อาคิระทั้งโกรธและแสดงพฤติกรรมดุร้าย ระเบิดอารมณ์ตลอดเวลา กลายเป็นคนเจ้าอารมณ์อย่างไม่ต้องสงสัย
ช่วงนี้ลิลลี่ไม่กล้าเข้าใกล้เขา กลัวว่าวันไหนเขาอารมณ์เสียแล้วเธอจะพลอยซวยไปด้วย หลังกลับจากร้านเหล้าวันนั้น เขาก็กลายเป็นคนขี้เหวี่ยงบ่อย ๆ เรื่อย ๆ
มิตรภาพหลายสิบปี และเรียกได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองดีกว่าคำว่าเพื่อนเสียด้วยซ้ำ เพราะสนิทกันมากจนมากที่สุด
ตอนนี้เพื่อผู้หญิงคนเดียว ฉันทัชถึงกลับจะตัดเพื่อนกับเขา ลืมมิตรภาพวันวานจนหมดสิ้น
เขาคิดว่าฉันทัชแค่พูดเล่น ดังนั้นเขาจึงรออยู่เงียบ ๆ แต่ผ่านมาหลายวัน ฉันทัชก็ไม่เคยโทรหาเขาเลย
ดูเหมือนคำว่าตัดขาดจะเป็นความในใจจริง ๆ ไม่ได้พูดเล่น
คิกคิก ฉันทัชใจร้ายมาก แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ก็มีผลกระทบต่อเขามากเพียงนี้……
มือถืออาคิระดังขึ้น เขารับสาย จากนั้นเสียงไพเราะของเด็กผู้ชายก็ดังลอยเข้ามา“คุณพ่อจะกลับมาเมื่อไหร่ครับ?”
ณ ตอนนี้สีหน้าของเขาอ่อนโยนขึ้นบ้างแล้ว ไม่ได้มืดครึ้มบึ้งตึงเหมือนก่อนหลายวันที่ผ่านมา “คิดถึงพ่อแล้วเหรอ?”
“ครับ” เด็กผู้ชายผงกศีรษะ เมื่อลังเลชั่วครู่จึงกล่าวต่อว่า“พ่อครับ วันนี้เป็นวันเกิดของคุณแม่ครับ”
อาคิระไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างคิ้วยังเผยความรังเกียจไว้ในทีด้วย ทว่าพูดเสียงอ่อนโยนกับบุตรชาย “แม่ให้ลูกโทรมาเหรอ?”
“คุณพ่อครับ วันเกิดต้องอยู่กันพร้อมหน้าทั้งครอบครัวครับ” เด็กผู้ชายพูดเช่นนี้
“พ่อยุ่งมากนะลูก ไม่มีเวลาเลย ไว้รอวันเกิดลูก พ่อจะกลับไปนะ เด็กดีเชื่อฟังนะ” สิ้นเสียงเขาก็วางสาย
หญิงสาวเดินใต้แสงไฟเหลืองสลัวอย่างเนิบช้า เดินเสียงเบาบ้าง เสียงดังบ้าง ด้วยอาการของคนขาเป๋
“คุณแม่ครับ เค้กครับ” ชายน้อยเป็นเด็กดีรู้ความ ถือเค้กหน้าผลไม้ โดยมีกี่วี่และสตรอเบอร์รี่ ตกแต่งได้สวยงามมาก
ผู้หญิงรู้สึกประหลาดใจ“เอามาจากไหนลูก?”
“เงินเก็บของผมครับ ผมขอให้คุณครูพาผมไปซื้อเค้กครับ” เด็กชายปีนขึ้นบนโต๊ะ มือเล็กหยิบเทียนแล้วตั้งใจปักลงไป
ผู้หญิงรู้สึกตื้นตันใจมาก ดวงตาทอประกายแสงเจิดจ้า ยืนจ้องเค้กอย่างเหม่อลอย
มีเพียงลูกชายที่ฉลองวันเกิดให้เธอ นอกนั้นก็ไม่เคยมีใครใส่ใจเลย
“ยังมีอีกเรื่องครับแม่ พรุ่งนี้โรงเรียนจะประชุมผู้ปกครองครับ” เด็กผู้ชายตั้งความหวังอย่างสุดแสน ปกติจะมีแต่คุณอาผู้ช่วยไปเข้าร่วม
เพื่อนนักเรียนคนอื่นมีพ่อหรือไม่ก็แม่เข้าประชุม ส่วนเขามีแต่คุณอาผู้ช่วย เขาหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ไปด้วยกันกับคุณแม่
เขาหมุนกายมองผู้เป็นแม่ ก่อนจะดึงแขนเสื้อแล้วเขย่าเบา ๆ “พรุ่งนี้คุณแม่จูงมือผมไปร่วมประชุมได้ไหมครับ?”
เธอกุมมือเล็กอันขาวนวล พลางเดินเข้าโรงเรียนยามพระอาทิตย์อัสดง จึงได้ยินเสียงเด็กเล็กหัวเราะคิกคัก ที่นี่คือโลกแห่งความสุขและสถานที่สวยงามของเด็ก ๆ
ทว่าพึ่งจินตนาการความคิดนี้ชั่วครู่ เธอก็โยนความคิดนี้ทิ้งไปไกล
เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไปประชุมผู้ปกครองกับลูก
เธอเคยเข้าร่วมครั้งเดียวเท่านั้น และครั้งนั้นก็เกินพอ
ตอนที่เธอไปโรงเรียน เพราะเด็กไม่ประสีประสา พูดจาโดยไม่ไตร่ตรอง จึงถูกเด็กๆจ้องมองที่ขาของเธอ แล้วยังพูดกระแนะกระแหนว่าเหมือนคุณย่าที่ขาเป๋มาก
ซึ่งวันเดียวกัน เมื่อลูกชายเลิกเรียนก็กลับมาด้วยสภาพ เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ทั้งยังมีบาดแผลที่หน้าและร่างกายอีกด้วย
เธอซักไซ้ลูกชายก็ได้ความว่าเกิดอะไรขึ้นถึงเป็นสภาพนี้
ทว่าลูกชายไม่ยอมบอก เอาแต่เงียบ แต่สีหน้าดื้อด้านยิ่งนัก
เธอที่ไม่ค่อยโมโหบ่อย ๆ ทว่าครั้งนั้นเธอระเบิดอารมณ์ออกมาเต็มที่ ง้างมือตีลูกแรง ๆ
ตอนนั้นลูกยังเด็กมาก เมื่อโดนทำร้ายหนักขนาดนั้น สุดท้ายก็บอกความจริงด้วยเสียงสะอื้นไห้ว่า โดนเพื่อนล้อว่าแม่เป็นคนขาเป๋ เขาจึงชกต่อยกับคนอื่น
เธอชะงักอยู่นาน วันที่ไปโรงเรียน เธอสวมใส่เสื้อผ้าที่สวยที่สุด ไปอย่างมีความสุข
เมื่ออาคิระกลับมามองลูกและเธอสลับกัน จึงบอกว่าวันหลังไม่ต้องไปโรงเรียนอีก
จนถึงตอนนี้ เธอยังคงจำแววตาที่เย็นชา รังเกียจเดียดฉันท์ของเขาได้อย่างเด่นชัด เขารู้สึกว่าการมองเธอนั้นเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเวลามาก
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เธอก็ไม่ไปโรงเรียนอีกเลย และไม่เคยไปร่วมการประชุมผู้ปกครองด้วย
และสาเหตุไม่ได้เกิดจากถ้อยคำของอาคิระ แต่เป็นเพราะโรงเรียนที่ลูกชายเรียนอยู่เป็นโรงเรียนผู้มีชาติตระกูลในเฮทเค ที่นั่นมีการแข่งขันทางด้านค่านิยมสูง เธอไม่อยากให้ลูกชายต้องเจอสายตาประหลาด ทนฟังคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์
สุดท้ายความหวังของลูกชายก็เป็นไปไม่ได้ ผู้เป็นแม่ส่ายหัว“พรุ่งนี้งานยุ่งมาก ไม่มีเวลาไป”
ลูกชายกล่าวอย่างอนาทรร้อนใจ“ผมโตแล้วครับแม่ ผมปกป้องแม่ได้แล้วครับ”
ผู้เป็นแม่ยิ้มละมุน พลางตัดเค้กให้ลูก จากนั้นก็ตัดให้ตัวเอง ก่อนจะกล่าวว่า “ขอโทษนะลูก แม่ไม่มีเวลาไปจริง ๆ”
มันบีบหัวใจเธอมาก มากจนไร้คำบรรยาย มันให้ความรู้สึกต้อยต่ำ อ้างว้างและปวดใจมาก
เธอลืมไปว่าเธอไม่เหมือนคนทั่วไป แม้เธอจะไม่รู้สึก แต่ไม่แสดงว่าคนอื่นจะไม่คิด
ซาฮาร่าตั้งมั่นว่าจะฟ้องร้องเรนนี่ ไม่มีทางถดถอยเด็ดขาด จึงได้กำหนดการขึ้นศาลไว้แล้ว
เรนนี่ก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมโดนรังแกง่าย ๆ เธอก็จ้างทนายด้วย
หัสดินไม่สนใจเรื่องระหว่างพวกเธอ ไม่อยากอินังขังขอบใด ๆ
ตอนนี้เขารู้สึกเวิ้งว้าง เป็นความเวิ้งว้างที่ยากจะพรรณนา และรู้สึกโดดเดี่ยวคล้ายกับถูกดูดวิญญาณออกไป เหลือเพียงร่างกาย
เขาไม่สนใจกระทั่งเรื่องในบริษัท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย
เขากลับไปอยู่ในที่คอนโดอีกครั้ง คอนโดของเขาและเธอ
ที่นี่ยังมีร่องรอยการใช้ชีวิตของพวกเขาอยู่ ถึงแม้ไม่มาก แต่ก็เพียงพอให้เขาระลึกถึง สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือรูปแต่งงานหายไปไหนไม่รู้
ไม่ได้ทำความสะอาดภายในคอนโดมานานแล้ว หลังจากที่เธอย้ายออกไป เขาก็ไม่เคยมาที่นี่อีกเลย ตอนนี้มีฝุ่นเกาะเต็มไปหมด
ตอนที่หัสดินจะเก็บถุงขยะไปทิ้งก็ชำเลืองเห็นรูปแต่งงานในถังขยะ รูปที่ใหญ่ที่สุดถูกฉีกขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วย
เป็นชิ้นเล็กที่เล็กเอามาก ๆ ดูออกว่าตอนนั้นเธอฉีกด้วยอารมณ์โกรธแค้นมากขนาดไหน
ตอนนี้เห็นเศษพวกนี้แล้ว หัวใจของเขาก็เหมือนถูกฉีกขาดไปด้วย มันปวดจนหายใจไม่ออก ร่างกายขดตัวแนบแน่น
หัสดินโยนเสื้อสูททิ้งบนพื้น ก่อนจะย่อเข่าลง แล้วค้นรูปแต่งงานชิ้นเล็ก ๆ พวกนั้นออกมาทั้งหมด ก่อนจะนำมาต่อกันใหม่เหมือนกำลังเล่นจิ๊กซอว์อยู่
เขาไม่แน่ใจว่าจะนำรูปกลับมาติดได้สมบูรณ์ทุกชิ้นหรือไม่ ทว่าก็จะพยายามติดให้เหมือนเดินที่สุด เพราะนี่คือความสุขของเขา
เพราะฝุ่นที่ฟุ้งกระจาย กางเกงสูทของหัสดินจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น ด้านหน้าเขาคือเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อย……
หากรู้ว่าต้องเป็นแบบนี้ ตอนนั้นก็ไม่ควรมีพฤติกรรมเช่นนั้นเลย?ทว่าโลกนี้ไม่มียามองเห็นเหตุการณ์อนาคต ไม่มีใครรู้ว่าต้องประสบพบเจออะไรในวันข้างหน้า
มิฉะนั้น บนโลกใบนี้ก็คงไม่มีความเสียใจและความผิดพลาดแล้ว
……
ฉันทัชต้องกลับไปยังเฮทเค ซึ่งตอนแรกยู่ยี่ก็ไม่อยากตามไปด้วย แต่เขาไม่วางใจ เธอไม่มีทางเลือก ต้องตามไปด้วย
พวกเขาซื้อตั๋วไฟล์ทบินล่าสุด ไปถึงเฮทเคก็เย็นแล้ว ซึ่งคุณแม่คุณแม่ธันยวีร์กับคุณปู่รออยู่ที่สนามบินแล้ว
การมายืนรอแบบนี้ทำให้ยู่ยี่รู้สึกประหม่าเล็กน้อย เพราะให้ผู้ใหญ่มารอตนแบบนี้ ดูเหมือนไม่ค่อยมีมารยาทสักเท่าไหร่
คุณแม่ธันยวีจูงมือเธอ พลางถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ อาทิเช่น หิวไหม เหนื่อยไหมเป็นต้น
ยู่ยี่ไล่ตอบทีละคำตอบจนหมด คุณแม่ธันยวีบอกให้เธอทำตัวสบาย ๆ ไม่ต้องเกรงใจ
คุณท่านประเสริฐก็แต่งตัวสดใสและมีชีวิตชีวามาก ถือไม้เท้า สวมแว่นกับหมวก เมื่อเห็นยู่ยี่พลันถามว่า“ปู่แต่งตัวเป็นยังไงบ้าง?”
เธอรู้สึกขบขัน ทว่ากลั้นเสียงหัวเราะ“ถ้าหนึ่งพยางค์คือหล่อค่ะ สองพยางค์ก็หล่อมากค่ะ ถ้าหลายพยางค์ก็มีสไตล์เป็นของตัวเองมากค่ะ!”
คุณท่านประเสริฐยิ้มแก้มปริพร้อมกับจัดหมวกให้เข้าที่
ส่วนฉันทัชนั้นถูกลืมไปเลย ไม่มีใครสนใจเขา ถูกมองข้ามเสียดื้อ ๆ
ทว่าการถูกมองข้ามเช่นนี้เขารู้สึกพึงพอใจมาก คนรักของตัวเองได้รับความชื่นชอบและยอมรับจากครอบครัว มันเป็นสิ่งที่ทำให้ปลื้มใจมาก
เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลหฤทัยไพรุณก็เตรียมอาหารเย็นไว้รอแล้ว ทุกคนนั่งล้อมโต๊ะแล้วเริ่มกินข้าวด้วยกัน
ช่วงเวลารับประทานอาหาร จานของยู่ยี่มีอาหารไม่ขาดสาย คล้ายกับเป็นจานรวมของล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น ทุกคนแข่งกันคีบอาหารใส่จานเธอไม่หยุด
ยู่ยี่รู้สึกเก้อเขินกับการต้อนรับขับสู้ที่ดีแบบนี้ เธอจึงส่งสายตาขอความช่วยเหลือกับฉันทัช
ริมฝีปากบางของเขายกโค้งขึ้น กล่าวอ่อนโยนด้วยรอยยิ้มว่า“คุณอยากบอกผมว่าคุณอยากกินเค้กข้าวเหรอ?”
ปากพูด มือก็ยื่นข้ามโต๊ะไปคีบเค้กข้าวให้เธอหลายชิ้น
ยู่ยี่อดขบฟันไม่ได้“คุณจงใจนี่!”
“อะไรนะ?คุณอยากกินไข่เหรอ?อืม กินไข่ดีมากเลย มีสารอาหารสูง” ระหว่างที่พูดเขาก็คีบไข่ให้เธอสองชิ้น
“……”
คุณแม่ธันยวีร์มองทั้งสองคน พร้อมแย้มยิ้มกล่าว“ฉันทัชก็แกล้งคนอื่นเป็นด้วย เมื่อก่อนไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้เลย”
คุณท่านประเสริฐรู้สึกพอใจมาก ในที่สุดก็มีผู้หญิงที่สามารถครองใจหลานรักได้ เยี่ยมมาก เยี่ยมไปเลย
ฉันทัชคลี่ยิ้ม ไม่สนใจแววตาวิงวอนของเธอ“คุณไม่ได้กินอะไรบนเครื่องเลย ตอนนี้ควรกินเยอะ ๆ หน่อย”
“ฉันกินไม่ลงแล้วค่ะ ท้องแน่นไปหมดแล้ว” อาหารในจานกองเป็นภูเขาเลย แล้วเธอจะกินไหวได้อย่างไร?
“กินได้เท่าไหร่ก็กินเท่าไหร่ เหลือก็ไม่เป็นไร” เขาไม่ค่อยสนใจว่าจะเหลืออาหารในจานเท่าใด
ยู่ยี่ส่ายหัว“แบบนี้จะเสียมารยาทค่ะ และฉันก็ไม่ชินด้วย”
หากเหลืออาหารไว้บนโต๊ะมากเกินไป เธอรู้สึกว่าไม่ดีเลย รู้สึกเสียมารยาทมาก
“กินเถอะ ที่เหลือก็ใส่จานผม” เขากล่าว
ประโยคเดียว ทว่ากลับทำให้คุณแม่ธันยวีร์กับคุณท่านประเสริฐสบตากัน ปกติเขาเป็นคนรักสะอาดไม่ใช่เหรอ?
ดังนั้นคุณท่านประเสริฐก็หัวเราะ พลางคีบมะเขือม่วงในจานตัวเองพร้อมกับกล่าวเสียงหวาน“หลานรัก ปู่ไม่อยากกินมะเขือม่วง”
สีหน้าฉันทัชยังคงเรียบเฉย ยกยิ้มกล่าวว่า“ด้านข้างคุณปู่ไม่มีถังขยะเหรอครับ?”