ซย่าโหวฉิงเทียนกวาดตามองไล่เรียงไปที่บรรดาฮูหยินที่ร่วมพูดคุยนินทากับพระชายาหนิงอ๋องในวันนั้น แล้วยิ้มชั่วร้ายออกมา
“ข้าเพิ่งจะแต่งงาน พวกเจ้าก็สร้างปัญหาให้กับข้าเสียแล้ว ดี ดีมาก!”
เมื่อเขากล่าวจบ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ตวัดมีดบินในมือออกไป มันพุ่งตรงแทงเข้าไปที่หัวใจของพระชายาแห่งหนิงอ๋องทันที ซึ่งนางยังมิทันจะได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ก็ทรุดล้มลงบนพื้นขาดใจตายดวงตาเบิกโพลง
ตายตาไม่หลับ
“กรี๊ด——”
ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าต่างพากันกรี๊ดร้องด้วยความตื่นตระหนกหวาดกลัว
สายตาอันน่าหวาดกลัวของซย่าโหวฉิเทียนกวาดตามองไปที่พวกนางทีละคน ทำเอาคนเหล่านั้นรีบหุบปากลงแทบจะไม่ทัน
“พวกเจ้าจะจัดการตัวเองหรือจะให้ข้าสงเคราะห์ส่งพวกเจ้า?”
ซย่าโหวฉิงเทียนสวมอาภรณ์สีม่วงทั้งชุด หน้าตาหล่อไร้ที่ติกลับกระทำเรื่องเช่นนี้ การกระทำมันช่างขัดหน้าของเขาจริงๆ
เมื่อเขาเอ่ยปากเช่นนี้ เหล่าฮูหยินราชนิกูลสามสี่คนที่อยู่ตรงหน้าก็รีบบคุกเข่าลงโขกศีรษะร้องขอชีวิตทันที
“สายไปแล้ว——”
ซย่าโหวฉิงเทียนยิ้มเ**้ยม เขาเพียงแต่ไม่ได้ฆ่าคนมาเสียนาน พวกนางจึงหลงคิดไปว่าเขาเปลี่ยนแปลงนิสัยไปเสียแล้ว คิดว่าเขาวางมีดในมือลง สำเร็จธรรมหรืออย่างไรกัน?
“ช่วยด้วย! ฆ่าคนแล้ว! หลินเจียงอ๋องเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์! “
ฮูหยินบางคนที่อาจหาญหน่อยถึงกับคลานขึ้นมาเตรียมจะพุ่งตัวไปด้านนอก ขณะที่นางวิ่งผ่านชิงหงนั่นเอง เขาก็ตวัดดาบปลิดชีพนางในดาบเดียว
ที่เหลืออีกสามคนก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน
จนกระทั่งหลังจากที่ชิงหิงเก็บกวาดทุกอย่างเรียบร้อย ทั้งยังพาคนมาทำความสะอาดสถานที่จนแล้วเสร็จ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงได้หยักยิ้มขึ้นมา แล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ
คนเหล่านี้คือฮูหยินที่มียศศักดิ์สูงแห่งต้าโจว
ครอบครัวของพวกนางนั้นมีทั้ง ราชนิกูล ตระกูลใหญ่ หรือแม้กระทั่งตระกูลขุนนางที่มียศศักดิ์สูงส่งแห่งต้าโจว
หากว่าซย่าโหวฉิงเทียนใจอ่อนกับเรื่องราวในวันนี้ ปล่อยให้เรื่องทุกอย่างผ่านไป วันหน้าคนพวกนี้จะต้องปีนขึ้นมาเหยียบจมูกเขาเป็นแน่
คนดีมักจะถูกรังแก
ดูสิ เขาเพียงแค่สงบไม้สงบมือเพียงไม่กี่วันเท่านั้น พวกมันก็หลงลืมวิถีทางของเขาไปจนหมดแล้ว!
“พวกเจ้าจำเอาไว้นะ อวี้เฟยเยียนคือแก้วตาดวงใจของข้า ใครบังอาจพูดให้ร้ายนางลับหลังแม้เพียงครึ่งคำ ต้องมีจุดจบที่เหมือนกับพวกนาง นั่นคือตาย ——”
นั่นคือพระชายาแห่งหนิงอ๋องเชียวนะ หลินเจียงอ๋องคิดจะฆ่าก็ฆ่า โดยไม่ยั้งมือเลยแม้แต้น้อย!
น่ากลัวยิ่งนัก!
นอกเหนือจากความหวาดกลัวแล้ว พวกนางยังอิจฉาอวี้เฟยเยียนอีกด้วย ที่มีสามีคอยปกป้องคุ้มครองถึงเพียงนี้ นับเป็นความใฝ่ฝันของผู้หญิงทุกคน
ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเรื่องราวทุกอย่างคงจะจบลงเพียงนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนก็นำศพทั้งห้าเข้าไปทูลฟ้องร้องต่อฮ่องเต้ถึงในวัง
เมื่อได้ยินว่าผู้หญิงเหล่านี้ทำลายชื่อเสียงของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนและลูกสะใภ้ของเขา ทั้งยังพูดจาให้ร้ายอย่างน่ารงเกียจที่สุด ซย่าโหวจวินอวี่ก็พิโรธอย่างมาก
และในเวลานั้นเองอวี้จิงเหลยก็เข้าวัง เพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้เฝ้าร้องห่มร้องไห้เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่หลานสาวด้วย
ผลจากการกระทำของเรื่องนี้นั่นก็คือ หญิงทั้งห้าไม่เพียงแต่กลายเป็นภรรยาที่ถูกสามีขอหย่าเท่านั้น ตระกูลของพวกนางยังถูกถอดถอนออกจากราชสกุลชั้นสูงอีกด้วย
ส่วนหนิงอ๋องสูญเสียพระชายาไปทั้งคน ทว่าไม่เพียงแต่ไม่กล้าแสดงอาการเสียใจออกมาแม้เพียงสักนิดแล้ว ยังต้องไปขอโทษซย่าโหวฉิงเทียนถึงที่จวนหลินเจียงอ๋องอีกด้วย
ในตอนที่ชายาของเขากำลังซุบซิบนินทาเรื่องนี้อยู่นั้น เขาเองก็เคยออกปากตักเตือนนางแล้วว่าอย่าหาเรื่อง ใครจะคาดคิดว่าชายาของเขาจะไม่รู้จักสงบปากสงบคำเล่า
ซย่าโหวฉีและชายาของเขาแม้จะแต่งงานกันมาไม่นาน คนทั้งสองจึงอาจพูดไม่ได้ว่ารักกัน แต่ก็ถือว่าเคารพให้เกียรติซึ่งกันและกัน
พระชายาของเขาต้องมาจบชีวิตเช่นนี้ เขาเองย่อมต้องเสียใจบ้างเป็นธรรมดา เพราะอย่างน้อยก็ถือว่าได้เป็นสามีภรรยากันมา
แต่ทว่าความเศร้าเสียใจนี้ก็สูญสลายมลายสิ้นหลังจากที่ซย่าโหวจวินอวี่ได้คัดเลือกหญิงงามพร้อมแล้วพระราชาทานงานแต่งงานให้เขาอีกครั้ง
แค่ผู้หญิงคนเดียว หากคนเก่าไม่ไปคนใหม่ไหนเลยจะมาได้ จริงไหมเล่า?!
สุดท้ายคนที่มาคอยเผากระดาษเงินกระดาษทองให้กับอดีตชายาของหนิงอ๋องก็คือคนที่สร้างความขุ่นเคืองใจให้กับนางที่หน้าประตูวังหลวง พระชายาแห่งเซี่ยนอ๋องนั่นเอง
“ขอให้เจ้าจงจดจำเอาไว้ว่า เกิดชาติหน้าฉันท์ใดขอให้ไปเกิดในครอบครัวคนธรรมดา อย่าได้เกิดในราชวงศ์อีกเลย”
พระชายาแห่งเซี่ยนอ๋องผมกระดาษเงินกระดาษทองไปพลางทอดถอนใจยาวออกมา
สองสามวันก่อนชายาแห่งหนิงอ๋องยังมีชีวิตที่มีความสุขอยู่ดีๆ ทว่าบัดนี้กลับต้องกลายเป็นวิญญาณเร่รอนที่แสนจะโดดเดี่ยว ไม่มีแม้กระทั่งสุสานฝังศพ แล้วจะโทษใครได้เล่า!
เรื่องที่เกิดในจวนหนิงอ๋องนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนไม่ได้ตั้งใจปิดบังแต่อย่างใด ดังนั้นเพียงไม่นานเรื่องนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง
เรื่องราวในครั้งนี้ เป็นการย้ำเตือนประชาชนทุกคนอีกครั้งหนึ่งว่า
ไม่ว่าราชสีห์จะตะครุบเหยื่อหรือไม่ จงอย่าลืมว่าราชสีห์อย่างไรก็ยังเป็นราชสีห์อยู่วันยังค่ำ!
อีกเรื่องหนึ่งที่ทุกคนได้รับรู้นั่นก็คือ ใต้เท้าอวี้หลัวซ่าคือที่สุดในหัวใจของใต้เท้าฉิงเทียน อย่าได้คิดว่าใต้เท้าอวี้หลัวผู้อ่อนโยนและไม่มีวันโกรธเคืองใครละ เพราะอย่าลืมว่าเบื้องหลังของนางยังมีใต้เท้าฉิงเทียนอยู่อีกทั้งคน!
อวี้เฟยเยียนไม่มีเวลาที่จะมาสนใจคำซุบซิบนินทาเกิดขึ้นด้านนอกด้วยซ้ำ เพราะการนางฝึกฝนร่างกายของนางกลายเป็นกิจวัตรประวันของซย่าโหวฉิงเทียนไปเสียแล้ว
เพื่อความสุขในชีวิตคู่ของตนเอง ยามซย่าโหวฉิงเทียนฝึกฝนให้กับอวี้เฟยเยียนนั้นจึงไม่มีออมมือแม้แต่น้อย
และในทุกคืนหลังจากที่ฝึกฝนร่างกายแล้ว เป็นหน้าที่ของซย่าโหวฉิงเทียนที่ต้องอุ้มอวี้เฟยเยียนในสภาพเหน็ดเหนื่อยหมดเรี่ยวแรงกลับห้อง
ซึ่งก็ต้องบอกว่า ครูดีมักจะนำพาลูกศิษย์ให้มีคุณภาพได้อยู่วันยังค่ำ
ในขณะที่เทศกาลขึ้นปีใหม่กำลังจะมาถึงนั้น ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็สามารถปลดล็อคขั้นปลายของปรมาจารย์ได้สำเร็จ จนเลื่อนขั้นเป็นจอมปราชญ์อาวุโสในที่สุด