ซูอวี้ในวัยเยาว์ยืนต่อหน้าผู้คนโดยไม่มีท่าทีแข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตนจนดูต่ำต้อย
ก่อนอื่น เขาแย้มยิ้มให้ผู้ติดตามทั้งสองอย่างมีมารยาทและพูดว่า “สถานการณ์เช่นนี้ของคุณชายจากสกุลพวกท่าน ไม่ได้เกิดเพียงวันสองวัน ในใจท่านทั้งสองย่อมรู้ดีมิใช่หรือ? เหตุใดจึงทำให้ไหวชิ่งกงจู่ต้องลำบากพระทัย? ”
พวกเขาไม่คาดคิดว่าแม่นางที่ยืนอยู่ตรงหน้าผู้นี้จะเป็นองค์หญิง ทันใดนั้น ร่างกายของพวกเขาก็สั่นเทาด้วยความหวาดกลัว และถอยหลังไปคนละทิศละทาง ทั้งยังมองไหวชิ่งกงจู่ด้วยความหวาดผวา
อย่างไรก็ตาม ไหวชิ่งกงจู่หาได้สนใจเรื่องพวกนั้น นางฟังสิ่งที่ซูอวี้พูด ใบหน้ายิ่งปรากฏความสับสน
“ผู้นำสกุลซู ท่านหมายความว่าอย่างไร? เหตุใดจึงกล่าวว่าสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเป็นเวลานาน? ความตายนั้นรวดเร็วมิใช่หรือ? คนที่ตายแล้วสิบวัน ครึ่งเดือน ยังตายได้อีกหรือ? ”
ไหวชิ่งกงจู่เพียงพูดด้วยความขำขัน หาได้ใส่ใจอันใดมากนัก ทว่าเมื่อพูดจบก็นึกได้ถึงจุดที่ผิดปกติ สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปและมองไปที่ใบหน้าของผู้ป่วย
ยามนี้ จงจิงเฉินได้บอกให้ผู้ติดตามนำพู่กัน หมึก กระดาษ ที่ฝนหมึก และโต๊ะขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะส่งเสียงบอกให้ซูอวี้และไหวชิ่งกงจู่เขียนแผนการรักษา
ผู้ติดตามทั้งสองคนของผู้ป่วยยืนอยู่ด้านข้างอย่างมีสติ
ซูอวี้ครุ่นคิดเล็กน้อยและก้าวไปข้างหน้าเพื่อเขียนแผนการรักษา ไหวชิ่งกงจู่ตื่นตระหนกอยู่บ้าง ทว่าไม่นานก็สงบนิ่งลงได้ หลังจากขบคิดอย่างระมัดระวัง นางก็ก้าวไปข้างหน้าและเริ่มเขียนแผนการรักษา
ผ่านไปสักพัก ซูอวี้ก็วางพู่กัน หลังจากนั้น ไหวชิ่งกงจู่จึงวางพู่กัน
จงจิงเฉินสั่งให้ผู้ติดตามสองคนนำแผนการรักษาไปมอบให้ผู้ตัดสิน ผู้ตัดสินต่างพิจารณาอย่างละเอียด
คราแรกที่ดูแผนการรักษาของซูอวี้ ท่าทีของพวกเขาดูจริงจังอย่างมาก ทั้งยังพยักหน้าอย่างเชื่องช้าด้วยความพอใจ
อย่างไรก็ตาม… เมื่อเห็นแผนการรักษาของไหวชิ่งกงจู่ พวกเขากลับมีท่าทีตกตะลึง แต่ละคนต่างเงยหน้ามองไปที่ไหวชิ่งกงจู่
นี่มันหมายความว่าอย่างไร?
หรือว่าการแข่งขันครั้งนี้ ไหวชิ่งกงจู่เป็นผู้ชนะ?
ถังเสวี่ยเห็นใบหน้าของไหวชิ่งกงจู่ปรากฏรอยยิ้มแห่งความปิติ จึงถลึงตาใส่นาง และกระชากเสียงเย็นชา
“นี่มันหมายความว่าอย่างไร? หรือว่าไหวชิ่งกงจู่จะชนะ? ”
“ดูแล้วคงจะใช่ เจ้าเห็นผู้อาวุโสสกุลจงมองไหวชิ่งกงจู่หรือไม่ เขามองอยู่หลายครั้งทีเดียว หากไม่ใช่เพราะแผนการรักษาของนางยอดเยี่ยม พวกเขาจะแสดงท่าทางเช่นนั้นได้อย่างไร! ”
“พูดถูก! ”
“ดูไม่ออกเลย ไหวชิ่งกงจู่เชี่ยวชาญวิชาพิษ ไม่คิดว่าวิชาการแพทย์ของนางก็ไม่เลวอีกด้วย”
“ทว่าคุณชายซูเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการแพทย์ ทั้งเขายังเป็นผู้นำสกุลตั้งแต่อายุยังน้อย แน่นอนว่าวิชาแพทย์ของเขาต้องไม่เลวเช่นกันกระมัง? ”
ผู้คนต่างถกเถียงกัน
ยิ่งผู้คนถกเถียงกันมากเท่าไร ใบหน้าของไหวชิ่งกงจู่ก็ยิ่งทวีความปิติมากขึ้นเท่านั้น เพียงแต่… ท่ามกลางสถานการณ์ที่เป็นสุขนั้น นางกลับเผยความกังวลออกมาทีละน้อย…
ต่างจากการแข่งขันในครั้งแรกระหว่างเป่ยถางเย่และจงเทียนโย่ว การแข่งขันครั้งนี้ ผู้ตัดสินประกาศผลอย่างรวดเร็ว
ทุกคนต่างมองการแสดงออกของผู้ตัดสินที่ทำราวกับว่าไหวชิ่งกงจู่เป็นผู้ชนะ ทว่าพวกเขาไม่คาดคิดว่า ผลสุดท้าย ซูอวี้จะเป็นผู้ชนะการแข่งขัน!
นี่มันเกิดอันใดขึ้น?
สีหน้าของไหวชิ่งกงจู่พลันแข็งทื่อ ความรู้สึกเหมือนถูกใครสาดน้ำเย็นใส่ในตอนที่อารมณ์พลุ่งพล่านถึงขีดสุด
ผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงกล่าวด้วยใบหน้าสงสัย “นี่… นี่มันเกิดอันใดขึ้น? ไม่ใช่ว่า… ไม่ใช่ว่าข้าชนะหรือ? ”
เคราของหัวหน้าสำนักแพทย์กระตุกเล็กน้อย “ไหวชิ่งกงจู่ ผู้ใดบอกว่าท่านชนะหรือ? ”
ไหวชิ่งกงจู่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ตัดสินไม่ได้บอกว่านางคือผู้ชนะ เป็นผู้คนด้านล่างที่คาดเดากันไปต่างๆ นานาต่างหาก น่าขันที่นางคิดว่าตนเองชนะตามพวกเขา
ชั่วขณะหนึ่ง ผู้คนต่างพากันมองมายังไหวชิ่งกงจู่ นางถึงกับโอนเอนเล็กน้อย
ผ่านไปไม่นาน นางจึงปฏิเสธที่จะยอมรับ “เหตุใด? เหตุใดซูอวี้ถึงชนะ? ”
วันนี้ผู้ตัดสินถูกตั้งคำถามมาตลอด หัวหน้าสำนักโอสถทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากระชากเสียงเย็นชาและพูดว่า “ไหวชิ่งกงจู่ ผู้อาวุโสขอถามท่าน จากการวินิจฉัยของท่าน ผู้ป่วยท่านนี้ป่วยเป็นโรคอันใด? ”
ป่วยด้วยโรคอันใด?
ใบหน้าของไหวชิ่งกงจู่พลันเปลี่ยนเป็นสีแดง นางตื่นตระหนก สองมือที่ห้อยอยู่ข้างลำตัวกำชายเสื้อแน่นอย่างควบคุมไม่ได้ จนชายเสื้อแทบฉีกขาด
หัวหน้าสำนักโอสถเห็นไหวชิ่งกงจู่มีท่าทีเช่นนี้ จึงแย้มยิ้ม
“หึ ไหวชิ่งกงจู่ ผู้ป่วยเป็นโรคอันใดยังดูไม่ออก ท่านจะรักษาเขาได้อย่างไร? ”
ไหวชิ่งกงจู่ยังคงไม่ยอมแพ้ ทันใดนั้น นางก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “ผู้ใดบอกว่าข้ามองไม่ออก? ”
“หากท่านมองออก เช่นนั้นก็บอกมาว่าผู้ป่วยเป็นโรคอันใด มีวิธีรักษาอย่างไร? ”
“ใช่ พูดออกมาสิ ไหวชิ่งกงจู่”
ผู้ที่มีไหวพริบมองปราดเดียวก็รู้ว่าไหวชิ่งกงจู่ตื่นเต้นและตกประหม่า ถังเสวี่ยก็มองออกเช่นกัน
“เขาเป็น… เอ่อ… เขาเป็น… ” ไหวชิ่งกงจู่หลบสายตาเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “เขาได้รับพิษ เป็นพิษฤทธิ์เย็นชนิดหนึ่ง ดังนั้นแขนขาของเขาจึงเย็นเฉียบ”
“ได้รับพิษ? ในเมื่อได้รับพิษเย็น เหตุใดบางครั้งจึงมีอาการปวดศีรษะ? ”
“เพราะว่า… เพราะว่า… ” ไหวชิ่งกงจู่ไม่อาจทนได้อีกต่อไป นางใกล้จะร้องไห้เต็มทน
หัวหน้าสำนักโอสถยกยิ้มเย็นชา “ไหวชิ่งกงจู่ ท่านลองฟังคุณชายซูพูดสักหน่อยเถิด! ”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็มองไปที่ซูอวี้ สายตาของผู้คนต่างพากันมองไปยังซูอวี้ เฝ้ารอว่าซูอวี้จะตอบเช่นไร
ซูอวี้ทำความเคารพผู้ตัดสิน จากนั้นจึงเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล โดยปราศจากอารมณ์อวดดีหรือเย่อหยิ่ง พยายามไม่ทำให้ไหวชิ่งกงจู่รู้สึกกดดัน
“แท้จริงแล้ว การวินิจฉัยของไหวชิ่งกงจู่ก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว ในคราแรก ข้าก็คิดว่าผู้ป่วยท่านนี้ได้รับพิษ อีกทั้งจากคำบอกเล่าของผู้ติดตามทั้งสอง ผู้ป่วยเคยรับประทานยาสมุนไพรมาก่อน หมอที่วินิจฉัยเขาก่อนหน้าก็วินิจฉัยตามอาการถูกพิษ จนกระทั่งข้าได้ตรวจสอบฝ่ามือและฝ่าเท้าของผู้ป่วย จึงพบว่า แท้จริงแล้ว ผู้ป่วยไม่ได้ถูกพิษ”
“ไม่ได้ถูกพิษ? เช่นนั้นคืออันใด? ”
ผู้ติดตามทั้งสองของผู้ป่วยก็เคยได้ยินเรื่องที่นายของตนได้รับพิษเช่นกัน วันนี้ เมื่อได้ยินคำพูดที่ต่างออกไป จึงทำให้พวกเขารู้สึกเกินความคาดหมาย
ซูอวี้ยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน สุภาพ และมีความอดทนอย่างมาก
“หากได้รับพิษ ฝ่ามือและฝ่าเท้าต้องมีสีดำคล้ำ เล็บมือและเล็บเท้าต้องเปลี่ยนสี ทว่าอาการเหล่านี้ไม่ได้แสดงออกบนร่างกายผู้ป่วยแม้แต่น้อย ดังนั้น ผู้ป่วยหาได้ถูกพิษ ทว่าป่วยเป็นโรคลมบ้าหมู”
โรคลมบ้าหมู?
โรคนี้เป็นโรคที่หายาก หลายคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนไม่เคยได้ยินมาก่อน
หลังจากผู้ตัดสินได้ฟังซูอวี้วิเคราะห์ พวกเขาก็พลันนึกถึงโรคนี้ขึ้นมา
หัวหน้าสำนักแพทย์และหัวหน้าสำนักโอสถฟังซูอวี้พูดจบใบหน้าของพวกเขาค่อยๆ ปรากฏความชื่นชม ทั้งยังยกยิ้มมุมปากและมองไปที่ซูอวี้
ซูอี้แนะนำอาการทั่วไปของโรคลมบ้าหมู รวมถึงรายละเอียดของการรักษาให้ทุกคนฟังอีกครั้ง
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าคนดื้อรั้นหัวแข็งอย่างไหวชิ่งกงจู่ เมื่อรู้ตัวว่าตนเองแพ้ให้กับซูอวี้ นางไม่เพียงตั้งใจฟังซูอวี้อธิบายจนจบ ทว่ายังยกนิ้วโป้งให้ซูอวี้อีกด้วย
“ผู้นำอวี้ ข้าเดินทางมาจากแคว้นไหวเจียง พบเจอผู้คนไม่น้อย ทว่าในบรรดาผู้คนเหล่านั้น ข้าไม่เคยนับถือผู้ใด ยกเว้นตงหลิงหวงคนหนึ่ง และท่านอีกคนหนึ่ง”
ไหวชิ่งกงจู่พูดจริงๆ ว่านางนับถือซูอวี้…