ซานเอ๋อร์เกิดและโตในหมู่บ้าน หลังจากจบมัธยมก็ไม่ได้เรียนต่อมหา’ลัย อีกทั้งยังแต่งงานตั้งแต่ยังอยู่ในวัยสาวจากนั้นก็มีลูก
ผู้หญิงรอบๆ ตัวเธอล้วนแต่เป็นเช่นนี้…บรรดาผู้หญิงในหมู่บ้านเล็กๆ มักจะเป็นเช่นนี้กันทั้งนั้น
เดิมทีซานเอ๋อร์คิดว่าชีวิตของตนเองคงจะสงบแบบนี้ไปเรื่อยๆ สำหรับเธอแล้วการตายของสามีเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต
ดูเหมือนว่านั่นจะเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเธอ
แต่เธอก็ยังอยู่ในหมู่บ้าน ถึงโชคชะตาจะเปลี่ยนแปลงแต่ชีวิตความเป็นอยู่ก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากนัก
แน่นอน บางครั้งชีวิตก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิด รวมถึงเหตุการณ์น่าลำบากใจเกิดขึ้นบ้าง เช่นบางครั้งก็มีแม่สื่อมาสู่ขอ บางครั้งก็ได้ยินคำนินทา แต่ก็มีเรื่องดีอยู่บ้าง เช่นลูกสาวของเธอเติบโตขึ้นทุกวัน
จนตอนนี้ลูกสาวสามารถเรียกแม่ได้แล้ว ช่วยทำงานบ้านได้แล้ว ใช้ดินสอสีวาดรูปแม่ ตัวเองและทานตะวันได้
ดังนั้นชีวิตจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก เพราะความสุขและความทุกข์ก็พลัดเปลี่ยนชดเชยกันไป
ด้วยเหตุนี้ เมื่อยามที่ซานเอ๋อร์ช่วยผู้ชายคนหนึ่งขึ้นมาจากข้างแม่น้ำขณะซักผ้า ทั้งเรื่องที่เขาคนนี้ดูเหมือนคนต่างชาติ ก็เป็นเรื่องที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อน
“ฉันอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้”
ซานเอ๋อร์ไม่คิดจะเปิดเผยอะไรกับชายต่างชาติคนนี้มาก อย่างเช่น ชื่อของเธอ ที่อยู่ของเธอหรือว่าเธอคือใคร
“ที่นี่…” ซานเอ๋อร์มองรอบด้านแล้วพูดว่า “ที่นี่คือหมู่บ้านน้ำใส”
“หมู่บ้านน้ำใส?” ผู้ชายคนนั้นขมวดคิ้ว จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “คิดไม่ออก ไม่เคยได้ยิน”
“โอ้ อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้เลย คุณน่าจะตกน้ำ คุณมีเพื่อนหรือครอบครัวอยู่ใกล้แถวนี้ไหม? ฉันจะช่วยคุณติดต่อ!” ซานเอ๋อร์พูด
“ครอบครัว เพื่อน?”
ผู้ชายคนนั้นหลับตาลงทันที ส่ายหน้าด้วยหน้าตาคล้ายกำลังทรมาน “ผม…ผมคิดไม่ออก?”
ซานเอ๋อร์สองแม่ลูกสบตากันแวบหนึ่ง เด็กสาวดูเหมือนจะไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ซานเอ๋อร์ก็ฉุกคิดได้ว่า คงไม่ใช่ว่าสูญเสียความทรงจำแล้วหรอกนะ?
ผู้ชายต่างชาติคนนี้…ซานเอ๋อร์ลังเลเล็กน้อยก่อนถามว่า “คุณ…คุณจำชื่อของตัวเองได้ไหม? คุณพักอยู่ที่ไหน?”
“ผม…” ผู้ชายคนนั้นตั้งใจครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ขมวดคิ้ว “ผมไม่รู้ คิดไม่ออก”
ซานเอ๋อร์รู้สึกว่าดวงตาของผู้ชายคนนี้มีเวทมนตร์บางอย่าง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเธอ เธอไม่เคยเห็นดวงตาสวยงามแบบนี้มาก่อน หรือเพราะเขาเป็นคนต่างชาติ ดังนั้นสีตาจึงแตกต่างจากที่ตนเองเคยพบเห็นตามปกติ?
แต่ผู้ชายคนนี้กลับพูดภาษาเดียวกันกับเธอ ทั้งซานเอ๋อร์ก็ยังรู้สึกว่าสำเนียงชัดเจนมาก
หรือจะเป็นต่างชาติที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศ?
“คุณคิดไม่ออกจริงๆ เหรอ?” ซานเอ๋อพิจารณาอย่างระมัดระวังและเอ่ยถามว่า “บนตัวของคุณมีของแสดงตนไหม? หรือไม่ก็ของอย่างอื่น โทรศัพท์ล่ะ?”
“บนตัว…” ผู้ชายคนนั้นชะงัก จากนั้นก็เริ่มค้นเสื้อผ้าของตัวเอง
สายตาของชายต่างชาติแปลกประหลาดคนนี้สอดส่ายไปทั่ว ดูเหมือนกำลังหาของบางอย่าง “ไม่มีแล้ว หายไปแล้ว อยู่ที่ไหน…”
“คุณ คุณกำลังหาอะไรคะ?”
ซานเอ๋อร์กอดลูกสาวของตัวเองแน่น มองดูชายต่างชาติแปลกประหลาดคนนี้แสดงท่าทีร้อนรนเหมือนหาอะไรบางอย่างจึงถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว
อยู่ดีๆ ผู้ชายคนนั้นก็หยุด มองซานเอ๋อร์อย่างสงสัย “ผมไม่รู้ แต่ผมต้องหามัน แต่…แต่ผมคิดไม่ออกว่ามันคืออะไร ผมรู้แต่ว่ามันสำคัญกับผมมาก สำคัญมาก…”
“งั้นคุณคิดออกไหม ว่าของนั้นมีหน้าตาเป็นยังไง?” ซานเอ๋อร์เอ่ยถามออกไปอย่างลังเล
“ยาว ยาวมาก…สีแดงเข้ม…ไม่ใช่สิ ไม่ใช่…เป็นอะไรกันแน่นะ?” ชายต่างชาติขมวดคิ้วขึ้นมาและกุมหัวของตนเอง คล้ายจะทรงตัวไม่อยู่แล้ว
สุดท้าย ชายคนนั้นก็ถอนหายใจ ส่ายหน้าและพูดว่า “ขอโทษด้วย ผมลืมไปแล้ว”
ซานเอ๋อร์ครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเสนอว่า “งั้นฉันพาคุณไปสถานีตำรวจในหมู่บ้านก่อนเป็นไงคะ? บางทีตำรวจอาจจะช่วยคุณได้…”
ชายต่างชาติพยักหน้า
…
หมู่บ้านมีขนาดไม่ใหญ่มาก…จึงสามารถมาถึงประตูสถานีตำรวจได้อย่างรวดเร็ว ซานเอ๋อร์ไม่ได้เดินใกล้ชายผู้ลอยมากับแม่น้ำคนนี้มากนัก แม้เป็นเช่นนั้นแต่เธอก็ยังได้รับสายตาที่มองมาจากคนจำนวนมาก
สายตาแปลกๆ จากบรรดาเพื่อนบ้าน
เพราะชายคนนี้เป็นคนต่างชาติ ถึงพูดไม่ได้ว่าหลายปีมานี้ไม่เคยมีคนต่างชาติมาเที่ยวในหมู่บ้านเลย แต่ก็ไม่ได้พบเห็นบ่อยอย่างในเมืองใหญ่ อีกทั้งยังมาเดินอยู่ข้างตนเองอีกด้วย
“นั่น ด้านหน้าก็สถานีตำรวจแล้ว” ซานเอ๋อร์ชี้ไป จากนั้นก็พูดว่า “คุณเข้าไปเองได้เลย ตำรวจที่นี่ดีมาก คุณเล่าสถานการณ์ของคุณให้ตำรวจฟัง ฉันคิดว่าตำรวจน่าจะช่วยหาข้อมูลของคุณพบ”
ชายคนนั้นขมวดคิ้วขึ้นมากะทันหัน “คุณไม่เข้าไปงั้นหรือครับ?”
ซานเอ๋อร์พูดตรงๆ ว่า “สายแล้ว ฉันต้องกลับบ้านค่ะ”
พูดแล้วซานเอ๋อร์ก็จูงมือลูกสาวเดินเข้าไปในซอยหนึ่ง เธอหันกลับมามองแวบหนึ่ง แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น
เพราะว่าเธอไม่อยากให้ชีวิตของตัวเองเปลี่ยนแปลงอะไรอีก
ชายคนนั้นมองตามแผ่นหลังของซานเอ๋อร์ จากนั้นก็พิจารณาดูประตูของสถานีตำรวจอย่างมึนงง ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เกิดความรู้สึกแปลกๆ ที่เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจขึ้น
ดูเหมือนสัญชาตญาณของเขาจะห้ามไม่ให้ก้าวเข้าไปในสถานที่แบบนี้…เขามองไปรอบๆ และมองเห็นสายตาที่ลอบมองเขา ซึ่งเขาก็ไม่ชอบสายตาเหล่านี้เช่นกัน
เหมือนถูกจ้องมอง
ชายคนนั้นขมวดคิ้วขึ้น ขยับตัวอย่างฉับพลัน…เข้าไปในซอยที่ซานเอ๋อร์เดินจากไปซอยนั้น ฝีเท้าของเขาเร็วมาก เร็วจนไม่เห็นเงา
…
ขณะที่อ่านหนังสือพิมพ์
กุยเชียนอีหดไหล่ลง เขาแก่แล้ว อีกอย่างเพิ่งผ่านเรื่องน่าตื่นตกใจมาครั้งหนึ่ง กุยเชียนอีจึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน”
ผู้จัดการเอลิเซียมบาร์ถอนหายใจ
“ที่แท้ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน” บาร์เทนเดอร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ กุยเชียนอีพูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “ไม่ใช่เหรอ?”
กุยเชียนอี…กุยเชียนอีทำได้เพียงพลิกหน้าต่อไป
“ผู้จัดการ มา ดื่มน้ำสักหน่อยเถอะ!” บาร์เทนเดอร์รู้สึกเหมือนตัวเองพูดอะไรผิดไป จึงรีบรินชามาให้แก้วหนึ่ง
กุยเชียนอีใช้ฝาถ้วยชาคั่นใบชาและดื่มอึกหนึ่ง แล้วถึงกลับคืนสู่ความสบาย
“วันเวลาที่สงบนั้นดีจริงๆ” กุยเชียนอีผ่อนลมหายใจ จากนั้นก็ถามอย่างแปลกใจว่า “นั่นมันอะไร?”
บาร์เทนเดอร์มองตามสายตาของกุยเชียนอีไป ก็เห็นพื้นของบาร์มีเสาเหล็กหลายแท่งตั้งขึ้นมา “อ๋อ! เถ้าแก่บอกให้ทำเสาเหล็กเพื่อใช้เต้นรูดเสา!”
“งั้นหรือ” กุยเชียนอีพยักหน้า แต่ทันใดนั้นก็แปลกใจขึ้นมาอีกและถามว่า “แต่ทำไมเสาอันนั้นถึงดูน่าเกลียดขนาดนี้?”
เหมือนคบไฟที่ขึ้นสนิม ดำขมุกขมัว…แต่ก็ดูยาวกว่าคบไฟมาก
“ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อเช้าข้าเก็บได้ตรงหน้าประตู”
บาร์เทนเดอร์ยักไหล่และเอ่ยว่า “เถ้าแก่บอกจะทำสี่เสา แต่ข้าหาท่อเหล็กเจอแค่สามเสา ดังนั้นจึงใช้ของนั่นแทนไปก่อน ผู้จัดการ หากข้าหาของที่เหมาะกว่านี้ได้จะรีบเปลี่ยนทันที!”
แต่กุยเชียนอีกลับส่ายหน้าพูดว่า “ไม่ต้องแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ความสนใจประเดี๋ยวประด๋าวของเจ้าบ้าซุนเสี่ยวเซิ่ง ผ่านไปอีกเดี๋ยวก็จะลืมไปเอง ถึงจะน่าเกลียดและบางไปหน่อย แต่จะมีปีศาจที่ไหนรู้จักการเต้นรูดเสาอะไรนั่นกัน? ไม่เห็นต้องสิ้นเปลือง ใช้อันนั้นแล้วก็ใช้ไปเถอะ! คนหนุ่มนี่จริงๆ เลย ฟุ่มเฟือยนัก!”
บาร์เทนเดอร์ไม่กล้าเรียกเถ้าแก่ของตนเองว่าเจ้าบ้า แต่ก็ไม่กล้าล่วงเกินกุยเชียนอี จึงรีบยิ้มและพูดว่า “ท่านผู้เฒ่าพูดถูก! เช่นนั้นก็ใช้ต่อเถอะ!”
…
…
ครั้งนี้มีเพียงซูจื่อจวินคนเดียวเดินเข้ามา
เจ้าของสมาคมกำลังรดน้ำใส่ดินเพาะในกระถางเล็กๆ อันหนึ่ง เขาไม่ได้แปลกใจที่ไม่เห็นปีศาจผีเสื้อน้อยมาด้วย
โยวเย่ยิ้ม พยักหน้าทักทาย “คุณหนูจื่อจวิน ยินดีต้อนรับค่ะ”
“อย่ามัวแต่พูดไร้สาระ” ซูจื่อจวินมองเจ้าของสมาคมแวบหนึ่งและพูดตรงๆ ว่า “พวกเจ้าเตรียมออกเดินทางเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปสุสาน”
หลังจากซูจื่อจวินพูดว่าจะใช้วิญญาณชั่วร้ายในสุสานเป็นของแลกเปลี่ยนนั้น เจ้าของสมาคมลั่วก็รู้ความจริงของสุสานผ่านแท่นบูชาแล้ว
หากไม่มีซูจื่อจวินนำทาง คนอื่นอย่าพูดถึงการเปิดเลย แม้แต่เสาะหาตำแหน่งก็เกรงว่าจะทำไม่ได้ ซึ่งแน่นอนว่าไม่รวมเจ้าของสมาคม
เพียงแต่วิญญาณชั่วร้ายในหลุมฝังศพนั้นเป็นของแลกเปลี่ยนและเจ้าของยอมที่จะเปิดมันเอง เจ้าของสมาคมลั่วผู้มีมารยาทจึงไม่ยอมออกแรงเอง
“โยวเย่ เธอเฝ้าร้านเถอะ ฉันจะไปกับคุณหนูจื่อจวิน” ลั่วชิวสั่งออกมา
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วชิวแล้ว ซูจื่อจวินก็หันกายในทันทีและพูดว่า “พวกเราไปทางน้ำและออกทะเล ข้าจะไปรอเจ้าที่ใต้สะพานแม่น้ำตะวันออก ตัวเจ้าเองเตรียมตัวหน่อยเถอะ ไปกลับในครั้งนี้ต้องใช้เวลาถึงสี่ห้าวัน”
“คุณหนูจื่อจวิน” ทันใดนั้นลั่วชิวก็ร้องเรียกเอาไว้
“ยังมีเรื่องอะไรอีก?” ซูจื่อจวินขมวดคิ้วคล้ายรำคาญ
ลั่วชิวยิ้มและเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้น”
…
ภาพตรงหน้ามืดลง เย็น มืดมิด หลังจากได้สติซูจื่อจวินก็พบว่าตัวเองมาอยู่ใต้น้ำอันมืดมิดแล้ว
เธอรู้สึกได้ว่าสุสานอันนั้นของเธออยู่ไม่ไกลจากที่นี่
มาถึงที่นี่โดยไม่ให้สุ้มให้เสียง…นี่ดูน่ากลัวยิ่งกว่าทะลวงขอบฟ้าของหลงซีรั่วไม่รู้ตั้งกี่เท่า! อีกอย่างเธอก็มองไม่เห็นว่าเจ้าของสมาคมผู้นี้ได้รับผลกระทบอะไรด้วย
ส่วนเขาในตอนนี้กำลัง…มองสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึก
“นั่นคือปลาแองเกลอร์ใช่ไหมครับ?”
เจ้าของสมาคมมองดูอย่างสนใจ