมีด ผสานรวมเข้ากับสายฟ้าอันทรงพลัง

ม่านตาของอาซือถิงหดลงโดยพลัน

นี่มันวิชาอะไร ?

เหตุใดชายหนุ่มที่ยังอยู่เพียงแค่ด่านทะลวงลมปราณ ถึงได้สามารถสร้างแรงกดดันที่มีผลกระทบต่อเขาได้มากขนาดนี้กัน ?

ประหนึ่งว่าผู้ที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ แต่เป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารที่แข็งแกร่งสูสี ๆ …ไม่สิ อาจจะแข็งแกร่งกว่าเขาด้วยซ้ำ !

ความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อสู้ และคลื่นพลังต้นกำเนิดอันหนาแน่นที่ไหลออกจากซูเฉิน ทำให้อาซือถิงรู้สึกเหมือนพลังอันยิ่งใหญ่กำลังจะพัดตัวเขาไป และพลังที่ว่านี้ดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ อีกด้วย

ผู้ชายคนนี้แข็งแกร่งขึ้นจริง ๆ!

อาซือถิงรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดีนัก

เวลานี้ สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขาคือโจมตีและขัดขวางอีกฝ่ายไม่ให้อีกฝ่ายรวมกำลังได้

ทว่าเขาก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น อาซือถิงดึงบางสิ่งออกมาจากกระเป๋าหน้าอกของเขาแล้วโยนมันขึ้นไปในอากาศ

ฟิ้ว !

เปลวไฟพุ่งสูงไปบนท้องฟ้า ราวกับดาวตกที่พุ่งย้อนกลับขึ้นฟ้าไป

จากนั้นอาซือถิงก็ยิ้มอย่างมีชัย “ซูเฉิน เจ้าตายแน่ !”

“แจ้งข่าวเสร็จแล้วหรือ ? สบายใจขึ้นหรือไม่ ?” ซูเฉินดูเฉยเมยอย่างน่าประหลาดใจ สายตาของเขาที่จ้องมองอาซือถิงเต็มไปด้วยความดูแคลน

“สิ่งแรกที่ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารทำเมื่อเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณ คือร้องขอกำลังเสริม อาซือถิงความกล้าของเจ้าหายไปอยู่ที่ใดกัน ? เจ้าไม่มีแม้แต่ความมั่นใจในตัวเอง แล้วยังกล้ามาพูดเรื่องสู้กับข้า ?”

อาซือถิงยิ้มอย่างโหดเหี้ยม “ยั่วยุข้าด้วยคำพูด ? น่าเสียดายที่มันไร้ประโยชน์ ! ข้าไม่เคยเชื่อมั่นในพลังใจหรือแรงผลักดันอะไร ข้าจะใช้ทุกอย่างที่ข้ามี ข้าไม่เคยต้องการความมั่นใจในตนเองเพื่อต่อสู้ ข้าต้องการเพียงแค่ความแข็งแกร่ง !”

หลังกล่าวจบเขาก็เริ่มร้องเพลงด้วยเสียงต่ำด้วยจังหวะที่แปลกประหลาด

ขณะที่เขาร้อง พลังต้นกำเนิดในอากาศก็เริ่มบิดตัวม้วนอย่างต่อเนื่อง พวกมันเริ่มควบแน่นและก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ ขยายและหดตัวอย่างขัดแย้งกันไปมาในเวลาเดียวกัน

วังวนธาตุ !

ในฐานะทายาทที่เหลืออยู่ของเผ่าอาร์คาน่า มันก็สมเหตุสมผลแล้วที่เขาจะใช้วิชาโบราณอาร์คาน่า

วังวนธาตุเป็นอาคมระดับ 4 ดังนั้นมันจึงไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนัก อย่างไรก็ตามมันถือเป็นขั้นพื้นฐานของวิชาโบราณอาร์คาน่าอื่น ๆ อีกมากมาย และนี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมปรมาจารย์อาร์คาน่าหลายคนถึงชื่นชอบวิชานี้

อาซือถิงเป็นพวกดื้อรั้นและอนุรักษนิยม ดังนั้นเขาจึงไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ก็อย่างที่เขาพูด เขาจะใช้พลังทุกอย่างที่เขามีเพื่อเอาชนะคู่ต่อสู้ ผลที่ได้คือเขาจะไม่มีวันแพ้การต่อสู้ที่เขาควรจะชนะ ทว่าเขาก็จะไม่มีวันชนะในการต่อสู้ที่เขาควรจะแพ้

ราวกับสูตรที่ตายตัว

ด้วยเหตุนี้ในประตูฟื้นความเยาว์ อาซือถิงจึงมีชื่อเล่นว่าบรรทัดฐาน

บรรทัดฐานที่เปรียบเทียบคำจากไม้บรรทัดกับมาตรฐาน ที่สื่อถึงวิธีการคิดและวิธีการลงมือของอาซือถิงอย่างตรงตัว

หลังจากที่วังวนธาตุปรากฏขึ้น สิ่งที่ตามมาในทันทีก็คือการแสดงพลังอย่างเต็มรูปแบบของวิชาโบราณอาร์คาน่า

ช่องว่างระหว่างอาซือถิงกับซูเฉินบิดเบี้ยวอย่างกะทันหัน ราวกับว่ามีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นฉีกทุกอย่างออกจากกัน สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากอากาศโล่ง ๆ ก่อตัวกันเป็นลูกบอลสายฟ้าและพุ่งตรงเข้าหาซูเฉิน

ลูกบอลสายฟ้านี้ต่างจากสายฟ้าที่ซูเฉินใช้อย่างเห็นได้ชัด ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าบอลสายฟ้าเข้มข้นกว่าสายฟ้าของตัวเขาเองถึงสิบเท่า

ช่างเป็นการโจมตีที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้ !

คุณลักษณะเด่นที่สุดของวิชาโบราณอาร์คาน่าคือพลังที่น่าสะพรึงยิ่ง ทำให้ความสามารถในการรุกของพวกเขาเหนือกว่าทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัย

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับลูกบอลสายฟ้าที่ทรงพลังมากจนทำให้อากาศบิดเบี้ยว ซูเฉินไม่กล้าที่จะรับมือมันตรง ๆ

ร่างของเขาหายวับไปด้านข้างในทันที ในเวลาเดียวกันดาบในมือของเขาก็วาดขึ้นไปในอากาศ

ภาพจุติสายเลือดต้นกำเนิดขนาดมหึมาเหวี่ยงดาบหั่นภูผาอันยักษ์ขึ้นไปในอากาศตามเขา สร้างคลื่นกระแทกที่น่ากลัวผ่าอากาศให้แหวกออก ความรู้สึกที่น่าหวาดเกรงแทบจะทำให้เลือดของผู้ที่ได้พบเจอเดือดพล่านประหนึ่งจะระเบิดออก

‘คลื่น’ พลังจากดาบยักษ์กวาดไปไกลหลายพันลี้ ภาพสัตว์ลวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นคำรามอยู่ที่ด้านหลังของซูเฉินโดยพร้อมเพรียง

เงาสัตว์ร้ายนี้มีทั้งอสรพิษทะยาน วิญญาณอัสนี ปีศาจหุบเขาและมีแม้กระทั่งลั่วโหยว … ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ซูเฉินได้รวบรวมสายเลือดของผู้คนนับไม่ถ้วน ขัดเกลา ซึมซับ และผสานมันเข้ากับตัวเอง แม้ว่าจะไม่สามารถดึงพลังของสายเลือดที่รวมกันออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่มันก็ได้รวมเข้ากับรูปแบบการต่อสู้ของเขาและกลายเป็นความแข็งแกร่งที่มีเอกลักษณ์แบบพิเศษของซูเฉิน

คมดาบตัดผ่านฟ้าฟาดลงบนลูกบอลสายฟ้า การปะทะครั้งนี้สร้างประกายแสงเจิดจ้าไร้จุดสิ้นสุด

บอลสายฟ้าถูกดาบเบี่ยงไปทางด้านข้าง แต่พลังสายฟ้าที่ระเบิดออกมายังคงผลักซูเฉินถอยหลัง

ซูเฉินบินขึ้นไปในอากาศก่อนที่ร่างของเขาจะหายวับไปอีกครั้ง แล้วปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังอาซือถิงด้วยวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย

“วิชาโบราณอาร์คาน่า ?” ความตกใจปรากฏขึ้นในแววตาของอาซือถิง ซูเฉินใช้วิชาโบราณอาร์คาน่า !?

ขณะที่กำลังตกตะลึงร่างของอาซือถิงก็บิดเบี้ยวเสมือนก้อนแสง คมดาบของซูเฉินฟาดฟันลงมา แต่มันก็ทำได้เพียงทำให้แสงสั่นเล็กน้อย ราวกับว่าเขาเพิ่งผ่าร่างที่ทำจากน้ำไป

ร่างกายของอาซือถิงเปลี่ยนจากเสมือนกลับมาเป็นของจริงอย่างรวดเร็ว มือขวาของเขาปล่อยเปลวเพลิงน่าสะพรึงกลัวออกมา ลุกโชนพุ่งสูงขึ้นและกลายเป็นดาบเพลิง

นี่คือวิชาอัคคีจู่โจมเป็นอาคมอาร์คาน่าระดับ 3 มันไม่ได้ทรงพลังเท่าวังวนธาตุ แต่ก่อตัวและโจมตีได้เร็วกว่ามาก ด้วยความแข็งแกร่งของอาซือถิงการจะใช้วิชานี้ในทันที นับเป็นเรื่องง่ายมาก

ดาบเพลิงที่แหลมคมพุ่งตรงเข้าใส่ใบหน้าของซูเฉิน ถูกสกัดกั้นไว้ด้วยเกราะป้องกันในทันที

พริบตาต่อมาอาซือถิงก็ร้องขึ้นมาอีกครั้ง

ทันทีที่ซูเฉินได้ยินเสียงของอีกฝ่าย ร่างของเขาก็สั่นสะท้าน การเคลื่อนไหวของเขาเองก็ช้าลงอย่างมาก

บทสวดปีศาจสามารถควบคุมจิตใจของคู่ต่อสู้ได้ มันจึงเป็นทักษะทรงพลังที่มุ่งเน้นไปที่การถ่วงศัตรูจากการรวบรวมพลังต้นกำเนิด

อาซือถิงยิ้มอย่างชั่วร้าย คลื่นความมืดประหลาดตรงเข้าคลุมซูเฉิน

คลื่นทมิฬมรณะคือวิชาโบราณอาร์คาน่า เป็นอาคมอาร์คาน่าระดับ 5 และทรงพลังอย่างยิ่ง แต่ต้องใช้เวลาในการรวมพลังนานมาก ด้วยเหตุนี้แจึงชอบใช้บทสวดปีศาจเพื่อควบคุมคู่ต่อสู้ของเขาก่อน จากนั้นจึงเปิดใช้คลื่นทมิฬมรณะตามไป

แต่ทันทีที่คลื่นทมิฬมรณะปรากฏขึ้น ร่างกายของซูเฉินก็หายไปอีกครั้ง

ชายหนุ่มไม่ได้รับผลกระทบจากบทสวดปีศาจเลยแม้แต่น้อย เขายังคงแสดงออกอย่างสงบและยิ้มมั่นใจ

“เจ้า …ไม่ได้รับผลกระทบเลยหรือ ?” อาซือถิงตกตะลึง

ซูเฉินเอียงศีรษะของเขา “การโจมตีด้วยพลังจิตระดับนั้น นับว่าทำข้ามีช่วงเวลาที่ยากลำบากอยู่บ้าง”

เขาฟาดดาบอีกครั้งหลังจากพูดจบ

เมื่อดาบถูกกวัดแกว่ง สายฟ้ากับเปลวเพลิงก็รวมตัวกันที่คมมีด ในชั่วพริบตาพลังของซูเฉินก็ทวีคูณขึ้นอีกครั้ง รัศมีรอบตัวดาบเองก็แข็งแกร่งและทรงพลังมากขึ้น คมดาบกวาดออกไปด้านหน้าเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งความทะนงที่ไม่มีใครเทียบ

อาซือถิงตะโกนร้องขึ้นสุดเสียง คลื่นอันทรงพลังเริ่มไหลออกมาจากวังวนธาตุอีกระลอก รวมตัวกันเป็นกระจกบานใหญ่ป้องกันอยู่ตรงหน้าของเขา จากนั้นวงกลมแห่งแสงก็ปรากฏขึ้นซ้อนทับกระจกนั่นคือโล่คำสั่ง อย่างสุดท้ายคือเปลวไฟที่ลุกขึ้นท่วมร่างของอาซือถิง นั่นคือเกราะอัคคีโลกันต์

การป้องกัน 3 ชั้น

ซูเฉินฟาดดาบโจมตีออกเพียงครั้งเดียว รอยแยกยาวลึกถูกทิ้งเอาไว้บนพื้นข้างหลัง คมดาบปะทะเข้ากับผลึกกระจกทำให้มันแตกเป็นเสี่ยง และส่งเศษน้ำแข็งปลิวไปทุกหนทุกแห่ง จากนั้นมันก็ชนเข้ากับโล่คำสั่งต่อ โล่เปล่งเสียงกังวานดุจเสียงระฆังศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ประกายของคมดาบจางลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากกดพลังของดาบจนเหลือเพียงเสี้ยวเดียวจากพลังทั้งหมด โล่คำสั่งก็ได้พังลงเช่นกัน เสี้ยวพลังคมดาบที่เหลือตกลงบนเกราะอัคคีโลกันต์ ส่งประกายไฟและเปลวเพลิงกระจายไปทั่วทุกทิศ

ตู้ม !

ระเบิดเพลิงขนาดใหญ่ปะทุขึ้นโดยมีอาซือถิงเป็นศูนย์กลาง