“วันนี้พ่ายแพ้ให้กับผู้นำอวี้ ข้า เยวี่ยไหวชิ่งยอมแพ้ทั้งกายและใจ” พูดจบ ไหวชิ่งกงจู่ก็เดินลงจากเวทีอย่างสง่างาม
ผู้ที่อยู่บนเวทีมักจะทอประกาย และเป็นดอกไม้ที่โดดเด่นอยู่เสมอ ส่วนผู้ที่พ่ายแพ้ก็เดินลงจากเวทีไปด้วยท่วงท่าสง่างาม ไม่ด้อยไปกว่าผู้ชนะ เช่น จงเทียนโย่ว และไหวชิ่งกงจู่
ถังเสวี่ยมองไหวชิ่งกงจู่ แววตาที่เคยเบื่อหน่ายพลันหายไปและแทนที่ด้วยความชื่นชมเล็กน้อย
“หึ เห็นเจ้าพ่ายแพ้อย่างสง่าผ่าเผย หลังจบการแข่งขัน ตอนที่พวกเราสู้กัน ข้าจะออมมือให้เจ้าสองกระบวนท่า”
การแข่งขันระหว่างซูอวี้กับไหวชิ่งกงจู่ จบลงด้วยการที่ซูอวี้เป็นฝ่ายชนะ ต่อจากนั้น การแข่งขันระะหว่างซูจิ่นซีและถังเสวี่ยจะเป็นอย่างไร?
ในไม่ช้า ผู้ดำเนินการแข่งขันก็ประกาศชื่อของซูจิ่นซีและถังเสวี่ย
ทั้งสองเดินขึ้นไปบนเวทีแข่งขัน
ตามกฎการแข่งขันเดิม คือจับฉลากเลือกผู้ป่วย
ทว่าก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำแผ่นป้ายขึ้นมา ถังเสวี่ยกลับเดินมาข้างหน้าและพูดว่า “คุณชายจง การแข่งครั้งนี้ข้ายอมแพ้ ข้าถอนตัว ไม่แข่งแล้ว! ”
“อ๋า… ”
ทุกคนต่างพากันตกตะลึง
ไม่แข่งแล้ว? สละสิทธิ์หรือ?
บนเวทีประลองพลันเงียบเสียงลงทันที หลังจากนั้น จงจิงเฉินจึงพูดขึ้นว่า “คุณหนูถัง ท่านแน่ใจแล้วหรือ? หากท่านสละสิทธิ์ อันดับในวงการแพทย์ของท่านจะเป็นเพียงหมอเทพเท่านั้น หากต้องการเลื่อนขั้นต้องรอไปอีกสิบปี”
“ข้าแน่ใจ” ถังเสวี่ยพูดยืนยัน “ต่อให้แข่ง ข้าก็ไม่ชนะพี่จิ่นซี อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงการจัดอันดับ ต่อให้ข้าบังเอิญชนะนาง ทว่ามันจะมีความหมายอันใด! แม้จะมีอันดับการแพทย์สูงส่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าวิชาแพทย์จะสูงส่งกว่าผู้อื่น หรือมีจรรยาบรรณแพทย์ที่ทำให้ผู้คนเลื่อมใสได้”
พูดจบ สายตาดูถูกของถังเสวี่ยก็มองไปที่เป่ยถางเย่
ผู้อื่นอาจคิดว่าเรื่องที่จบแล้วก็ให้มันแล้วไป เพราะเป็นเพียงการแข่งขัน ทั้งยังทำให้บรรยากาศครึกครื้น ทว่าในใจของนางนั้นต่างออกไป
นางไม่มีทางลืมว่าเป่ยถางเย่ชนะจงเทียนโย่วอย่างไร
เมื่อถังเสวี่ยยืนยันว่าจะสละสิทธิ์การแข่งขัน ผู้ตัดสินจึงประกาศรายชื่อผู้ชนะรอบที่ห้า ได้แก่ ซูจิ่นซี เป่ยถางเย่ ซูอวี้และตงหลิงหวงที่เลื่อนอันดับขึ้นมา
ขณะที่ถังเสวี่ยเดินลงจากเวที นางยกกำปั้นให้ซูจิ่นซีและพูดว่า “พี่จิ่นซี สู้ๆ ! ”
การแข่งขันรอบที่หกมีผู้เข้าแข่งขันเพียงสี่คน และเป็นการแข่งขันรอบสุดท้าย
เวลานี้ พวกเขาทั้งสี่คนถูกจัดอยู่ในลำดับขั้นหมอเทวดา การแข่งขันรอบที่หก ในบรรดาหมอเทวดาทั้งสี่ จะมีผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นหมอวิเศษเพียงหนึ่งท่าน
กฎการแข่งขันมีอยู่ว่า ในการแข่งขันมีผู้ป่วยเพียงหนึ่งคน ทว่ายาสมุนไพรที่ใช้รักษาผู้ป่วย ถูกวางเอาไว้ในเขตเวทมนต์ โดยมีผู้อาวุโสทั้งสองท่านของสำนักแพทย์เทียนอีเป็นผู้สร้างเขตเวทมนตร์
ผู้เข้าแข่งขันทั้งสี่ไม่เพียงต้องวินิจฉัยโรคของผู้ป่วยอย่างแม่นยำ ทั้งยังต้องจัดยาอย่างถูกต้อง และเข้าไปในเขตเวทมนตร์ เพื่อนำสมุนไพรที่จำเป็นสำหรับการรักษากลับมารักษาผู้ป่วยให้หาย
หลังจากผู้เข้าแข่งขันทั้งสี่คนทำการวินิจฉัย พวกเขาพบว่าการแข่งขันในครั้งที่หกนี้ ผู้ป่วยเป็นโรคเหงื่อไหลไม่หยุด
โรคเหงื่อไหลไม่หยุด แท้จริงแล้วคล้ายกับโรคลมบ้าหมูเพราะเป็นโรคที่หายาก ทั้งยังต้องใช้ยาสมุนไพรล้ำค่า ซึ่งภายในเขตเวทมนตร์มีอยู่เพียงต้นเดียว ดังนั้น ผลการแข่งขันในครั้งที่หก ผู้เข้าแข่งขันสองคนไม่อาจทำภารกิจสำเร็จได้ในเวลาเดียวกัน
บนเวทีประลอง ผู้อาวุโสสองท่านยังสร้างสิ่งกีดขวางจำนวนมากไว้ขัดขวางผู้เข้าแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันไม่เพียงต้องนำสมุนไพรมาให้ได้เท่านั้น ทว่ายังต้องหลบหลีกสิ่งกีดขวางให้พ้นอย่างราบรื่นอีกด้วย
หลังจากทำการวินิจฉัยเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงทำความเข้าใจเกี่ยวกับส่วนผสมของยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคดังกล่าว ขั้นตอนต่อไปคือการเข้าไปในเขตเวทมนตร์
ผู้อาวุโสทั้งสองท่านจะส่งพวกเขาเข้าไปในเขตเวทมนตร์ พร้อมกัน
ผู้คนที่รับชมการแข่งขันอยู่ด้านนอกจะได้เห็นสถานการณ์ภายในของผู้เข้าแข่งขันทั้งสี่ ผ่านทางเขตเวทมนตร์เสมือนจริงของผู้อาวุโสทั้งสองท่านที่อยู่บนเวทีประลอง
ทว่าขณะที่ทั้งสี่คนกำลังจะเข้าสู่เขตเวทมนตร์ ซูจิ่นซีพลันได้ยินเสียงรายงานของ JX3 จากด้านนอกเวทีประลอง
เขาพูดว่า “นายท่าน แย่แล้ว สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่าแผนการของพวกเราจะถูกเปิดเผยแล้ว กองทัพทหารสี่แสนนายของสกุลจงได้มาถึงนอกเมืองเย่หลินอย่างลับๆ ทหารม้าที่ฉีอ๋องได้เตรียมการไว้นอกเมืองถูกกองทัพสกุลจงเข้าควบคุม นอกจากนั้น แม้ฉีอ๋องจะเปลี่ยนองครักษ์ที่ประตูทั้งเก้าเรียบร้อยแล้ว ทว่าทหารเงาของท่านแม่ทัพใหญ่จงกลับควบคุมรายชื่อเจ้าหน้าที่ ทั้งตำหนักฉินเจิ้งได้ลอบวางยอดฝีมือไว้ พวกเราควรรับมืออย่างไร นายท่านโปรดชี้แนะ”
พูดได้ว่า เมื่อได้ยินรายงานเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ ซูจิ่นซีเองก็ตกใจเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงนี้ หมายถึงการกระทำทั้งหมดของพวกเขาตกอยู่ในกำมือของศัตรูเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ต้องทำในลำดับถัดไปคงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ พวกเขาเหล่านี้ รวมถึงชีวิตของมู่หรงฉีและมู่หรงอวิ๋นไห่จะตกอยู่ในอันตราย
ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ ซูจิ่นซีไม่สามารถให้คำแนะนำอันใดได้!
แม้วรยุทธ์ของ JX3 จะสูงส่ง ทั้งยังใช้ทักษะขั้นสูงในการส่งสัญญาณเสียง ทว่าในสนามประลองมียอดฝีมือมากมาย ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้สิ่งที่พวกเขาพูดกันถูกเปิดเผย
ก่อนที่ซูจิ่นซีจะได้พูดอันใด ผู้อาวุโสทั้งสองก็ส่งพวกเขาเข้าไปในเขตเวทมนตร์แล้ว
ชั่วพริบตาเดียว ซูจิ่นซีก็เข้ามาในเขตเวทมนตร์
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ทำให้ซูจิ่นซีตกตะลึงและครุ่นคิดอยู่นาน
ซูอวี้มีความคิดเฉียบแหลม เขามองเห็นความผิดปกติของซูจิ่นซี จึงเดินมาด้านหน้าและถามว่า “พี่จิ่นซี ท่านเป็นอันใดหรือ? ”
ซูจิ่นซีตั้งสติ ทั้งยังมองซูอวี้ด้วยท่าทางลึกซึ้ง
“ไม่มีอันใด! ตามข้ามาทางนี้”
พูดจบ ซูจิ่นซีก็คว้ามือของซูอวี้ และพาเดินไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของเขตเวทมนตร์
แววตาของซูอวี้ทอประกายแปลกประหลาด เขามองมือของทั้งสองที่กำลังจับกันอยู่
ทันใดนั้น ความมืดทึบ และภาพแสงจันทร์กระทบน้ำยามค่ำคืนก็ปรากฏเข้ามาในความคิด
คืนนั้นก็เป็นเหมือนปกติ ซูจิ่นซีจูงมือเขาก้าวเข้าไปในประตูใหญ่ของสกุลซู นางพาเขาก้าวขึ้นไปยังบันไดหอโอสถทีละขั้น จนพบสมุนไพรที่ช่วยชีวิตของมารดาเขา หลังจากนั้น นางก็จูงมือเขาไปหามารดาและบุตรของฮั่วซื่อ
นอกจากนั้น นางยังช่วยให้เขาได้รับตำแหน่งผู้นำสกุลซู
คืนนั้น สำหรับเขาเป็นดั่งประภาคารส่องแสงที่ไม่อาจลืมเลือนไปตลอดชีวิต เป็นชาดที่สว่างไสวในใจ นับตั้งแต่นั้นมา ในทุกช่วงเวลาที่ยากลำบาก เหตุการณ์นั้นเป็นแรงกระตุ้นให้เขาก้าวเดินไปข้างหน้า เป็นแรงผลักดันให้เขาเติบโต
เขาไม่มีวันลืมเหตุการณ์ในคืนนั้นไปชั่วชีวิต
ขณะที่ซูอวี้กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด ซูจิ่นซีก็ลากเขาเดินไปไกลแล้ว เมื่อได้สติกลับมา เขาก็มองไปที่แผ่นหลังของซูจิ่นซี พลางยกยิ้มอ่อนโยนที่มุมปาก และเดินตามซูจิ่นซีไป
แม้เขตเวทมนตร์จะถูกสร้างขึ้นโดยผู้อาวุโสของสำนักแพทย์เทียนอี ทว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูจิ่นซีพบเขตเวทมนตร์
เขตเวทมนตร์ทั้งหมด แท้จริงแล้วมีจุดเด่นที่เหมือนกัน ทั้งยังสร้างขึ้นตามรูปแบบหยินหยางยันต์แปดทิศ สิ่งที่บังเอิญคือ เขตเวทมนตร์ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ เป็นรูปแบบของหยินหยางยันต์แปดทิศ
ซูจิ่นซีหาจุดที่สามารถหลบหนีจากสายตาของผู้คนด้านนอก ก่อนจะหยุดเคลื่อนไหว
“อวี้เอ๋อร์ เจ้าฟังพี่ เวลามีจำกัด ด้านนอกมียอดฝีมือมากมาย ไม่ช้าพวกเขาจะเห็นพวกเรา ดังนั้นข้าจะพูดอย่างรวบรัด ข้าจะช่วยเจ้าหาสมุนไพรทั้งหมดโดยเร็ว และขวางตงหลิงหวงกับเป่ยถางเย่ ส่วนเจ้าหาโอกาสนำสมุนไพรไปช่วยคน ได้ยินหรือไม่”
สีหน้าของซูอวี้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “พี่จิ่นซี เกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีไม่มีเวลาอธิบาย
“วันนี้ ผู้ที่ชนะการแข่งขันต้องเป็นเจ้า ต้องเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว เจ้าต้องได้อันดับหมอวิเศษ พี่ไม่ได้ปรึกษาเจ้าก่อน แต่นี่คือคำสั่ง”
ทั้งสามสิ่งนี้แสดงถึงหัวใจอันแน่วแน่ของซูจิ่นซี และนางต้องทำให้ได้
เมื่อพูดถึงคำสั่ง สำหรับซูจิ่นซีแล้ว ฐานะที่นางสามารถออกคำสั่งได้มีเพียงพระชายาโยวอ๋อง และผู้มีอำนาจของสกุลซู
เห็นได้ชัดว่าซูจิ่นซีไม่ได้แทนตนเองว่าพระชายา ทว่าแทนตนเองว่าพี่ ดังนั้นจึงเป็นฐานะหลัง
แม้ซูอวี้จะเป็นผู้นำของสกุลซู ทว่าอำนาจคุมหางเสือและควบคุมเรื่องราวสำคัญของสกุลซู ยังคงอยู่ในกำมือของนาง