“……”คุณท่านประเสริฐลอบบ่นกระปอดกระแปด“หลานแท้ ๆ ก็ไม่รักเลย เห็นแฟนสำคัญกว่าปู่……”
ยู่ยี่“……”
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ คุณแม่ธันยวีร์ก็จูงมือยู่ยี่แล้วพูดถึงเรื่องงานวิวาห์ ยู่ยี่ก็บอกตามความจริงว่า ไว้สักพักแล้วค่อยจัดงาน
“จัดตอนนี้ดีมากเลยนะ ถ้ารอให้ลูกเกิดแล้วค่อยจัด หลานแม่ก็ต้องรออยู่ในบ้าน ไม่มีส่วนร่วมในรูปแต่งงาน มันน่าเสียดายมากเลยนัก ไม่ว่ายังไงก็ต้องจัด ไม่สู้จัดเร็วหน่อยจะดีกว่านะ” คุณแม่ธันยวีร์พูดโน้มน้าว
ยู่ยี่ครุ่นคิดดูแล้วก็รู้สึกมีเหตุผล
“ดังนั้นจัดตอนนี้เลยดีไหม อากาศก็เย็นสบาย ไม่หนาวและไม่ร้อนเกินไป แถมอยู่ในช่วงดอกไม้บานอีก อีกอย่างถ้าจัดช้า ต้องรอคลอดลูก จากนั้นก็ต้องอยู่ไฟ คาดว่าต้องรอต่ออีกหนึ่งปีเลย ตอนนี้อายุฉันทัชก็ใกล้จะสี่สิบแล้ว ตัวเลขนี้ก็ไม่น่าฟังใช่ไหมล่ะ?หรือหนูมีความกังวลอะไรก็บอกป้าได้นะ”
เธอใบ้กินเลย เอียงหน้าใช้สมอง ต้องรออีกสามสี่เดือนถึงจะคลอดลูก บวกกับอยู่เดือนและดูแลลูกช่วงทารก จึงถือว่านานพอสมควร
“ตอนนี้ถือว่าเป็นเวลาเหมาะสมที่สุดเลยนะ เพราะตอนนี้พวกเรามีเวลาจัด หนูก็ไม่ได้ทำงาน หากคลอดลูกแล้วไม่แน่หนูอาจจะอยากไปทำงาน ถึงเวลานั้นก็คงไม่มีเวลาไปเลือกของแล้ว”
คุณแม่ธันยวีร์พูดพร้อมกับเอาอัลบั้มรูปแต่งงานมาพลิกให้เธอดูทีละหน้า ถามว่าชอบสไตล์ตะวันตกหรือสไตล์จีน
คุณท่านประเสริฐได้ยินพลางพูดว่า“ปู่ชอบแนวโบราณ”
คุณแม่ธันยวีร์เงยหน้าพูดว่า“คุณพ่ออย่ามาก่อปัญหาเพิ่มสิค่ะ”
คุณท่านประเสริฐรู้สึกฟังไม่เข้าหู อะไรที่เรียกว่าก่อปัญหาเพิ่ม?ฟังดูเหมือนรังเกียจท่านยังไงชอบกล ท่านไม่ยอมแพ้ เอาแนวโบราณมาให้ยู่ยี่ดู
คนหนึ่งอยู่ด้านซ้าย คนหนึ่งอยู่ด้านขวา ส่วนยู่ยี่ก็อยู่ตรงกลาง พวกท่านสองคนต่างแย่งกันพูดจุดเด่นและข้อดีในสายตาของตน
ยู่ยี่ต้องมองซ้ายที ขวาที วุ่นวายไม่เบา ฉันทัชเห็นแล้วก็คลี่ยิ้ม พลางจ้องเธออย่างจดจ่อและอ่อนโยน
ผ่านไปนานกว่าทั้งสองท่านจะปล่อยให้เธอขึ้นไปชั้นบน
ยู่ยี่รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ฉันทัชเดินถือนมวัวอุ่น ๆ ให้เธอ พร้อมกับถามว่า “รู้สึกยังไงบ้าง?”
เธอครุ่นคิดดูแล้วพลันตอบว่า“รู้สึกซาบซึ้งเล็กน้อย”
เขารีบหรี่ตาอันลุ่มลึกขึ้น“รู้ไหมว่าคำนี้หมายความว่ายังไง?”
“พวกเขารักฉันขนาดนี้ ฉันซาบซึ้งก็ถูกแล้วนี่” ยู่ยี่พูดอย่างสมเหตุสมผล
ฉันทัชยิ้มละมุนละไม“ในเมื่อรู้สึกซาบซึ้งแล้ว งั้นพวกเราก็ปฏิบัติตามเลยดีไหม?”
ยู่ยี่ตอบไปว่ากะทันหันเกิน และรู้สึกใจร้อนเกินไป
ผมไม่ทำให้คุณเสียใจหรอก มือใหญ่ของเขาจับแก้มนวลของเธอ พลางจ้องอ่อนโยนและไม่กะพริบตา ก่อนจะกล่าวคำมั่นสัญญาที่น่าหลงใหลขึ้น
เธอถอนหายใจเบา ๆ จากนั้นก็ตอบว่า ได้ค่ะ
ทว่าเขาไม่ยอมเลิกรา ยังคงเป็นท่าทีเช่นเดิม แล้วกล่าวว่า ลองพูดอีกครั้งให้ผมฟังหน่อย
ได้ค่ะ ฉันยินดีแต่งงานกับคุณ เมื่อเขาพึงพอใจ รอยหยักระหว่างคิ้วของเขาก็ค่อย ๆ คลายลง ก้นบึ้งของหัวใจก็รู้สึกรื่นรมย์ยิ่ง
เมื่อตัดสินใจแล้ว การปฏิบัติจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เช้าวันรุ่งขึ้น คุณแม่ธันยวีร์ก็หารือเรื่องแต่งงานกับเธอ
ซึ่งยู่ยี่แจ้งเจตจำนงว่า ไม่ต้องอลังการงานสร้าง เรียบง่ายก็พอ
คุณแม่ธันยวีร์ผงกศีรษะ ได้ เอาแบบเรียบง่าย ก่อนจะพูดว่า หนูคิดว่าเหมาเครื่องบินรับญาติหนูมาที่เฮทเคดีหรือไม่?
“……”ทำแบบนี้แล้วยังเรียกว่าเรียบง่ายอีกเหรอ?
เธอบอกว่ามาที่เฮทเคต้องทำใบอนุญาตอีก ไปกลับไม่สะดวก ไม่สู้จัดงานวิวาห์ที่เมือง Sจะดีกว่า
“ไม่เป็นไรจ้า ทำใบอนุญาตง่ายมาก หนูเอาข้อมูลมา ป้าจะให้พี่ชายฉันทัชไปดำเนินเรื่องให้” ท่านทำให้ไม่มีปัญหาอะไร
ยู่ยี่นิ่งเงียบ
หลังจากเงียบอยู่นานพอสมควร เธอก็กล่าวว่า“หนูยังไม่ได้บอกคนที่บ้านเลยค่ะ รอกลับไปแล้วค่อยตัดสินใจนะคะ”
คุณแม่ธันยวีร์พยักหน้าเห็นด้วย การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ จำเป็นต้องบอกพ่อแม่จริง ๆ“หนูพูดไหวไหม?ให้ป้าไปช่วยพูดกับแม่หนูไหม?”
“หนูพูดเองได้ค่ะ”
ฉันทัชไม่แสดงความคิดเห็น ความคิดของเธอก็คือความคิดของเขา ขอเพียงเธอพอใจ เธอจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
เขารับผิดชอบเรื่องจัดงานวิวาห์ให้อลังการก็พอ
ไม่เคยนึกไม่เคยฝันเลยว่าตัวเองจะมีความสุขขนาดนี้ เขาหรี่ตาพลันจิบกาแฟ และจับภาพเธอไว้ในสายตา
……
เมือง S
ชีวิตของเรนนี่แย่ลงทุกที เงินในเอทีเอ็มลดลง และยังไม่มีรายรับด้วย เธอเอาแต่เกาะกินเนเน่ตลอดไปก็ดูไม่งาม
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด
เมื่อคนเราตกอยู่ในสถานการณ์ไม่เหมือนกัน อารมณ์ก็จะต่างกันด้วย เมื่อก่อนเรนนี่อยากให้ชีวิตดีขึ้น เธอจึงทำงานด้วยความมุ่งมั่นและอดทน จะพยายามไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง
ทว่าหลังจากผ่านเรื่องแบบนี้ สภาพจิตใจของเธอก็แปรเปลี่ยน เอาแต่หายใจทิ้งไปวัน ๆ
มันก็เหมือนกับที่คนอื่นว่า พออายุมากขึ้นก็มักจะรับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ไม่ได้
ถึงวันกำหนดการขึ้นศาลแล้ว ซึ่งเป็นเวลาเที่ยง เธอจัดแจงสิ่งของเสร็จก็ไปพร้อมกับทนาย
และเจอหน้าซาฮาร่ากับรัดเกล้าหน้าประตูศาล มีสำนวนประโยคหนึ่งกล่าวได้ดีมาก เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ดวงตาจะรุ่มร้อนและแดงก่ำเป็นพิเศษ
คนที่ดวงตาแดงก่ำคือซาฮาร่า โดยมีท่าทางอยากจะฉีกเรนนี่เป็นชิ้น ๆ แล้วย้อนกลับมาดูเรนนี่ เธอกลับยิ้มเย็น มองรัดเกล้าคล้ายจะแทงทะลุกระดูก
เขายังกล้าโผล่หน้ามาให้เธอเห็นอีก คิกคิก
ตอนขึ้นศาลไม่ค่อยมีผู้คน บอกว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของตระกูลภูษาธร จึงไม่มีใครกล้าแพร่งพราย?
ตอนให้การในชั้นศาล ซาฮาร่ายืนกรานว่าเรนนี่จงใจชนเธอ จงใจให้เธอแท้ง ทุกอย่างเป็นแผนการที่ตระเตรียมไว้อย่างดีของจำเลย
รัดเกล้าดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจมากนัก นั่งอย่างขี้คร้าน และมองซ้ายแลขวาอยู่บ่อยครั้ง
เรนนี่ยอมรับเสียที่ไหน หากอีกฝ่ายเก่งจริงก็จะเอาหลักฐานออกมาแล้ว คงไม่เสียเวลาพูดเช่นนี้อยู่หรอก?
ระหว่างนั้น รัดเกล้ากับเรนนี่สบตากัน เขายังเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับกะพริบตาให้ ส่วนเรนนี่ก็ส่งเสียงฮึดฮัดทางจมูก
ซาฮาร่าเปิดวิดีโอต่อหน้าศาล ซึ่งเป็นเทปจากกล้องวงจรปิดบันทึกภาพตอนเธอกับเรนนี่อยู่ตรงบันได
ทว่าหลังจากดูวิดีโอนี้แล้วก็ไม่สามารถยืนยันอะไรได้ สิ่งเดียวที่ยืนยันได้คือ เธอเป็นคืนผลักเรนนี่ลงบันได
เหล่าผู้พิพากษาพากันส่ายหัว
เรนนี่นั่งอยู่อย่างนั้นแบบไม่สะทกสะท้าน คล้ายกับไม่มีเรื่องอะไรกวนใจ
ซาฮาร่าเริ่มร้อนรนขึ้นมา ชี้แววตาเรนนี่ครั้งสุดท้ายในวิดีโอ บอกว่าเป็นแววตาประหลาด
เรนนี่ตอบไปว่า แววตาตอนนั้นของเธอไม่ได้ประหลาดอะไรหรอก แค่ได้ยินเสียงฝีเท้าจึงมองปราดหนึ่งเท่านั้น
“แก้ตัว เธอกำลังแก้ตัวอยู่ ชั้นสองมีคน ได้ยินเสียงฝีเท้า มันเป็นคนโกหกหลอกลวง เธอวางแผนร้ายใส่ฉัน เพราะเธอไม่ได้ตั้งกับหัสดิน และหัสดินจะส่งเธอไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณกังวลว่าจะถูกเปิดโปง จึงจงใจใช้แผนการนี้” ซาฮาร่าอยากดึงความหน้าด้านของอีกฝ่ายทิ้งมาก
“วางแผน? ทำไมฉันต้องวางแผนร้ายกับคุณด้วย แล้วถ้าพูดถึงลูกในท้องของฉัน เช่นนั้นก็มีหัวข้อต้องคุยกันแล้ว ในเมื่อพ่อของเด็กในท้องของฉันไม่ใช่หัสดิน งั้นก็ต้องเป็นของคนอื่น คุณไม่สงสัยว่าใครคือผู้ชายคนนั้นหรอกหรือ?”
เรนนี่รู้ว่าหัสดินกับชฎารัตน์ปิดบังซาฮาร่า ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะรับไม่ไหว
เธอละสายตาไปยังรัดเกล้าพร้อมกับกล่าวทีละคำอย่างชัดเจนว่า“เป็นของสามีเธอ รัดเกล้าไงละ”
ได้ยินดังนั้นผู้พิพากษาพลันเผยสีหน้าผิดไปจากเดิม คิดไม่ถึงว่าจะมีเบื้องหลังเช่นนี้ ทั้งยังดุเดือดเสียด้วย
ทว่าจะว่าไปแล้ว ตระกูลภูษาธรวุ่นวายมาก ลูกสะใภ้ในบ้านกับลูกเขยในบ้านขึ้นเตียงกัน นี่เหมือนจะเป็นคำพันลิ้นที่ยากที่สุดในประวัติศาสตร์
ซาฮาร่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ เธอไม่เชื่อ ส่วนรัดเกล้าไม่ได้กล่าวสิ่งใด นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น
“ฉันจะโกหกไปทำไม? ความฝันของฉันคือได้แต่งงานกับหัสดิน หลังจากที่ฉันได้แต่งงานแล้ว เธอคิดว่าฉันจะเป็นฝ่ายนอกใจเองหรอก?”
เรนนี่เอ่ยว่า“เขาพาฉันไปตอนฉันเมา เด็กในท้องเป็นลูกของเขา ถ้าไม่เชื่อก็ถ้าน้องชายกับแม่เธอดูสิ”
ซาฮาร่าส่ายหัว เธอไม่อยากเชื่อสิ่งนี้เลย ลูกของรัดเกล้าหรือ?ล้อเล่นหรือเปล่า!
“เธออย่าพูดจาเหลวไหลแถวนี้ และอย่าคิดทำให้สามีภรรยาแตกหักกัน อย่าได้ยุแยงพวกเราเด็ดขาด”
“คำพูดที่ว่าหลอกตัวเอง คงหมายถึงเธอสินะ ยังไงซะฉันก็พูดความจริงแล้ว จะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเธอ ไม่เกี่ยวกับฉัน?” เรนนี่ไม่แยแส เธอพูดทุกอย่างจนหมดเปลือกแล้ว” ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของอีกฝ่าย
เพราะไม่มีหลักฐานมัดตัว จึงตัดสินใจลำบาก กลายเป็นว่าพรุ่งนี้ต้องขึ้นศาลต่อ
หากจะพูดตามจริง เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก เป็นเรื่องภายในครอบครัวของตระกูลภูษาธร ดังนั้นหากคุยเป็นการส่วนตัวได้ก็ควรทำ ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่และซับซ้อนแบบนี้
เมื่อเดินออกจากศาล ซาฮาร่าขวางทางเรนนี่“ตกลงเธอพูดจริงหรือปลอม?”
“ถ้าเธอเชื่อก็จริง ถ้าไม่เชื่อก็ปลอม จะเชื่อหรือไม่ก็อยู่ที่ตัวเธอ” เห็นอีกฝ่ายเป็นเดือดเป็นร้อนเช่นนี้ เรนนี่ก็รู้สึกอารมณ์ดีและรู้สึกสะใจ
“อย่ามาบอกใบ้อะไรแถวนี้”
เรนนี่รู้สึกว่าคนนี้เป็นคนสติฟั่นเฟือน“ฉันบอกแล้ว เธอไม่เชื่อฉันก็ไม่ว่า แต่เธอก็ยังบังคับให้ฉันพูด ประสาทหรือเปล่า?”
อารมณ์ซาฮาร่าไม่มั่นคง สายตาจ้องไปยังรัดเกล้า ก่อนจะถามว่า “ถ้าเป็นเรื่องจริง ฉันจะทำให้คุณลิ้มรสผลของการกระทำ”
ประโยคนี้เจือการขู่เข็ญ และตักเตือน ทั้งยังมีความเยือกเย็นอีกด้วย
ได้ยินประโยคนี้ รัดเกล้าก็เริ่มอยู่ไม่นิ่ง ขมวดคิ้วมุ่น เขารู้จักนิสัยซาฮาร่าดี
เมื่อเธอพูดประโยคนี้ออกมา แสดงว่าผลลัพธ์ร้ายแรงมาก สามารถเรียกได้ว่าร้ายแรงอย่างสุดแสน
ซาฮาร่าเป็นคนสำคัญในตระกูลกนกเตรัตน์กว่าเขาอีก ไม่ว่าจะคุณแม่หรือคุณพ่อล้วนไม่แยแสต่อเขา ทว่าเมื่อเธอเอ่ยปาก พวกท่านต้องตอบตกลงทันที!
หากซาฮาร่าอาละวาดให้เรื่องใหญ่โต วันหน้าเขาจะมีชีวิตสงบสุขได้อย่างไร?
รัดเกล้าอายุมากแล้ว ทว่าก็ไม่เคยทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เอาแต่สํามะเลเทเมา เที่ยวเตร่ไปวัน ๆ ส่วนรายได้หลักมาจากการแบมือขอกับคุณท่านวสิน
แค่คุณท่านวสินสั่งประโยคเดียว เขาก็จะสูญเสียรายได้ กลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว
เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ สมองของรัดเกล้าก็หมุนอย่างรวดเร็ว กำลังคิดหาหนทางให้ตัวถูกทำร้ายน้อยที่สุด