“ไม่อย่างนั้น ถ้าหากคุณพ่อผมยังบริหารบริษัทต่อไป ระหว่างนั้นเกิดเหตุอะไรขึ้น ไม่ว่าจะคุณพ่อ หรือว่าบริษัท ล้วนไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยนะครับ”
ผู้คนเพิ่งจะเข้าใจ ‘ความจริง’ ของเรื่องราว ต่างพากันตกใจสุดๆ
“แน่นอนว่า ถ้าหากพวกคุณรู้สึกว่าผมทำแบบนี้ไม่ถูกต้อง ผมก็จะรีบไปรับคุณพ่อออกมาจากสถานพักฟื้นคนชรา คืนตำแหน่งประธานบริษัทให้กับท่าน” เซียวจิ่งสือพูดจบก็มองดูสีหน้าของพวกเขา
“นี่มัน…” พวกเขาต่างมีสีหน้าลังเลยากจะตัดสินใจ ชั่วขณะนั้นไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
เซียวจิ่งสือพูดต่อว่า “ทุกท่านวางใจได้ พอผมรับช่วงบริษัทแล้ว สิทธิพิเศษของพวกคุณลุงและตำแหน่งในบริษัทจะยังเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเด็ดขาด”
เซียวจิ่งสือเพิ่งพูดจบ ก็มีคนพูดนำขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ผมว่าให้คุณพ่อคุณได้พักฟื้นที่สถานพักฟื้นคนชราให้สบายเถอะครับ พวกเราเข้าใจความรู้สึกของคุณดีครับ” ส่วนกรรมการท่านอื่นๆ พอฟังแล้ว ก็พากันเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
หลังจัดการเรื่องนี้เสร็จ พวกกรรมการบริษัทจากไปแล้ว เซียวจิ่งสือก็ปิดประตูห้องทำงาน แล้วโทรหาผู้อำนวยการสถานพักฟื้นคนชรา บอกเขาว่าตอนนี้พ่อเขาสติเลอะเลือน ต่อไปไม่อนุญาตให้พ่อติดต่อกับบุคคลภายนอกอีก ผู้อำนวยการรับปากเป็นมั่นเหมาะแล้วเซียวจิ่งสือก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
เพียงแต่พอเขาเปิดประตูห้องทำงานออก ก็เห็นหลินหว่านยืนอยู่นอกห้องด้วยสีหน้าตกใจ
“หว่านหว่าน ทำไมคุณมาอยู่นี่ได้” เซียวจิ่งสือรู้สึกเป็นกังวลมาก เธอคงไม่ได้ยินที่เขาพูดโทรศัพท์เมื่อครู่ล่ะมั้ง?
“เซียวจิ่งสือคะ ทำไมคุณต้องทำแบบนี้ด้วย” เมื่อครู่หลินหว่านรู้สึกว่าเซียวจิ่งสือมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก นึกอยากจะมาถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น จะได้ปลอบใจเขาสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่าเดินผ่านมาทางนี้ ได้ยินที่เซียวจิ่งสือพูดทางโทรศัพท์เข้าพอดี
“หว่านหว่าน คุณอย่าเพิ่งใจร้อน ฟังผมอธิบาย…” เซียวจิ่งสือพูดพลางดึงหลินหว่านเข้ามาในห้องทำงาน จากนั้นเล่าที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดให้หลินหว่านฟัง และอธิบายว่าเขาไม่ต้องการให้พ่อแยกพวกเขาจากกันจึงต้องทำเช่นนี้
พูดจบ เขาก็มองมาทางหลินหว่านด้วยท่าทีกระวนกระวาย เขากลัวว่าเธอจะเกลียดเขาเพราะเรื่องนี้
หลินหว่านนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วพูดกับเซียวจิ่งสือว่า “เซียวจิ่งสือคะ แม้ว่าฉันจะไม่สามารถเปลี่ยนความคิดและการกระทำของคุณได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของคุณนะคะ ฉันหวังว่าคุณจะไม่เสียใจกับสิ่งที่คุณทำลงไปในภายหลัง”
ถึงแม้หลินหว่านจะยังจำได้ว่าเธอถูกเซียวเฉียงดูถูกเหยียดหยามไว้อย่างไร แต่เซียวเฉียงอย่างไรก็เป็นพ่อของเซียวจิ่งสือ เธอไม่อยากให้เซียวจิ่งสือกลายเป็นศัตรูกับพ่อของเขาเพราะเธอเป็นต้นเหตุ
เซียวจิ่งสือถอนใจเฮือก ลูบศีรษะหลินหว่านแล้วพูดว่า “เอาล่ะ หว่านหว่าน คุณไม่ต้องคิดมากไปนะ คุณแค่จำไว้ว่าต่อไป ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายคุณต่อหน้าผมก็พอแล้ว”
ตอนบ่าย ระหว่างนี้งานของบริษัทค่อนข้างน้อย เซียวจิ่งสือรีบทำงานจนเสร็จ เลิกงานแล้วกลับบ้านพร้อมหลินหว่าน ส่วนงานที่ยังไม่เสร็จ เขาก็ส่งต่อให้กับผู้ช่วยจัดการ
ระหว่างทาง เซียวจิ่งสือไปตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตกับหลินหว่าน เลือกซื้อกับข้าวด้วยกันเพื่อทำอาหารเย็น ช่วงนี้เซียวจิ่งสือเป็นเช่นนี้เสมอ อยู่กับหลินหว่าน ทำกับข้าวกินกันที่บ้าน ทำให้เขารู้สึกถึงความสุขที่ได้อยู่ร่วมกับหลินหว่าน
หลินหว่านกลับถึงบ้านพร้อมกับเซียวจิ่งสือ ทำอาหารเย็นร่วมกันอย่างคุ้นเคย พอยกมาวางบนโต๊ะอาหาร หลินหว่านก็พลันสะดุ้งในใจ พักนี้เธอ…เธอใกล้ชิดกับเซียวจิ่งสือเกินไปหรือเปล่านะ?
เซียวจิ่งสือมองดูหลินหว่านที่ใจลอยอยู่ ถามว่า “หว่านหว่าน คุณเป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไรค่ะ มา เซียวจิ่งสือ ทานข้าวกันเถอะค่ะ” หลินหว่านรู้สึกตัว พูดเสียงเรียบ
ขณะทานข้าว ทั้งสองต่างก็คิดไปคนละทาง ดังนั้น ก็เลยไม่มีใครเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน
เซียวจิ่งสือรู้สึกว่าบรรยากาศวันนี้ไม่เหมือนเคย หลินหว่านเหมือนจงใจทำตัวเหินห่างจากเขา
เขาทนไม่ได้แล้วจริงๆ วางตะเกียบลง หันมาถามหลินหว่านว่า “หว่านหว่าน คุณรู้สึกว่าที่คุณอยู่กับผมในหลายวันมานี้มีความสุขไหม” ท่าทีเขาจริงจัง รอคอยคำตอบจากหลินหว่าน
หลินหว่านได้ยินแล้ว หัวใจเต้นระทึก จากนั้นตอบกลับอย่างติดขัดว่า “ก…ก็ดีนี่คะ”
เป็นอย่างที่คิด เซียวจิ่งสือถามต่อว่า “หว่านหว่าน งั้นคุณเต็มใจจะเป็นแฟนผมไหม คุณก็รู้ว่าผมรักคุณมาตั้งนานแล้ว และผมก็จะรักคุณแบบนี้ไปตลอด”
เซียวจิ่งสือพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมารวดเดียว คำพูดนี้เขาอยากบอกหลินหว่านตั้งนานมาแล้ว แต่เขาเห็นว่ายังไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด จนวันนี้เขารอต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
แต่เขากลับได้ยินหลินหว่านตอบว่า “ขอโทษนะคะ เซียวจิ่งสือ ฉันรับปากไม่ได้หรอกค่ะ”
เซียวจิ่งสือหน้าเครียดลง มือที่อยู่ใต้โต๊ะกำหมัดแน่น เขาได้ยินเสียงหลินหว่านพูดเรื่อยๆ ต่อไปว่า “ตอนนี้ฉันยังมีเรื่องตั้งมากมายยังทำไม่สำเร็จ ฉันอยากรู้ความจริงเรื่องแม่ของฉัน แก้แค้นบ้านตระกูลอันแทนเธอ จากนั้นเป็นนักแสดงที่มีฝีมือโดดเด่นเหมือนกับเธอ ฉันยังอยากจะรู้ว่าพ่อของฉันเป็นใครกันแน่…”
“เซียวจิ่งสือคะ ฉันอยากทำทุกอย่างนี้ให้สำเร็จด้วยตัวเอง พอทำทุกอย่างสำเร็จแล้ว มีเวลาแล้วค่อยมาคิดเรื่องความรัก” หลินหว่านมองดูเซียวจิ่งสือ พูดทั้งที่รู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ เธอแบกภาระไว้มากเกินไป ตอนนี้ เธอยังให้คำสัญญาอะไรกับเขาไม่ได้ทั้งนั้น
“ได้…” นาทีต่อมา เซียวจิ่งสือตอบรับเสียงต่ำกลับมา
เขารู้ว่าหลินหว่านหวังว่าเธอจะสามารถแก้แค้นด้วยตัวเธอเอง ไม่อยากให้เขายื่นมือมาช่วยเธอ ในเมื่อเธอพูดอย่างนั้น เขาก็ได้แต่ให้การสนับสนุน แต่ว่าเขาจะไม่ยอมให้เธอใช้ข้ออ้างนี้ไปจากเขาอย่างเด็ดขาด
หลินหว่านมองดูเขา พูดเสียงเบาว่า “ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก ผมเคยบอกแล้วไง สิ่งที่คุณอยากทำ ไม่ว่าจะเป็นอะไร ผมจะคอยเป็นกำลังหนุนให้คุณเอง” เซียวจิ่งสือส่ายหน้า พูดเสียงนุ่มนวล
หลังอาหาร เซียวจิ่งสือส่งหลินหว่านกลับบ้าน หลังจากบอกราตรีสวัสดิ์กับเธอแล้ว เขานั่งอยู่ในรถมองดูเงาร่างของหลินหว่านที่ค่อยๆ ห่างออกไป รู้สึกจิตใจไม่สงบขึ้นมา เมื่อครู่เขาอาจใจร้อนเกินไป ทำให้หลินหว่านกลับถอยห่างเขาออกไปอีก บางทีสำหรับหลินหว่าน เขาต้องใช้วิธี ‘น้ำอุ่นต้มกบ [1]’ ซะแล้ว
บ้านตระกูลอัน ถ้าหากบอกว่าอันโฮ่วสยงเกลียดเซียวจิ่งสือเข้ากระดูก อันซิงก็ทั้งรักทั้งแค้นเซียวจิ่งสือ
เธอเป็นถึงคุณหนูใหญ่ของบ้านตระกูลอัน ก่อนหน้านี้เธอต้องใช้อิทธิพลของบ้านตระกูลอัน กว่าจะได้หมั้นหมายกับเซียวจิ่งสือ แต่คิดไม่ถึงว่าหัวใจของเซียวจิ่งสือจะยังผูกพันอยู่กับหลินหว่าน ต่อมา เธอในฐานะที่เป็นถึงคุณหนูใหญ่บ้านตระกูลอัน กลับถูกคนมาถอนหมั้นถึงบ้าน ทำให้เธอกลายเป็นตัวตลกของผู้คน
แล้วตอนนี้ ตัวเธอที่เป็นคุณหนูใหญ่บ้านตระกูลอันกลายเป็นที่เย้ยหยันของคนทั่วไป เซียวจิ่งสือร่วมมือกับผู้ยิ่งใหญ่ของวงการธุรกิจมาสู้กับบ้านตระกูลอัน บ้านตระกูลอันสู้ตระกูลเซียวไม่ได้ บริษัทมีหนี้สินท่วมท้น กำไรก็ลดลงไปเรื่อยๆ จนเกือบจะล้มละลาย พนักงานจำนวนมากของเครือตระกูลอันผละจากบ้านตระกูลอันไป มีเพียงคุณปู่อันโฮ่วสยงเพียงคนเดียวที่ยังเฝ้ารักษากิจการของบ้านตระกูลอันเอาไว้
เธอได้ยินมาว่า เซียวจิ่งสือเป็นศัตรูกับบ้านตระกูลอันเพื่อหลินหว่าน บนอินเทอร์เน็ตยังมีคนเปรียบเทียบเธอกับหลินหว่าน ผลคือเธอสู้หลินหว่านไม่ได้สักอย่าง เป็นแค่ไม้ประดับแจกันที่ไร้ประโยชน์!
เธอรับรู้ได้ถึงการเสียดสีเย้ยหยันในสังคมออนไลน์ เพื่อนๆ ในวงการเมื่อก่อนในตอนนี้กลับพากันรังเกียจถอยห่างจากเธอ เธอจึงโยนความผิดทั้งหมดไปที่หลินหว่าน
ถ้าหากทำลายหลินหว่านซะได้ จะดีสักแค่ไหนกันนะ!
——
[1] น้ำอุ่นต้มกบ มาจากนิทานสุภาษิตที่เล่าถึงการต้มกบในน้ำอุ่นที่ทำให้น้ำร้อนขึ้นช้าๆ กว่ากบจะรู้ตัวถึงอันตรายก็หนีไม่ทันเสียแล้ว มักใช้เปรียบว่าคนเรามักไม่ค่อยระวังตัวในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทีละน้อย ในที่นี้มีความหมายคล้ายกับคำว่า ‘ค่อยเป็นค่อยไป หรือใช้น้ำเย็นเข้าลูบ’