AST บทที่ 1869 – พระราชวังอมตะ? ข้าจะให้โอกาสเจ้า
บทที่1869 – พระราชวังอมตะ? ข้าจะให้โอกาสเจ้า
ชิงสุ่ยที่ปรากฏตัวต่อหน้าจินเต๋ามือทั้งสองข้างกำลังจับกระบี่ทองคำด้วยเรี่ยวแรงมหาศาล มันเป็นพละกำลังที่ทำให้จินเต๋าตกใจจนพูดไม่ออก
”ข้าเคยบอกไปแล้วว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”ชิงสุ่ยค่อยๆเผยรอยยิ้มก่อนจะปล่อยจินเต๋า
จินเต๋าได้แต่จ้องมองชิงสุ่ยด้วยสายตาอันว่างเปล่าเขาไม่อยากยอมรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย ยิ่งคิดว่าชายคนนี้สามารถรับกระบี่ทั้ง 2 ข้างได้ด้วยมือเปล่าโดยแทบไม่ใช้ความพยายาม หากชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าต้องการสังหารตัวของเขา ก็คงทำได้ง่ายมาก
”ทะท่านช่างทรงพลังเหลือเกิน ข้าจินตนาการไม่ออกเลยว่าใครเป็นคนสั่งสอนท่าน ใช่ผู้คนต่างพระราชวังอมตะใช่หรือไม่?”น้ำเสียงการพูดของจินเต๋าได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีความเย่อหยิ่งเหมือนแต่ก่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
เขากำลังหวาดกลัวอย่างสุดขีดหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปจะทำให้ตระกูลและนิกายของตนเสี่ยงต่อการถูกล้างบาง ดังนั้นเขาจึงตื่นตระหนกและพยายามกล่าวทุกวาจาด้วยความระมัดระวัง
”พระราชวังอมตะ?พวกมันคืออะไร?”ชิงสุ่ยถามด้วยความสับสน
จินเต๋าเองก็ประหลาดใจในคำถามของชิงสุ่ยแต่เขาก็ยังคงพูดจาด้วยความนอบน้อมและระมัดระวัง “ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่สิ่งที่ผู้คนจากตระกูลของข้าเคยบอก นิกายอมตะทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่ผู้ที่อยู่เหนือกว่านิกายอมตะ จะถูกแทนตนเองว่ากลุ่มพระราชวังอมตะ และพระราชวังอมตะที่ข้าเคยได้ยินก็คงจะมีพระราชวังอมตะไถอี้และพระราชวังอมตะมหาสุริยัน”
ชิงสุ่ยหยุดถามเพิ่มเติมจากคำพูดก็คงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่ากลุ่มพระราชวังอมตะคือกลุ่มคนที่มีพลังเหนือกว่านิกายอมตะอย่างไรก็ตามชิงสุ่ยก็ยังไม่เคยปะทะฝีมือกับพวกเขา ชิงสุ่ยจึงยังไม่รู้ว่าระหว่างเขากับพวกมันใครจะเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่ากัน
”ออกไปซะข้าจะให้โอกาสเจ้าเพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว ถ้าหากครั้งหน้าเจ้ายังกล้าใช้ศาสตราอาวุธมาชี้หน้าข้า ข้าจะทำให้เจ้ารู้คำตอบที่แท้จริง”ชิงสุ่ยกล่าวอย่างดุดัน
”ขอบคุณมากที่ไว้ชีวิตข้า”จินเต๋าเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างเพิ่มเติมไปหลังจากที่เขาพูดพึมพำเขาก็รีบถอยหลังออกไปทันที โดยไม่หันกลับมามองหญิงสาวที่เขาหมายปองเลยแม้แต่นิดเดียว เขารู้คำตอบและล้มเลิกความคิดทุกอย่างแทบจะหมดสิ้น ถ้าหากบทสุดท้ายลงเอยด้วยการทำให้ยอดยุทธที่แข็งแกร่งโกรธเกรี้ยว โชคชะตาอันเลวร้ายที่ตามมาคงเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากคิดถึงที่สุด
ชิงสุ่ยมองดูจินเต๋าที่ค่อยๆจากไปก่อนจะหันกลับไปหาชิงห่านอี่ที่ยืนอยู่ใกล้ๆและกล่าวถามว่า “ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมเจ้าถึงไม่ขับไล่มันไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้?”
”ข้าแค่เพียงอยากเห็นเจ้าต่อสู้ก็เท่านั้นเอง”ชิงห่านอี่ยิ้มและมองมาที่ชิงสุ่ยใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยเสน่ห์อันน่าดึงดูดใจ
”เอาเถอะเพราะสุดท้ายยังไงข้าก็ต้องเป็นห่วงเจ้าอยู่ดี”ชิงสุ่ยแสดงให้เห็นรอยยิ้มจางๆ
ชิงห่านอี่รู้ดีว่าชิงสุ่ยกำลังหมายถึงอะไรตัวของเธอเองนั้นครอบครองกายาเก้าหยิน และมีเพียงแค่ชิงสุ่ยเท่านั้นที่จะเป็นคู่ครองที่เหมาะสมสำหรับเธอ การที่ทั้งสองได้มาพบพานกันมันคงเป็นเพราะชะตากรรม ทันทีที่พวกเขาได้เจอกันต่างฝ่ายต่างรับรู้ถึงแรงดึงดูดบางอย่าง ย้อนกลับไปในอดีต ชิงสุ่ยก็เคยพยายามหลีกเลี่ยงไม่พบหน้าเธอ แต่สุดท้ายทุกอย่างก็คงเป็นไปตามพระประสงค์ของผู้สร้างโลก ที่นำพาทั้งสองมาเจอกันในแดนทะเลเหนือ
ทั้งที่เขากลับมาเขาก็ได้เจอกับคนที่พยายามจะมาแย่งชิงหญิงสาวของตัวเขา นอกจากนี้ยังมีอีกหลายอย่าง ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดก็คงเป็นเรื่องของมหาจักรวรรดิราชันย์ปราชญ์ แล้วยังมีเรื่องของพระราชวังทองคำศักดิ์สิทธิ์ที่ได้บอกเล่าเรื่องราวไปถึงระราชวังอมตะไถอี้และพระราชวังอมตะมหาสุริยัน
แต่ถึงจะค้นพบเรื่องราวมากมายชิงสุ่ยก็ไม่ได้อยากรู้อะไรไปมากนัก สิ่งที่เขาให้ความสำคัญคือความกังวลที่มีต่อถานท่ายหลิงเยียนในเรื่องของนิกายห้าพยัคฆ์อมตะ ดูเหมือนว่านิกายห้าพยัคฆ์อมตะยังไม่เคยแสดงตัวตนออกมา แล้วพวกมันแข่งแกร่งในระดับใดกันแน่? มีโอกาสที่เขาจะต่อกรกับพวกมันได้หรือไม่?
แม้ว่านิกาย5 พยัคฆ์อมตะจะเป็นนิกายที่ยิ่งใหญ่จริงแต่มหาทวีปอุดรเทวางั้นกว้างใหญ่เกินไป จึงทำให้การตามหานิกายห้าพยัคฆ์อมตะไม่ต่างอะไรจากการงมเข็มในมหาสมุทร แต่ด้วยระดับพลังของชิงสุ่ยก็ยังไม่อาจดึงดูดพวกเขาได้ นี่คงเป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่าพวกมันลึกลับกว่าที่คิด
หลังจากเรื่องราวทั้งหมดจบลงทุกคนก็ใช้เวลาร่วมกันจนกระทั่งรับประทานอาหารมื้อเย็นเสร็จสิ้น ชิงสุ่ยแยกตัวไปกับอีเย่เจี้ยนเก้อและชิงซิ่วตัวน้อย
เด็กตัวน้อยกำลังนอนหลับในอ้อมแขนชิงสุ่ยในขณะที่อีเย่เจี้ยนเก้อก็เดินอยู่เคียงข้างเขา วันนี้เป็นวันเดือนมืดไร้แสงจันทร์ สภาพแวดล้อมจึงถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างจากไข่มุกยามกลางคืน
อีเย่เจี้ยนเก้อตกใจเล็กน้อยเพราะการจับจ้องของชิงสุ่ยมันทำให้เธอรู้สึกเขินอายเธอจึงได้แต่กล่าวแก้ความเขินอายออกมาว่า “เจ้ามองดูข้ามาหลายปีแล้ว!! ยังไม่รู้สึกพออีกหรือไง?”
”ก็เจ้ามีเสน่ห์ขนาดนี้แค่มองอย่างเดียวคงไม่พอ”ชิงสุ่ยหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆก้มหน้าจูบหน้าผากของเธอ
”ถ้าในวันหนึ่งตัวข้านั้นแก่ชราผิวหนังของข้าเริ่มหย่อนคล้อยริ้วรอย เจ้าจะยังชอบข้าเหมือนตอนนี้หรือไม่?”
ชิงสุ่ยไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับอีเย่เจี้ยนเก้อแต่มันผิดแปลกมากที่เธอปรับเปลี่ยนอารมณ์อย่างฉับพลัน “ถ้าเช่นนั้น ข้าเองก็คงแก่ชรา ข้าก็ยังรักเจ้า ความรักที่มีต่อเจ้ามันทำให้ข้าไม่สนใจรูปร่างหน้าตาอีกต่อไปแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปเจ้าก็ยิ่งงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ”
เมื่อทั้งสองคนเข้าไปในห้องนอนอีเย่เจี้ยนเก้อก็รับหน้าที่ในการพาชิงซิ่วตัวนอนไปนอนบนเตียง ส่วนชิงสุ่ยก็เริ่มโอบกอดอีเย่เจี้ยนเก้อจากทางด้านหลัง ก่อนที่เธอจะเป็นตัวจมลงในอ้อมแขนชิงสุ่ย
”ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
คำพูดของอีเย่เจี้ยนเก้อเต็มไปด้วยอารมณ์มากมายแน่นอนว่าชิงสุ่ยเข้าใจความหมายของมัน เขาค่อยๆโอบอุ้มเธอเดินตรงไปยังเตียงนอนภายในห้องนั่งเล่นเหมือนกับครั้งแรกที่เขาได้ยินประโยคนี้
ชิงสุ่ยค่อยๆประทับริมฝีปากลงบนริมฝีปากของเธอจากนั้นลิ้นของทั้งสองค่อยๆเกี่ยวพันตอบสนองกันอย่างช้า เธอค่อยๆโอบแขนทั้งสองข้างไปรอบคอชิงสุ่ย
มือของชิงสุ่ยเริ่มต้นด้วยความซุกซนค่อยๆขยับมาจากหน้าท้องขึ้นมาสู่หน้าอกอันแสนนุ่มนวลหาให้จินตนาการภาพดีที่สุดคงนึกถึงภาพของลูกท้อ แต่มีความนุ่มนวลเหมือนขนมปังและโค้งมนเคลื่อนไหวไปตามผิวมือ
ชิงสุ่ยไม่อาจไขว่คว้ามันได้ด้วยมือข้างเดียวเขาค่อยๆถอดเสื้อผ้าของเธอออกด้วยความดิบเถื่อน ในขณะที่เสื้อผ้าถูกถอดออก หน้าอกทั้งสองข้างก็ปรากฏกายสัมผัสกับผิวอากาศ หน้าอกที่แสนงดงามแสดงให้เห็นผิวสีหยก และคงเป็นหยกที่งดงามที่สุดในโลก
เขาไม่อาจหยุดความใคร่ของตัวเองได้อีกต่อไปเขาค่อยๆซุกใบหน้าลงบนยอดเขาที่มีกลิ่นหอมหวนรัญจวนใจ ก่อนจะเริ่มเดิมๆกลิ่นหอมอย่างใกล้ชิด และเริ่มเพลินไปกับรสชาติที่แสนหวานยิ่งกว่าอาหารรสเลิศจากภัตตาคารได้ๆทุกหนแห่ง