ของขวัญชิ้นหนึ่ง
ปรมาจารย์ซุนตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขาเคยเจอรูปแบบสวนมามากมายแต่ไม่เคยเห็นสวนที่ให้ความรู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่เขาเองก็ยังรักษาอาการเอาไว้ก่อนที่จะหันไปจ้องซูจิ้งอย่างตั้งใจ ความรู้สึกเคยดูถูกสวนของซูจิ้งผ่านสายตาก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนเป็นชื่นชมในทันที ทันใดนั้นเขาได้โค้งให้ซูจิ้งก่อนจะพูดออกมาอย่างแข็งขันว่า “คุณซู ก่อนหน้านี้ที่ผมทำเรื่องเสียมารยาทไปต้องขอโทษด้วยครับ ว่าแต่คุณทำได้ยังไงกัน ทั้งการจัดวาง ทั้งสถานที่ และการออกแบบมันดูไม่สมมาตร ไม่ได้สัดส่วน ไม่มีความสอดคล้องทางสายตาจนเกิดความสุนทรี แต่ทำไมมันถึงออกมาดูดีขนาดนี้ได้กัน”
“ความสมมาตร สัดส่วน ความสอดคล้องทางสายตา อืมมมมม บอกว่าไงดีหล่ะ
ในธรรมชาติคุณต้องสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรอ คนส่วนใหญ่เขาก็แค่อยากได้สวนที่ทำให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติและรู้สึกถึงความสวยงามของธรรมชาติแค่นั้นเองนี่” ซูจิ้งพูดออกไปอย่างเรียบง่ายแต่ฟังดูสุขุมนุ่มลึก
ปรมาจารย์ซุนตาเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินคำพูดของซูจิ้ง ก่อนหน้านี้เขาคิดเสมออาว่าตัวเองเก่งที่สุดในงานสายนี้แต่พอเขาได้ฟังประโยคนี้เข้าไปมันเหมือนกลับมีคลื่นลูกใหญ่ไปกระแทกที่หัวใจของเขา “อย่างนี้นี่เอง คุณซูได้เข้าใจการจัดสวนอย่างท่องแท้แล้วเข้าสู่ความรู้สึกที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาตินี่เอง คุณซูคือปรมาจารย์หนุ่มผู้ซึ่งสามารถกลับคืนสู่ธรรมชาติได้แล้วสินะ ก่อนหน้านี้ผมตาบอดจริงๆที่ได้สบประมาทคุณไป”
ปรมาจารย์ซุนได้ก้มหัวอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียหนักแน่นว่า “ขอบคุณที่สอนสั่งครับ”
ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “สอนสั่งอะไรกันผมก็แค่ชอบธรรมชาติแค่นั้นเอง”
“ฉันเองก็ควรจะอ่อนน้อมมากกว่าเชื่อฟังสินะ” เฉียนจานฮวงนึกคิดขึ้นมาในใจก่อนที่จะพูดออกมาว่า “คุณซู ในเมื่อเรื่องนี่ก็เสร็จแล้ว เรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า คุณมาที่นี่ต้องการให้ผมช่วยอะไรงั้นหรอ แค่คุณพูดผมจะไม่ปฏิเสธที่จะช่วยคุณอย่างแน่นอน”
“นี่…” ซูจิ้งเองก็คิดว่าเตรียมตัวมาดีแล้ว แต่เขาก็ยังไม่แสดงฝีมือเต็มที่เลย เขาแค่ช่วยเฉียนจานฮวงจัดสวนนิดหน่อยเพื่อจะแสดงให้เห็นเฉยๆว่าเขาทำทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย การช่วยเหลือนี่เพียงเรื่องเล็กน้อยเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาจะขอตัวหลัวเทียนฟู่เลยซักนิด คิดไม่ถึงว่าเขาจะโดนเฉียนจานฮวงถามตรงๆ ในเมื่อเขาบ่ายเบี่ยงไม่ได้เขาก็จะเลือกที่จะเผชิญหน้าตรงๆแทน พอคิดได้ดังนั้นจีงพูดออกไปว่า “ผมหวังว่าจะไม่ทำให้คุณเฉียนรู้สึกแย่นะที่พูดแบบนี้ออกมา อันทีจริงผมอยากจะขอคนๆนึงจากคุณน่ะ”
“โอ้…” เฉียนจานฮวงตกใจเล็กน้อยก่อนจะถามไปว่า “ใครงั้นหรอ”
“หลัวเทียนฟู่” เฉียนจานฮวงประหลาดใจในทันที เขาไม่คิดว่าซูจิ้งจะมาที่นี่ด้วยเรื่องนี้ เขาหันไปมองที่หยินหนิงและไจบิงและเงียบไปซักพัก
“คุณเฉียน ผมรู้ว่านี่เป็นเรื่องอยากสำหรับคุณ เอาอย่างนี้ดีกว่าถ้าคุณยอมผมมีของง….” ซูจิ้งพูดยังไม่ทันจบดี เฉียนจานฮวงก็โพล่งออกมาว่า
“ฮ่าฮ่า ตกลง เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” เฉียนจานฮวงหัวเราะออกมา
“ห้ะ…” ซูจิ้งนิ่งอึ้งไป
เขาไม่คิดว่าเฉียนจานฮวงจะตบปากรับคำเร็วขนาดนี้ ทั้งเฉียนหยินหนิงและเฉียนไจบิงเองก็ตกใจเช่นกัน
แต่ไม่นานก็เริ่มตั้งสติ ต่างคิดไปว่าที่พวกเขากังวลกันก่อนหน้านี้จะกังวลไปเพื่ออะไร
พวกเขานั้นต้องการตอบแทนอยู่แล้ว เอาจริงๆก็พร้อมจะตอบแทนมากกว่านี้ นับประสาอะไรกับเรื่องของหลัวเทียนฟู่
“หลัวเทียนฟู่น่ะเป็นอัจฉริยะของจริงเลยนะ แต่ช่วงหลายปีมานี้เขานั้นไม่ได้ทำให้สถาบันได้กำไรเท่าไหร่ ฉันไม่มีปัญหาแน่นอน และที่สำคัญที่สุด” “ตอนนี้สถาบันเริ่มติดตัวแดงแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า” เฉียนจานฮวงพูดเสร็จก็หัวเราะออกมายกใหญ่
ซูจิ้งยิ้มขึ้นมาทันที ซูจิ้งนั้นได้ใช้พลังจิตอ่านออร่าวิญญาณของเฉียนจานฮวงที่แผ่ออกมา
เขารู้ว่าที่เฉียนจานฮวงพูดออกมาแบบนี้เพื่อให้เรื่องมันง่ายขึ้น
เขาเองก็ยังคงให้ความสำคัญต่อหลัวเทียนฟู่เพราะว่าคนอย่างหลัวเทียนฟู่ใช่ว่าจะไปชวนมาทำงานได้ง่ายๆ
แต่ที่เขายอมก็เพื่อตอบแทนซูจิ้งที่มีน้ำใจต่อตระกูลเฉียน
เมื่อซูจิ้งเห็นอย่างนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกดีต่อเฉียนจานฮวงอย่างมาก คนผู้นี้เหมาะกับการคบหาเป็นมิตรสหายจริงๆ (ยอมกรีดเลือดแทนคุณ)
“ขอบคุณครับ คุณเฉียน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความจริงใจ
“เอาน่า แต่ยังไงก็เรื่องนี้คุณต้องไปคุยกับหลัวเทียนฟู่ด้วยตัวคุณเองนะ
ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้คุณดึงตัวเขาไปหรอก
แต่เขานั้นก็เป็นแค่เพื่อนร่วมงานไม่ใช่ทาสของผม ผมเองก็บังคับเขาไม่ได้เหมือนกันว่าจะยอมไปกับคุณรึเปล่า” เฉียนจางฮวงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขานั้นยินยอมให้หลัวเทียนฟู่ไปจริงๆ แต่เขาก็รู้จักนิสัยของหลัวเทียนฟู่ดีและไม่คิดว่าหลัวเทียนฟู่จะยอมไปง่ายเหมือนกัน
“แน่นอนอยู่แล้วครับ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ เขาเองก็คิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ตอนที่เห็นข้อมูลของหลัวเทียนฟู่แล้ว หลัวเทียนฟู่นั้นนอกจากจะมีพรสวรรค์แล้วยังเป็นคนที่หนักแน่นและเชื่อใจได้ ถ้าเขานั้นยังดึงตัวมาไม่ได้แล้วใครจะได้อีกล่ะ
“ให้ผมพูดตรงๆเลยนะ ความจริงผมมาที่นี่ก็มาพร้อมกับมาของขวัญติดไม้ติดมือชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่ไม่คิดว่าคุณเฉียนจะยินยอมเร็วขนาดนี้ นี่ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นใหญ่สำหรับผม แถมคุณเองก็ถือได้ว่ามอบให้ผมก่อนซะด้วย ไหนๆผมก็เอามาแล้วคุณเฉียนก็รับไว้แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“คุณซู คุณเป็นคนช่วยชีวิตพ่อของผมกับไจบิงเลยนะ แถมคุณยังจัดสวนแบบพิเศษให้ผมอีก ถ้าเทียบกันแล้วการยอมปล่อยตัวหลัวเทียนฟู่ให้คุณนี่แทบเทียบกันไม่ได้เลย” เฉียนจานฮวงยกมือขึ้นห้าม
“ไม่ ไม่ นั่นก็ส่วนนั่น นี่ก็ส่วนนี่ครับ คนละเรื่องกัน” ซูจิ้งยังพยายามที่จะให้อยู่ดี
“เราก็คนเองงั้นผมก็ขอพูดกันตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมเลยนะ ผมเองก็ไม่ได้ขาดเงินหรือชอบการสะสมซักเท่าไหร่นักหรอก แล้วผมจะมีของอะไรที่ผมอยากได้กันล่ะ” เฉียนจานฮวงพูดออกมา
“ไม่ก็ไม่ใช่ของขวัญแบบนั้นซักทีเดียวหรอกครับ ว่าแต่ลูกชายของคุณเฉียนนี่ผมได้ข่าวมาว่าเขาพอจะมีความสามารถทางด้านว่ายน้ำจนกระทั่งเข้าชมรมว่ายน้ำได้เลยใช่ไหมครับ” ซูจิ้งพูดพลางยิ้มกว้างออกมา ทำให้ทุกคนต่างพากันงงเป็นไก่ตาแตกเพราะไม่รู้ว่าทำไมซูจิ้งถึงพูดเรื่องนี้ออกมา
ภรรยาของเฉียนจานฮวงได้พูดออกมาว่า “ความจริงแล้วลูกชายคนเล็กของพวกเราไม่ได้มีทักษะเรื่องนี้เลยซักนิดน่ะ เขาแค่อยากจะว่ายน้ำเฉยๆแค่นั้นเอง
ตอนแรกพวกเราก็ไม่เห็นด้วยเพราะเราอยากให้เขาตั้งใจเรียนเผื่อจะได้มาช่วยงานที่บ้านได้บ้าง แต่พูดยังไงเขาก็ไม่ฟังท่าเดียวแถมยังต่อต้านเราจนถึงขั้นทะเลาะกันซะอีก
ตอนหลังเราเริ่มนึกถึงว่าอยากให้เขามีความสุขมากกว่าสิ่งอื่นใดเราก็เลยเลิกห้ามเขาไป ถ้าเขาได้รางวัลมาบ้างก็ดี แต่ในวงการว่ายน้ำเองก็มีคนที่มีทักษะว่ายน้ำอยู่มากมายที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
ไม่ต้องพูดถึงทีมชาติเลยแค่ติดตัวจริงในการแข่งระดับจังหวัดนี่ก็ดีแล้ว”
ภรรยาของเฉียนจานฮวงเองก็ตั้งความหวังไว้กับลูกชายเช่นดียวกับครอบครัวอื่นๆ แล้วยิ่งเป็นครอบครัวในตระกูลใหญ่ด้วยแล้วถ้าไปได้ไม่ถึงตัวจริงระดับทีมชาติหรือลงแข่งระดับโอลิมปิกก็ถือว่าเสียเวลาเปล่า ให้กลับมาทำงานช่วยที่บ้านยังดีซะกว่า
เฉียนจานฮวงเองก็ได้พูดขึ้นมาว่า “ผมก็ไม่รู้ว่าคุณซูจะถามทำไมแต่เขาจะกลับมาบ้านเย็นนี้น่ะ”
ซูจิ้งยิ้มกว้างก่อนที่จะพูดออกมาว่า “เอาเป็นว่ารอเขากลับมาก่อนดีกว่า ถ้าเป็นไปได้คุณก็โทรบอกให้เขากลับมาที่บ้านให้เร็วที่สุดละกัน”
ทุกคนเมื่อได้ยินยิ่งพากันงงมากกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเฉียนจานฮวงก็ยังโทรไปบอกลูกชายของเขาตามที่ซูจิ้ง หลังจากคุยกันลูกชายปอกกับเฉียนจานฮวงว่าจะถึงบ้านในหนึ่งชั่วโมง ซูจิ้ง เฉียนไจบิง และเฉียนหยินหนิงเลยเลือกที่จะอยู่รอที่นี่ หลังจากนั้นประมาณ 40 นาที ได้มีรถบีเอ็มดับบิวมาจอดและได้มีเด็กหนุ่มตัวสูงก้าวออกมาจากรถ