บทที่ 6 บทที่ 39 กอดกันไปเจ็ดร้อยปี

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

แม้ที่นี่จะอุดมไปด้วยสิ่งมีชีวิตหายากในทะเลตื้น และก็มีบางชนิดซึ่งไม่เคยถูกค้นพบโดยมนุษย์ แต่ซูจื่อจวินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร 

 

ดังนั้นเธอจึงไม่เข้าใจ ว่าทำไมเจ้าของสมาคมผู้นี้จึงดูสนอกสนใจเหมือนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกอย่างนี้ 

 

เพียงแค่คิดก็สามารถข้ามแผ่นดินและทะเลมาถึงใต้ทะเลลึกได้…ผู้ชายที่มีความสามารถใกล้เคียงกับปาฏิหาริย์เช่นนี้จะไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้งั้นหรือ? 

 

ซูจื่อจวินยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจเจ้าของสมาคมผู้ลึกลับคนนี้และแน่นอนว่าเธอก็ไม่มีความคิดที่จะไปทำความเข้าใจเขา 

 

เธอรอเพียงจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนเสร็จแล้วก็จะรีบออกไปจากที่นี่ 

 

ร้านค้าแห่งนี้สะดวกมากจริงๆ คิดอยากได้อะไรเพียงแค่จ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนก็ได้รับสิ่งนั้นในทันที…ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่หลังจากอยู่มานานหลายปี ซูจื่อจวินกลับไม่คิดว่าการค้าขายเช่นนี้จะเป็นสิ่งที่ดี 

 

 “หากเจ้าต้องการถ่ายรูปก็รอให้เจ้ามาที่นี่เองแล้วค่อยถ่ายจะได้หรือไม่?” ในที่สุดซูจื่อจวินก็ไม่อาจระงับความรำคาญในใจลงได้ 

 

 “อา…ขอโทษด้วยครับ” ลั่วชิวกล่าวขอโทษ “เพราะเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกจึงสติหลุดไปหน่อย…อืม ที่นี่เป็นที่ที่ดีจริงๆ” 

 

แน่นอนสำหรับนักศึกษาที่เรียนสาขาวิชาสัตว์และพืชดึกดำบรรพ์อย่างเจ้าของสมาคมลั่วแล้ว สิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกเช่นนี้ทำให้เขาสนใจได้ 

 

ครั้งแรกที่เห็น? หลอกกันหรือไง? ซูจื่อจวินไม่เชื่อคำพูดเหล่านี้ของเขา…เธอสบถเบาๆ แล้วหันพุ่งไปยังทะเลลึกด้านหน้า 

 

ลั่วชิวก็ตามไปด้านหลัง 

 

หากพูดอย่างจริงจัง ตำแหน่งสะดือทะเลที่สุสานแห่งนี้ตั้งอยู่นั้นยังไม่ถือว่าอยู่ในโซนทะเลลึกจริงๆ และดูเหมือนว่าจะไม่มีทรัพยากรที่คุ้มค่าสำหรับการใช้ประโยชน์ของมนุษย์อยู่ในบริเวณใกล้เคียง…แต่เจ้าของสมาคมก็ยังมองเห็นซากเรือจมอยู่บ้าง 

 

 “เหมือนที่นี่เคยมีการต่อสู้รุนแรงบนทะเล” 

 

 “เจ้าอยากถ่ายรูปอีกแล้วหรือ?” ซูจื่อจวินถามตรงๆ 

 

ลั่วชิวยิ้มและมองไปข้างหน้า แม้ว่าไม่มีแหล่งกำเนิดแสง แต่เขาก็มองเห็นจุดเรืองแสงสีฟ้าหลายจุด ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกบางชนิดที่ยังไม่เคยถูกค้นพบ 

 

ข้างหน้าเป็นร่องทะเลขนาดใหญ่ ปลายทั้งสองแคบแต่ตรงกลางค่อนข้างกว้าง ถึงแม้ว่าขอบของร่องทะเลจะถูกน้ำทะเลกัดกร่อนมาเป็นเวลาหลายปีจนมีริ้วรอยเหมือนคนชรา แต่ยังสามารถมองเห็นว่ามันเป็นเส้นตรง 

 

เหมือนรูปเพชรที่แบนราบมากอันหนึ่ง 

 

 “ที่นี่มีโครงกระดูกอยู่ไม่น้อยเลย” ลั่วชิวยืนบนขอบของร่องลึกและมองลงไป จากนั้นก็ถามอย่างสงสัยว่า “กระดูกด้านล่างเหล่านั้นดูไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตในทะเลทั่วไปเลย” 

 

ซูจื่อจวินตอบว่า “นั่นคือปีศาจทะเล เป็นชนิดที่กลายเป็นปีศาจอยู่ในทะเล นับตั้งแต่โบราณมามักจะมีปีศาจทะเลก่อความวุ่นวายสร้างคลื่นลมใกล้ชายฝั่งของแผ่นดินเทพเป็นประจำ” 

 

ทันใดนั้นลั่วชิวก็พูดขึ้นว่า “มาถึงปัจจุบันก็คงสูญพันธุ์แล้ว อย่างน้อยดาวเทียมของมนุษย์ก็ไม่เคยถ่ายภาพสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดอะไรได้” 

 

ซูจื่อจวินมองลั่วชิวอย่างใจเย็นแวบหนึ่ง “ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ปีศาจในทะเลลึกเริ่มสูญพันธุ์ เจ็ดร้อยปีก่อน ใต้ทะเลลึกเคยมีราชาปีศาจทะเลที่มีชีวิตอยู่มายาวนานตนหนึ่ง ซึ่งเผชิญหน้ากับการสูญพันธุ์ของปีศาจทะเลภายใต้การปกครองโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงนำพาปีศาจทะเลพยายามจะบุกขึ้นมาบนแผ่นดิน ทำให้เกิดสงครามใหญ่ระหว่างนักพรต ปีศาจทะเลและพวกเราปีศาจบนแผ่นดินเทพ…หลังจากสงครามสิ้นสุด นักพรตของเผ่ามนุษย์ก็เริ่มลดจำนวนลงและเผ่าพันธุ์ปีศาจของพวกเราก็เริ่มมีจำนวนลดลงเช่นเดียวกัน…ส่วนปีศาจทะเลนั้นน่าจะสูญพันธุ์ไปทั้งหมด” 

 

ซูจื่อจวินส่ายหน้า “ไม่พูดแล้ว ถึงอย่างไรหากเจ้าต้องการรู้ก็สามารถรู้ได้อยู่แล้ว ลงไปเถอะอย่าเสียเวลาอีกเลย” 

 

พูดแล้วซูจื่อจวินก็ไม่รอให้ลั่วชิวได้พูดอีก เธอกระโดดเข้าไปในร่องทะเลทันที 

 

เจ้าของสมาคมลั่วชะงัก ไม่ได้ถามต่อ…และลั่วชิวก็คิดว่าตนเองไม่สามารถพูดออกไปได้ว่า หากคุณพูดแล้ว ผมก็ไม่ต้องเสียทรัพยากรไปซื้อข้อมูลไง…  

 

ขอบเขตของร่องทะเลเป็นเหมือนสมรภูมิรบแห่งหนึ่งที่ขยายกว้างตั้งไม่รู้กี่เท่า มีซากโครงกระดูกถูกฝังเอาไว้ที่นี่เป็นจำนวนมาก แต่ส่วนมากจะฝังอยู่ในโคลนเผยซากโครงกระดูกออกมาให้เห็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กน้อยเท่านั้น แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็เพียงพอให้คนรับรู้ว่าโครงกระดูกเหล่านี้มีมากน้อยขนาดไหน 

 

ซูจื่อจวินพบว่าเจ้าของสมาคมผู้นี้หยุดลงอีกแล้ว…เจ้าบ้านี่คิดว่ามาเที่ยวงั้นหรือ? 

 

เห็นเพียงลั่วชิวหยุดอยู่หน้าโครงกระดูกขาวกองหนึ่ง ทั้งยังยื่นมือออกไปปัดโคลนออกจากโครงกระดูกกองนี้อีก 

 

 “เจ้าต้องการจะไปเอาของหรือไม่?” ซูจื่อจวินรู้สึกรำคาญขึ้นมา 

 

มักพูดว่าคนเป็นหนี้นั้นเหมือนเป็นเจ้านาย*…แต่คุณหนูปีศาจเฒ่าซูจื่อจวินผู้นี้กลับรู้สึกเหมือนตนเองขอร้องให้คนมาทวงหนี้! 

 

 “คุณหนูจื่อจวิน ไม่รู้สึกว่าโครงกระดูกสองร่างนี้น่าสนใจงั้นหรือครับ?” ลั่วชิวเอ่ยถามเบาๆ 

 

 “สองร่าง?” ซูจื่อจวินชะงัก ขมวดคิ้วขึ้น “ไม่ได้เป็นเพียงซากโครงกระดูกพังกองหนึ่งงั้นหรือ? มีอะไรน่าดู?” 

 

ลั่วชิวพูดอย่างสงบว่า “ถึงแม้พวกเราจะไม่รู้ว่าตอนพวกมันมีเลือดมีเนื้อนั้นมีลักษณะยังไง และไม่รู้ว่าตอนมีชีวิตนั้นพวกมันทำอะไรบ้าง แต่อย่างน้อยสิ่งที่พวกเรามองเห็นได้ในตอนนี้ก็คือ แม้จะตายไปเจ็ดร้อยปี แต่กระดูกของพวกมันก็ยังคงรวมเป็นหนึ่ง” 

 

จากโครงกระดูกแล้วเหมือนเป็นงูชนิดหนึ่ง แต่ก็มีโครงสร้างที่แปลกอยู่มาก สรุปแล้วมีรูปร่างยาว 

 

โครงกระดูกสีขาวทั้งสองที่ควรแยกกัน กลับพัวพันกันอย่างใกล้ชิดเหมือนเป็นร่างเดียวกัน 

 

 “ถึงตายไปเป็นเจ็ดร้อยปี ก็ยังกอดอีกฝ่ายแน่น” ลั่วชิวพูดเบาๆ “เป็นตายร่วมกันไม่ดีงั้นหรือครับ?” 

 

ซูจื่อจวินยิ้มเยาะเอ่ยว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านี่เป็นตายร่วมกัน? ไม่ใช่พวกมันกลืนกินกันจนตายไปทั้งคู่?” 

 

 “สัตว์ประหลาด…” ทันใดนั้นลั่วชิวก็เอ่ยขึ้น “ถ้าหากเป็นเผ่าเดียวกันจะกลืนกินกันด้วยหรือครับ? ดูจากโครงกระดูกของพวกมันแล้ว น่าจะเป็นชนิดเดียวกัน” 

 

ซูจื่อจวินก็ไม่มีวิธีจะโต้กลับความเป็นจริงนี้ แต่ก็ไม่ยอมคล้อยตามความคิดของเจ้าของสมาคมง่ายๆ จึงพูดว่า “บางทีอาจจะเป็นพี่น้อง หรือพ่อลูก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเช่นนี้แล้วหรือเจ้ายังทำให้พวกมันกลับคืนสู่สภาพเดิมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ของพวกมันอีก?” 

 

 “ประมาณนั้นครับ” 

 

ลั่วชิวมองโครงกระดูกขาวสองร่างที่กอดกันแล้วเข้าไปใกล้อย่างฉับพลัน ตอนที่มาถึงบริเวณส่วนล่างของพวกมัน ซึ่งเป็นบริเวณที่มีกระดูกแหลมจำนวนมากปิดซ่อนอยู่ ลั่วชิวทำความสะอาดโคลนรอบๆ อย่างระมัดระวัง “เป็นอย่างที่คิด…”  

 

ซูจื่อจวินไม่สามารถระงับความสงสัยได้ จึงเข้ามาใกล้และเห็นเพียงภายในกระดูกแหลมเหล่านั้นยังมีโครงกระดูกเล็กๆ อยู่อีกร่างหนึ่ง “นี่คือ…” 

 

 “ลูกของพวกมัน” 

 

ลั่วชิวเงยหน้าขึ้นมองหัวของโครงกระดูกขนาดใหญ่ทั้งสองร่าง 

 

ซูจื่อจวินรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่ทราบสามเหตุอย่างฉับพลัน รู้สึกเหมือนถูกคนใช้ของอะไรบางอย่างแทงหัวใจทำให้…อึดอัดทรมาน 

 

เธอถามอย่างเผลอไผล “อย่างไร? แม้พวกมันรักกันตราบสิ้นลมหายใจ ตอนตายก็ยังกอดกันแน่น…หรือเรื่องนี้ดึงดูดให้พ่อค้าที่เห็นแก่ประโยชน์อย่างเจ้าสงสารได้อย่างนั้นหรือ?” 

 

 “ผมเพียงแค่คิดว่า…” ลั่วชิวถอนสายตากลับ “พวกมันในตอนนั้นเป็นยังไง” 

 

พอมองในดวงตายากหยั่งถึงของลั่วชิวแล้ว ซูจื่อจวินก็สติหลุดไปชั่วครู่…ไม่ได้จมลึกลงไปในนั้น เพียงแต่ตระหนักถึงบางอย่างได้ในทันใด 

 

เขาไม่ได้มองโครงกระดูกปีศาจทะเลเหล่านี้ในมุมมองของเผ่าปีศาจเช่นที่เธอมอง และก็ไม่ได้มองดูทุกอย่างเหล่านี้ในมุมมองของปีศาจทะเล 

 

ยิ่งไม่เหมือนเผ่ามนุษย์ที่มองเป็นการต่อสู้ระหว่างเผ่าอื่น 

 

ไม่มีความเมตตาหรือเห็นอกเห็นใจ มีเพียงร่องรอยของความเสียดาย แต่ก็ไม่ใช่เพราะชีวิตไหลผ่านไป…ดูว่าเขาเป็นคนนอกขวดกำลังมองทุกอย่างในขวด 

 

ความรู้สึกกลัวที่ยากอธิบายได้ห่อหุ้มทั้งร่างกายของซูจื่อจวิน ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้เห็นเหวลึกที่ลึกยิ่งกว่าร่องลึกใต้ทะเลเสียอีก 

 

 “ไปเถอะ! เจ้าไม่รีบแต่ข้ารีบ!” ทันใดนั้นซูจื่อจวินก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา น้ำเสียงค่อนข้างเข้มแต่ก็แฝงด้วยความกังวล 

 

เมื่อเห็นซูจื่อจวินก้าวไปข้างหน้าต่อ ลั่วชิวก็ไม่พูดอะไรเพียงแต่หันไปเผชิญหน้ากับโครงกระดูกขนาดใหญ่สองร่างและโครงกระดูกเล็กหนึ่งร่าง ก่อนยื่นมือออกไปทำให้ซากกระดูกของพวกมันจมลงไป ปล่อยให้โคลนครอบคลุมทุกอย่างของพวกมันอีกครั้ง 

 

เจ้าของสมาคมลั่วกล่าวลาเบาๆ ว่า “ขอโทษด้วย ผมรบกวนพวกคุณแล้ว” 

 

 

 

*คนเป็นหนี้นั้นเหมือนเป็นเจ้านาย เปรียบเทียบว่าคนเป็นหนี้นั้นมักจะทวงยากและเหมือนเป็นเจ้านาย