เมื่อนึกถึงจุดนี้ เรนนี่ก็รู้สึกยากจะระงับความโกรธขึ้งในใจ เธอง้างมือตบหน้าตัวเอง
เธออยากร้องไห้ ทว่าไร้ที่ซบไหล่ ใครใช้ให้เธอทำตัวเองจนมุมล่ะ ไม่เหลือหนทางแก้ไขเลยสักนิด
ทว่าหัสดินก็โหดเกินไปแล้ว ขนาดหย่ายังไม่ให้เงินแม้แต่แดงเดียว ยิ่งไปกว่านั้นยังยึดคฤหาสน์แถวชานเมืองกลับไปด้วยอีกต่างหาก
นอกจากคฤหาสน์หลังนั้น เธอก็มีสิ่งของมีค่าไม่กี่ชิ้นเอง สิ่งเดียวที่มีมูลค่าสูงก็คือรถที่เขาเคยซื้อให้เธอ ซึ่งมีมูลค่าหลายล้าน นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นเลย
อันที่จริงเธอรู้ว่าต้องหย่าในเวลาไม่ช้าก็เร็วแน่ เธอไม่ยอมหย่าตอนนี้ พอเขาฟ้องศาลขึ้นมา เธอก็จำต้องยอม
ตอนแรกคิดว่าจะฉวยโอกาสหาวิธีเอาเงินมาครอบครองสักก้อนหนึ่ง ทว่าตอนนี้เป็นไปไม่ได้แล้ว
ยืดเยื้อต่อไปก็ไร้ประโยชน์?เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ได้เงินอยู่ดี
ทว่าเธอก็ยังไม่อยากหย่าอยู่ดี เธอตกอับถึงขั้นนี้ ในเมื่อเธอไม่มีความสุข เช่นนั้นก็ตกนรกหมกไหม้ไปด้วยกันเลย!
ทว่าหัสดินไม่ให้โอกาสนั้นแก่เธอ เขาส่งทนายไปฟ้องศาลของคืนวันนี้เลย
จากนั้นเรนนี่ที่พึ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกจากห้องน้ำก็ได้รับหมายศาลทันที
เธออดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ ด้วยความกริ้วโกรธจึงฉีกมันทิ้ง ก่อนจะโยนลงถังขยะ
เธอโทรหาหัสดิน เมื่ออีกฝ่ายรับสาย เธอก็รีบเอ่ยปากพูดคำเสียดสีทันที“คุณรอไม่ไหวขนาดนี้เลยหรือ? ไม่ให้เวลาฉันหายใจเลย ถึงคืนนี้ฉันจะยอมหย่า แต่ตอนนี้จะทำอะไรได้? รีบร้อนให้ฉันรับปากคุณแล้ว คุณก็จะได้ไปคืนดีกับยู่ยี่อย่างนั้นหรือ แต่ฉันขอบอกเลยว่า ฝันกลางวันไปเถอะ”
หัสดินที่อยู่ในสายคล้ายกับไม่ได้ยินสิ่งที่เธอสื่อ ไม่อินังขังขอบเลยสักนิด กล่าวเพียงว่า “พรุ่งนี้ตอนบ่ายสามเจอกันที่สำนักทะเบียน”
จากนั้นเขาก็วางสาย…….
เหลือเพียงเสียงสายขาด ตู๊ด ๆ ๆ ดังในห้องคนไข้ เรนนี่คล้ายกับวิปลาสเขวี้ยงมือถือใส่ผนังห้อง จากนั้นก็ส่งเสียงกรีดร้องกังวาน
……
ฉันทัชจะไปจดทะเบียนสมรสก่อน ยู่ยี่ครุ่นคิดดูแล้วก็พยักหน้าตอบตกลง
อันที่จริงกำแพงขวางกั้นในหัวใจเธอค่อย ๆ ถูกทำลายลงทีละนิด
สำหรับถ้อยคำที่เธอเอื้อนเอ่ยว่า ไม่จัดงานวิวาห์ แค่จดทะเบียนสมรสก่อน เขายังอยู่ในช่วงดูใจ ที่จริงแล้วล้วนเป็นคำพูดเล่น ๆ เท่านั้น
ชีวิตแต่งงานของเธอเคยพังแล้วหนึ่งครั้ง สำหรับครั้งที่สอง เธอก็ต้องทำอะไรอย่างสุขุม แต่จะสะเพร่าและบุ่มบ่ามไม่ได้?
ขอเพียงจดทะเบียนสมรสแล้ว ก็จะหมายความว่าเธอเป็นภรรยาของเขาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นไม่ว่าจะจัดงานวิวาห์หรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ไม่ได้อีก
ไม่ได้มีเพียงการจัดงานเฉลิมฉลองงานแต่งงานเท่านั้น จึงจะกลายเป็นสามีภรรยากัน แต่เริ่มจากวินาทีที่จดทะเบียนสมรสแล้วต่างหาก
ถ้าต้องการดูใจเขาจริง เธอก็ไม่มีทางตอบรับคำขอแต่งงานและไม่ยอมจดทะเบียนสมรสเด็ดขาด เธอไม่ใช่คนโง่ มีใครดูใจกันหลังจดทะเบียนสมรสกันแล้ว?
ตระกูลภูษาธรเป็นตระกูลใหญ่ ทว่าตระกูลยศณะราคินใหญ่กว่า เมื่อเป็นสะใภ้บ้านไฮโซ จึงจำเป็นต้องใช้เวลาปรับสภาพจิตใจก่อน ต้องทำใจรับมือทุกสิ่งอย่าง เธอไม่อยากพึ่งอาศัยแต่เขา
ตอนกลางคืนยู่ยี่นอนฝันหวาน ทว่าฉันทัชกลับนอนไม่หลับ ลืมตาโต ๆ ไม่เคยปิดสักครั้ง
เขาพลิกตัวไปมา ด้วยกลัวว่าจะปลุกเธอตื่น จึงลุกขึ้นด้วยชุดนอนแล้วไปที่ห้องหนังสือด้านข้าง
เขานอนไม่หลับ ยากจะใช้ถ้อยคำพรรณนาถึงความดีใจอันใหญ่หลวงของเขา มันหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจไม่หยุดขาดสาย คล้ายกับคลื่นทะเลมหึมาที่ซัดเข้ามากระแทกหัวใจเขา ฉันทัชรู้สึกความสุขทางใจช่างเป็นสิ่งที่งดงามยิ่ง ยิ่งเหมือนลูกโป่งที่มีเป่าลมเข้าไป จึงใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งเบาบางเรื่อย ๆ คล้ายกับล่องลอยอยู่กลางอากาศ
หนึ่งคืนเต็ม ๆ ที่คุณฉันทัชเหมือนกับคนสมองทึบ ลุกขึ้นแล้วนั่งลง นั่งลงแล้วลุกขึ้นอีก กระทั่งริมฝีปากบางที่ยกโค้งขึ้นยิ้มยังแลดูคนปัญญาอ่อนเลย
เช้าวันรุ่งขึ้น เหมือนบริษัทมีประชุมเร่งด่วน ผู้ช่วยโก๋ยืนรอหน้าประตูนานแล้ว ทั้งยังดูเวลาเป็นครั้งคราว
และเมื่อเทียบกับฉันทัช เขากลับไม่รีบร้อน ยังคงรอยู่ยี่ไปที่สำนักทะเบียน
ยู่ยี่ตื่นขึ้นมา ดวงตายังคงพร่ามัวและงัวเงีย มองฉันทัชหน้าเตียงด้วยความประหลาดใจ เธอเอ่ยปากพูดว่า “ผู้ช่วยโก๋ให้คุณไปประชุมไม่ใช่เหรอคะ?”
“เรื่องของพวกเราสำคัญกว่า เรื่องบริษัทไว้ทีหลังก็ได้”
“เรื่องพวกเรา?” เธอยิ่งรู้สึกสับสน“เรื่องพวกเราอะไรคะ?”
ฉันทัชจ้องเธอแบบไม่ละสายตา แล้วลูกกระเดือกขยับเอ่ยปากพูดเสียงทุ้มต่ำ“ไปจดทะเบียนสมรสกัน”
ยู่ยี่เอียงหน้าพลันตั้งใจใช้ความคิด“ฉันรับปากคุณแล้วเหรอ?”
“คุณรับปากผมแล้ว เมื่อวานพึ่งจะ……” สีหน้าเขาเผยความร้อนรนอย่างหาดูได้ยาก
ยู่ยี่หัวเราะคิกคักพร้อมกับพยักหน้าหงึก“ทำไมทำหน้าจริงจังขนาดนั้นคะ?ฉันไม่ลืมหรอก แหย่คุณเล่นเฉย ๆ ค่ะ”
เขาจ้องเธอด้วยดวงตาที่ดำขลับ ท้ายที่สุดก็ยกมุมปากขึ้นยิ้มจนได้ จึงตบก้นเธอเหมือนเป็นการลงโทษ
“เข้าบริษัทก่อนเลยค่ะ พวกเราค่อยไปสำนักทะเบียนตอนบ่ายก็ยังทันอยู่ อีกอย่างตอนนี้ฉันยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยค่ะ”
ฉันทัชไม่ยอม ยืนกรานจะไปที่สำนักทะเบียนก่อน
“คุณไปที่บริษัทก่อนเลยค่ะ ไม่งั้นวันนี้ฉันก็ไม่ไป” ยู่ยี่เริ่มขู่ ให้คนทั้งบริษัทรอเขาคนเดียวคงไม่ดีแน่?
ฉันทัชจนปัญญา ระหว่างคิ้วเผยอารมณ์หมดหนทางนิด ๆ “ได้ แต่คุณรับปากผมว่าจะไปบริษัทกับผมด้วย”
ในที่สุด ยู่ยี่ก็เริ่มอดส่ายหัวไม่ได้“ไม่จำเป็นต้องขนาดนี้หรอกมั้ง”
“ผมไม่วางใจ ผมกลัวคุณจะหนี คุณต้องอยู่ข้างกายผมตลอดเวลา ผมจึงจะวางใจ……” เขากล่าว
ยู่ยี่ไม่มีทางเลือก ได้แต่ยินยอมไปบริษัทกับเขา ผู้ทำหน้าที่ขับรถอย่างผู้ช่วยโก๋จึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
ยู่ยี่บอกว่าจะรอในห้องทำงาน เธอไม่ควรเข้าไปยุ่งเรื่องภายในบริษัท
ฉันทัชโอบกอดเธอพร้อมกับพูดว่า“ก่อตั้งบริษัทเพื่อเบบี้ของพวกเรา คุณเป็นแม่ของเบบี้ ถ้าคุณไม่เหมาะเข้าร่วม แล้วใครจะเหมาะ?”
“ไม่ใช่เหตุผลที่ดีเลย” ยู่ยี่ทำตาขวางใส่เขา “เถียงคุณไม่ขึ้นจริง ๆ”
“อืม เพราะผมพูดมีเหตุผลทั้งหมด……”
สุดท้ายภาพการประชุมจึงกลายเป็นเช่นนี้ ฉันทัชกับยู่ยี่นั่งเคียงบ่าเคียงไหล่ ด้านล่างคือเหล่าผู้จัดการแผนกต่าง ๆ รายงานผลการทำงาน
ไม่รู้ว่าฉันทัชตั้งใจฟังหรือเปล่า เห็นเพียงก้มหน้ารินน้ำอุ่นให้เธออยู่บ่อยครั้ง และถามเธอว่าอยากกินอะไรไหมตลอด
ลูกน้องในบริษัทไม่กล้าพูด ทว่าสายตากลับอดจ้องมาทางนี้ไม่ได้
ยู่ยี่ผลักเขาออก ให้เขาตั้งใจฟังหน่อย ส่วนเธอไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น
ฉันทัชไม่แยแส เพราะเขามองสีหน้าคนอื่นไม่เป็น อีกอย่างพนักงานทุกคนในนี้ต้องดูสีหน้าเขา เขามีความจำเป็นต้องดูสีหน้าคนอื่นเมื่อไหร่?
อีกฝั่งหนึ่ง
เรนนี่รู้ว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ จำเป็นต้องไปสำนักทะเบียน การฟ้องศาลไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เธอต้องแพ้ร้อยเปอร์เซ็นต์แน่นอน
เธอสวมเสื้ออย่างไม่ยินดี หลังเก็บของแล้วก็ไปที่สำนักทะเบียน
นัดหมายกันตอนบ่ายสาม เรนนี่จงใจยืดเวลาให้สายสิบห้านาที ทว่าเมื่อเธอไปถึง หัสดินก็ยังไม่มา
สุดท้ายคือหัสดินมาถึงตอนบ่ายสามครึ่ง เธอจึงได้รอสิบห้านาที เรนนี่เจอแบบนี้ก็รู้สึกโมโหยิ่ง
หัสดินไม่พูดจา เดินไปด้านหน้า มีท่าทางไม่ขอพูดไร้สาระแม้แต่คำเดียว เขารังเกียจเรนนี่ถึงขีดสุด
เพลิงโกรธในใจของเรนนี่ไม่ใช่จะใช้น้ำสาดก็ดับได้“ถึงจะรังเกียจฉันขนาดไหน แต่วันนี้ก็ต้องเจอหน้าฉัน ไม่ใช่เหรอ? อีกอย่าง ฉันไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นผู้ชายขี้เหนียว ตอนหย่ากันถึงกับตลบตะแลง แม้แต่คฤหาสน์ที่เคยให้ฉันก็จะยึดกลับไปด้วย เป็นถึงประธานบริษัทภูษาธรกรุ๊ป แต่กลับขี้เหนียวขนาดนี้”
เขาคล้ายกับไม่ได้ยิน เดินต่อไปด้านหน้า จากนั้นเหมือนนึกอะไรได้ กล่าวเสียงเย็นเยียบทีละคำ “ผู้หญิงที่วางเล่ห์กลอุบายกับผม ล้วนมีจุดจบไม่ดีแน่ โดยเฉพาะคุณ”
เขาไม่ใช่คนโหดร้าย แต่เธอทำผิดเยอะเกินกว่าจะปรับปรุงแก้ไขได้
เรนนี่ได้ยินคำนี้ก็หัวเราะเสียงดังลั่น ผู้ชายไร้น้ำใจขึ้นมา ช่างโหดจริง ๆ
หัสดินเดินไปด้านหน้าไม่นาน เท้าก็ต้องชะงัก เขายืนนิ่งอยู่กับที่ เรนนี่ก็มองตามสายตาเขา
คือยู่ยี่กับฉันทัช ใบหน้าทั้งสองเบ่งบานด้วยรอยยิ้ม แลดูอารมณ์เบิกบานมาก เห็นท่าแล้วน่าจะไปจดทะเบียนสมรสกัน
อันนี้เรียกว่าโลกแคบหรือเปล่า?ยังต้องเจอกันที่นี่อีก?
ทว่าอีกฝ่ายมาจดทะเบียนสมรส ส่วนเธอนั้นมาทำเรื่องหย่า สรรพสิ่งบนโลกล้วนไม่เที่ยง ช่างเป็นคำที่แดกดันเหลือเกิน
หางตายู่ยี่เหลือบเห็นพวกเขาสองคน ทว่ากลับทำเหมือนไม่เห็น
ระหว่างหัสดินกับเธอนั้นจบลงแล้ว ตอนนั้นรู้สึกเกลียดชังมาก ตอนนี้จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องกล่าวทักทาย
ฉันทัชอารมณ์ดีมาก ดีขึ้นขนาดเขียนประทับใบหน้าเขาเลย จึงส่งยิ้มให้กับทุกคนที่พบเจอ
เมื่อก่อนหัสดินไม่เคยรับรู้ความเจ็บปวดแบบนี้มาก่อน มันเหมือนกับถูกคนอื่นดึงจนกระดูกซี่โครงหักไปหลายท่อน เจ็บปวดรวดร้าว หัสดินจ้องพวกเขาสองคน วินาทีที่ยู่ยี่เดินเฉียดไหล่ มือสองข้างที่อยู่ลำตัวสั่นระริกเล็กน้อย อยากคว้ามือของเธอไว้เหลือเกิน
แต่เขาจะใช้ฐานะอะไรไปจูงมือเธอ?
ตอนนี้หาเหตุผลและข้ออ้างนั้นไม่เจอแล้ว
สุดท้ายก็ไม่ได้ทักทาย เธอกำลังพลอดรักกันอย่างมีความสุข ส่วนเขากลับต้องเจ็บปวด ยืนแน่นิ่งอยู่กับที่ ณ ปัจจุบัน เธอกับเขาแตกต่างอย่างเด่นชัด
เธอต้องมาจดทะเบียนสมรสแน่ เมื่อหัสดินรับรู้สิ่งนี้ หัวใจก็คล้ายกับถูกใช้ค้อนทุบแรง ๆ วินาทีนี้เขาไม่อยากเดินต่อ อยากนั่งอยู่ที่นี่
เรนนี่พูดอยู่ด้านหลัง“คนโชคดีก็อย่างนี้แหละ หย่าแล้วยังได้เจอคนที่ดีกว่า ดูท่าทางของเธอสิ แล้วย้อนมาดูคุณ มีสิทธิ์แค่มองแผ่นลังผู้หญิงคนนี้”
“คุณหุบปากไปเลย” ทันใดนั้นดวงตาหัสดินแดงก่ำ พร้อมกับตวาดเสียงใส่
ตอนนี้เรนนี่ไม่ได้หวาดกลัวเขาแล้ว“ตะคอกใส่ฉันเหรอ? ตะคอกใส่ฉันแล้วก็เปลี่ยนแปลงความจริงที่เธอคนนั้นไปแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้หรอก”
หัสดินรับคำเสียดสีแบบนี้ไม่ได้ ยกมือขึ้นบีบคอเรนนี่ เรนนี่ดิ้นรน ใบหน้าซีดเผือด รู้สึกหายใจลำบาก เมื่อเห็นดังนี้มุมปากเขาก็ยกขึ้นยิ้ม