มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 597
“นี่น่ะหรือที่เรียกว่าโชคชะตาเล่นตลก?”

จากกันมานานหลายปี ไม่มีข่าวคราวใด ๆ ลู่เมิ่งเหยาทราบดีว่า ระหว่างตนและหลัวซิวนั้น ได้เกิดช่องว่าขึ้นมากมายแล้ว

นางคิดว่าตนเป็นปลาทะยานข้ามประตูมังกร กลับพบว่ามังกรแท้ที่สามารถทะยานขึ้นสู่เก้าสวรรค์ได้นั้น ไม่ใช่ตนเอง แต่ยังคงเป็นหลัวซิว……

โลกแสงดาวนั้นกว้างใหญ่ไพศาล การฝึกยุทธ์สามารถเพิ่มอายุขัย ยอดฝีมือในโลกยุทธ์มากมายที่มีอายุขัยมากกว่าสองร้อยปี

ชีวิตที่ยาวนาน บวกกับความสามารถในการสืบพันธุ์อันแข็งแกร่งของมนุษย์ ฐานประชากรของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เป็นตัวเลขที่ทำให้คนยากที่จะจินตนาการได้

ภายใต้ฐานประชากรของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่มากมายเช่นนี้ แม้ว่าความน่าจะเป็นที่จะเกิดอัจฉริยะขึ้นมานั้นจะน้อยมาก แต่ก็มีบุคคลที่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งปรากฏตัวขึ้นในทุก ๆ ปี

ภายใต้การแข่งขันของเหล่าอัจฉริยะมากมาย มีคนชนะ ก้าวหน้าขึ้นมาอีกขั้น มีคนพ่ายแพ้ และไม่อาจฟื้นตัวขึ้นมาได้อีก

หลังจากที่ได้ผ่านการทดสอบมาอย่างหนัก ผู้ที่สามารถอดทนมาได้และมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมานั้น ต่างเป็นยอดฝีมือที่แท้จริงของคนในรุ่นเดียวกัน คือธิดาที่เป็นความภาคภูมิใจของสวรรค์ เป็นโอรสสวรรค์ที่แท้จริง!

การที่หลัวซิวเอาชนะหลี่จ้านนั้นทำให้ผู้คนตกตะลึง แต่ก็ไม่ได้เป็นที่จับตามองอะไรมากนัก จากการประลองในครั้ง ความสามารถของเขานั้นเป็นที่ยอมรับจากทุกคนก็จริง แต่พวกอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์บางพวก แข็งแกร่งมากเกินไปจริง ๆ

ในจำนวนนั้นถึงขั้นมีบางคนที่มีผลการฝึกตนบรรลุถึงระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ดขึ้นไป ไม่เพียงสูงกว่าหลัวซิวในหนึ่งระดับแดนใหญ่ ร่างกายของพวกเขาก็ล้วนเป็นอัจฉริยะที่สามารถสู้ข้ามระดับได้ ความแตกต่างในนั้น ไม่สามารถที่จะเทียบกันได้เลยสักนิด

แต่ก็ยังมีผู้คนจำนวนมากที่คิดว่า มีความเป็นไปได้ที่หลัวซิวจะติดยี่สิบอันดับ สำหรับเรื่องที่เขาอยากจะติดสิบอันดับแรกนั้น กลับยังมีอุปสรรคอยู่ไม่น้อย

นอกจากนี้แล้วหลัวซิวยังได้สังเกตเห็นซางหลันในชุดสีม่วงผู้นั้น ตั้งแต่ต้นจนจบคนผู้นี้ไม่ได้ลงมือเลยสักครั้ง แต่กลับมีชื่อเสียงมากในอาณาจักรตะวันออก เคยประมือกับอัจฉริยะมากมาย และไม่เคยแพ้มาก่อน

ในภัตตาคารเทียนอีเมื่อตอนนั้น คนที่ยกจอกให้กับหลัวซิว ก็คือเขานั่นเอง

“กระแสพลังชีวิตของคนผู้นี้แรงกล้ายิ่งนัก ผลการฝึกตนอย่างน้อยอยู่ที่ระดับมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด”

หลัวซิวมองดูซางหลันผู้นั้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็เก็บสายตากลับคืนมา และได้มองไปยังคนผู้หนึ่งในกลุ่มที่สาม

คนผู้นี้ใบหน้าเยือกเย็น กอดดาบเอาไว้ในอ้อมอก มีชื่อว่าดาบเดียวดายมาจากสำนักดาบเทพแห่งอาณาจักรตะวันตก กระแสพลังชีวิตแรงกล้า ไม่ด้อยไปกว่าซางหลันชุดม่วงเลยสักนิด

การประลองยุทธ์ในแต่ละกลุ่มยังคงดำเนินต่อไป เพียงแต่ว่าทุกคนต่างก็ระมัดระวัง ไม่มีความมั่นใจ ล้วนจะไม่ลงมือโดยง่าย

เพราะถ้าหากพ่ายแพ้ ก็จะสูญเสียโอกาสในการแย่งชิงสิบอันดับแรกไป โดยเฉพาะตำแหน่งผู้ชนะอันดับหนึ่งนั้น ยิ่งมีรางวัลที่ไม่ธรรมดา

ยากลายร่างมังกรและสมบัติวิเศษชั้นสูง ต่อให้เป็นอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ยากที่จะได้มาครอบครอง ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากผลประโยชน์เหล่านี้ ยิ่งอยู่ในอันดับที่สูง ยิ่งจะได้ฝึกตนอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชั้นล่างเป็นเวลานาน

ในเวลานี้ บนเวทีประลองของกลุ่มที่สาม ยืนอยู่ด้วยบุรุษหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่ง คนผู้นี้มีนามว่าซุนชิง มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์เขาสมบัติวิเศษ

แค่ฟังจากชื่อก็รู้แล้วว่า เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ชำนาญในด้านหลอมอาวุธและของวิเศษ ว่ากันว่าเป็นสุดยอดในวิถีสืบทอดการหลอมอาวุธและของวิเศษของทั่วทั้งโลกแสงดาว

และซุนชิงผู้นี้ นอกจากผลการฝึกตนของตนเองจะบรรลุถึงระดับมกุฎยุทธ์ขั้นห้าแล้ว ยังเป็นนักกลั่นสมบัติ ขั้นเจ็ดอีกด้วย

สำหรับนักยุทธ์โดยทั่วไปแล้ว ที่ได้พบเห็นนั้นส่วนมากจะเป็นนักหลอมอาวุธ แต่สำหรับนักยุทธ์ที่มาจากกองกำลังใหญ่ ๆ ที่แท้จริงนั้น โดยทั่วไปแล้วจะไม่ไปตามหานักหลอมอาวุธเพื่อให้หลอมอาวุธให้ แต่จะหานักกลั่นสมบัติ เพื่อกลั่นสมบัติ กลั่นสมบัติของขลังแทน

เพราะสำหรับนักยุทธ์ที่มาจากกองกำลังใหญ่แล้ว ให้อาวุธยุทธ์ไม่ค่อยเหมาะกับฐานะของตนสักเท่าไรนัก มีเพียงใช้สมบัติวิเศษที่แข็งแกร่ง ถึงจะสามารถแสดงถึงความแข็งแกร่งและภูมิหลังที่ลึกล้ำของตนได้

กล่าวอย่างไม่ลังเล อัจฉริยะรุ่นใหม่ทั้งร้อยคนที่อยู่ตรงนี้นั้น ในมือของแต่ละคนต่างก็มีสมบัติเช่นนี้อยู่หนึ่งถึงสองชิ้น

หลี่จ้านที่ถูกหลัวซิวเอาชนะมาได้ความจริงแล้วก็มีสมบัติวิเศษอยู่เช่นกัน แต่ในตอนที่ต่อสู้กับหลัวซิว ไม่มีโอกาสที่จะใช้มันออกมาเลยสักนิด