คิดอันใดอยู่!
ช่างอนาจารและน่าอายที่สุด!
กูสือซานจับขอบกางเกงชั้นในสีขาวตัวใหญ่และดึงลงมาสามนิ้ว ในไม่ช้า ตำแหน่งสำคัญก็จะถูกเปิดเผยให้เห็นเต็มสองตา ทว่าเขากลับหยุดชะงักและดึงมือกลับทันที ขณะที่ทุกคนยังไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงผิวปาก กูสือซานวิ่งไปด้านหน้าเวทีแข่งขัน
เขาวิ่งไปพลางผิวปากเสียงดังไม่หยุด ทั้งยังส่งจูบให้ผู้ชมที่อยู่โดยรอบเวที
พวกเขาเพิ่งตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเบื้องหน้าที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และไม่ได้สนใจว่ากูสือซานจะทำแผนการของพวกเขาพังหรือไม่ ทุกคนต่างพากันผิวปากร่วมกับกูสือซาน
เสียงผิวปากดังขึ้นเรื่อยๆ และพร้อมเพรียงกัน สอดรับกับจังหวะเท้าของกูสือซาน จนกลายเป็นทำนองเพลงที่งดงาม
คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเกมเช่นนี้ของกูสือซานจะสนุกอย่างมาก ทั้งยังประสบความสำเร็จในการดึงดูดผู้ชื่นชอบจำนวนมากที่อยู่โดยรอบเวที ทั้งผู้ที่เป็นบุรุษและสตรี
กระทั่งผู้อาวุโสหนวดเคราขาวสองท่านที่เป็นผู้ตัดสินอยู่บนเวทียังชะเง้อมองมาที่เขา
เมื่อวิ่งครบสามครั้ง เรือนร่างของกูสือซานก็ปรากฏเม็ดเหงื่อเล็กน้อย เขาเติบโตที่แคว้นไหวเจียง เนื่องจากเป็นแคว้นที่มีแสงแดดอย่างเพียงพอ ผิวของเขาจึงคมเข้ม เมื่อรวมกับเม็ดเหงื่อที่เกาะพราวอยู่บนผิวหนัง ยิ่งขับเน้นให้เขาดูยั่วยวนเกินกว่าจะบรรยาย
สตรีจำนวนไม่น้อยต่างจ้องมองด้วยสายตาตกตะลึง ทั้งพวกนางยังกล้ามองอย่างเปิดเผย
“จริงๆ แล้ว ราชครูกูก็หล่อเหลาไม่เบาทีเดียว! ”
“ใช่แล้ว ทั้งยังน่าหลงใหลอีกด้วย! ”
“ว้าว… ”
ไม่ว่าพวกนางจะบ้าบิ่นเพียงใด ก็ไม่กล้าพูดว่าต้องการแต่งงานกับกูสือซาน
อย่างไรเสีย เมื่อมองเพียงผิวเผิน แว่นแคว้นต่างๆ และแคว้นไหวเจียงดูมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทว่าความสัมพันธ์ลึกๆ เป็นดั่งคลื่นลมที่พัดโหมกระหน่ำ แม่นางแคว้นใดต้องการแต่งกับแคว้นไหวเจียง จะถือว่าเป็นกบฏต่อแคว้นไปโดยปริยาย
กูสือซานสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ไหวชิ่งกงจู่ไพล่สองมือไว้ด้านหลังพลางยกยิ้มเล็กน้อย นางเดินขึ้นไปบนเวทีและตบหัวไหล่ของกูสือซาน จากนั้นจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มจนคิ้วเป็นเส้นโค้ง “ราชครูกู ลำบากท่านแล้ว! ”
กูสือซานไม่พูดอันใด ทำเพียงประสานมือคำนับไหวชิ่งกงจู่ ทว่าหัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความโกรธ จะปิดบังอย่างไรก็ปิดไม่มิด ตอนนี้จึงแสดงออกมาทางสีหน้าจนหมด
ไหวชิ่งกงจู่รู้ว่ากูสือซานไม่พอใจ และตอนนี้ไม่ใช่เวลามากระตุกหนวดเสือ นางจึงอดทนไม่พูดอันใด
“ตงหลิงหวง ถังเสวี่ย เท่านี้คงได้แล้วกระมัง? ”
ตงหลิงหวงโบกพัดในมือแผ่วเบาโดยไม่พูดอันใด ส่วนถังเสวี่ยก็ยกสองมือกอดอกและเชิดหน้า
“หากตอบว่าไม่ จะทำอันใดได้? รอจนจบการแข่งขัน พวกเราก็มาสู้กันสักตั้ง”
ถังเสวี่ยพูดพลางแสร้งทำท่าทางวางอำนาจเหนือกว่า ทั้งยังกำหมัดไปทางไหวชิ่งกงจู่
รายการคั่นกลาง นับเป็นการเพิ่มความสนุกสนานระหว่างการแข่งขัน จงจิงเฉินผู้ดำเนินการแข่งขัน และซูอวี้กับไหวชิ่งกงจู่ผู้เข้าชิงรอบที่สองต่างเดินขึ้นมาบนเวที การแข่งขันรอบใหม่เริ่มขึ้นอีกครั้ง
เป็นเช่นก่อนหน้านี้ ทั้งคู่หารือกันและเลือกแผ่นป้ายผู้ป่วย
ตามหมายเลขไพ่ที่ทั้งสองคนเลือก จงจิงเฉินให้ผู้ติดตามที่รับผิดชอบเชิญผู้ป่วยขึ้นมาบนเวทีประลอง
ผู้ป่วยที่หมดสติถูกนำตัวขึ้นมาบนเวที ข้างกายมีผู้ติดตามอีกสองคน
ดูจากเนื้อผ้าที่ผู้ป่วยสวมใส่ และรูปแบบการแต่งกายของผู้ติดตาม สถานะของผู้ป่วยท่านนี้ต้องไม่ต่ำต้อยแน่นอน
เป็นไปตามขั้นตอนก่อนหน้านี้ ซูอวี้และไหวชิ่งกงจู่ต่างก้าวไปข้างหน้าเพื่อวินิจฉัยโรคของผู้ป่วย
ทันทีที่สัมผัสได้ถึงชีพจรของผู้ป่วย ไหวชิ่งกงจู่พลันขมวดคิ้วเข้าหากัน นางเหลือบมองซูอวี้ด้วยหางตา และยืนอยู่ข้างกายเขาโดยไม่พูดอันใด
แม้บางครั้งนางจะดื้อรั้น บางครั้งไร้เหตุผล และบางครั้งก็เอาแต่ใจ ทว่านางยังมีความน่ารักเหมือนเด็กที่ยังไม่โต
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาสำคัญเช่นตอนนี้ ไหวชิ่งกงจู่กลับตั้งใจ ใบหน้าของนางปรากฏความจริงจังอย่างมาก
ซูอวี้เดินไปด้านหน้าเพื่อวินิจฉัยผู้ป่วย
เช่นเดียวกับไหวชิ่งกงจู่ ขณะที่สัมผัสชีพจรของผู้ป่วย คิ้วของเขาพลันกระตุก
ทว่าขั้นตอนการวินิจฉัยของซูอวี้ซับซ้อนกว่าของไหวชิ่งกงจู่มากนัก หลังจากจับชีพจรเสร็จแล้ว ซูอี้ก็มองไปที่ฝ่าเท้าและฝ่ามือของผู้ป่วย รวมถึงสีผิวของหน้าอก ก่อนจะตั้งคำถามกับผู้ติดตามทั้งสอง
เช่น ก่อนหน้านี้ ผู้ป่วยเคยทานยาอันใดมาก่อน?
ผู้ป่วยปวดศีรษะบ่อยหรือไม่?
ตอนตื่นนอนเป็นลมบ่อยหรือไม่ เป็นต้น…
เห็นได้ชัดว่า ไหวชิ่งกงจู่ไม่ได้คาดคิดถึงคำถามพวกนี้
นางอดทนฟังคำถามทั้งหมดที่ซูอวี้ถามผู้ติดตามทั้งสอง ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย “ผู้นำสกุลซู เจ้าถามมากมายเช่นนี้ มีประโยชน์อันใดหรือ? ร่างกายของผู้ป่วยท่านนี้ค่อยๆ เย็นลงทีละน้อย ไร้หนทางรักษาแล้ว แทนที่เจ้ากับข้าจะมัวเสียเวลา มิสู้รีบให้ครอบครัวของเขานำตัวกลับไปเตรียมงานศพไม่ดีกว่าหรือ”
ซูอวี้ไม่ได้พูดอันใด ผู้ติดตามทั้งสองของผู้ป่วยก็ไม่ได้ตอบอันใด
“แม่นางผู้นี้ เจ้าหยุดพูดจาไร้สาระ จัดงานศพอันใด? คุณชายสกุลเรายังมีชีวิตอยู่ ผู้นำสกุลจงและท่านแม่ทัพใหญ่จงรับปากพวกเราแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะหาวิธีมารักษาอาการป่วยให้คุณชายของพวกเรา ท่านพูดจาไม่รู้จักกาลเทศะเช่นนี้ อย่าถือโทษที่พวกเราหยาบคายกับท่าน”
ไหวชิ่งกงจู่ตกตะลึง ทว่าไม่ได้โกรธแต่อย่างใด นางเบ้ปากพูดว่า “ข้าพูดเรื่องจริง! ร่างกายเย็นเฉียบเช่นนั้น หากเป็นคนปกติคงตายไปนานแล้ว ทว่าเขาเคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน ทำให้สมรรถภาพทางร่างกายดีกว่าคนทั่วไป จึงยังมีลมหายใจอยู่”
สีหน้าของผู้ติดตามทั้งสองเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง “แม่นางผู้นี้ พวกเรารู้ว่าสถานะของท่านไม่ธรรมดา หากท่านไม่สามารถรักษาคุณชายของพวกเราได้ก็จงหุบปากเสียเถิด พวกเราไม่ต้องการดูหมิ่นท่าน”
ไหวชิ่งกงจู่มึนงง นางเพียงพูดความจริงเท่านั้น ไม่เห็นต้องโกรธเช่นนี้!
นอกจากนั้น นางยังมีเจตนาดี!
เดิมที ไม่ช้า คนผู้นี้ก็ต้องตาย ต่อให้มียาวิเศษก็ไม่สามารถดึงเขากลับมาจากประตูนรกได้ นางเพียงเอ่ยเตือนให้พวกเขารีบนำผู้ป่วยกลับไปเตรียมงานศพเท่านั้น
แท้จริงแล้ว ไม่ต้องโทษไหวชิ่งกงจู่ ต่อให้นางจะทุบศีรษะตนเอง นางก็คงไม่เข้าใจว่า เหตุใดสองคนนี้จึงโกรธอย่างมาก
เหตุผลพื้นฐานที่สุดคือ ความแตกต่างทางวัฒนธรรมของทั้งสองแคว้น ส่งผลให้เกิดความแตกต่างในกระบวนการรับรู้หรือความเข้าใจในหลายๆ ด้าน
แคว้นหนานหลีอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มภาคกลาง ผู้คนที่นี่สงบเสงี่ยมยิ่งนัก แม้คนที่ตายไปแล้วก็ยังพูดแทนอย่างเคารพว่า “ผู้ล่วงลับ” พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงเกี่ยวกับสิ่งอัปโชคให้มากที่สุด นอกจากนั้น หากคนผู้นั้นมีฐานะหรือตำแหน่ง พวกเขาก็จะยิ่งพิถีพิถันในการใช้คำพูด
อย่างไรก็ตาม แคว้นไหวเจียงไม่ได้สนใจเรื่องนี้! พวกเขาสามารถพูดเรื่องความเป็นความตายได้ทุกวัน
ไหวชิ่งกงจู่ยิ่งฟังก็ยิ่งโมโห
“หากเจ้าไม่เชื่อข้า เช่นนั้นก็ถามผู้นำสกุลซู! เขาเป็นหมอเทวดาเลื่องชื่อที่สุดในแคว้นจงหนิง! ต่อให้พวกเจ้าไม่เชื่อข้า ก็ต้องเชื่อเขา! ”
แท้จริงแล้ว ไหวชิ่งกงจู่ไม่รู้เกี่ยวกับความสามารถด้านวิชาแพทย์ของซูอวี้ นางเพียงได้ยินคนพูดถึงซูอวี้เช่นนี้มาก่อน จึงนำซูอวี้มาเป็นโล่กำบัง
ผู้ติดตามทั้งสองคนลืมไปแล้วว่ากำลังอยู่ในระหว่างการแข่งขัน แท้จริงแล้ว ซูอวี้และไหวชิ่งกงจู่อยู่คนละฝั่ง ทว่าพวกเขาคิดว่าทั้งสองเป็นพวกเดียวกัน
“คุณชายซู ท่านถามพวกเราสองคนมาครึ่งค่อนวัน หมายความว่าอย่างไร? หรือท่านมีความเห็นเหมือนแม่นางผู้นี้ คิดว่าสถานการณ์ของคุณชายสกุลเรามาถึงขั้นที่ต้องเตรียมงานศพแล้ว? ”
ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีประลองไม่รู้สถานการณ์ของผู้ป่วย เมื่อเห็นผู้ติดตามถามซูอวี้ ทุกสายตาจึงมองไปยังใบหน้าของซูอวี้