เรื่องจริงหรือหลอกลวง
ครอบครัวตระกูลเฉียนในตอนนี้ทุกคนต่างแสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด ถ้าไจซวนนั้นรักษาระดับความเร็วในการว่ายน้ำของเขาเอาไว้ได้อย่างนี้เขามีสิทธ์จะชนะในระดับโลกได้แน่นอน
นั่นจะทำให้ตระกูลเฉียนมีเกียรติยศมากขึ้น พวกเขานั้นไม่รู้จะขอบคุณซูจิ้งยังไงดี จนทำได้แค่จับมือขอบคุณกันคนละข้างเท่านั้น
เย็นวันนั้นก่อนที่ซูจิ้งได้ออกจากบ้านของเฉียนจานฮวง เขานั้นบอกว่าอยากพบหลัวเทียนฟู่ เฉียนจานฮวงจึงอาสาพาเขาไปในทันทีโดยมีหยินหนิงและไจซวนตามไปด้วย ส่วนไจบิงนั้นติดธุระจึงทำได้แค่ขอตัวออกมาก่อนทั้งๆที่ไม่อยากเลยซักนิด
สถาบันวิจัยที่หลัวเทียนฟู่นั้นอยู่ไม่ไกลมากนักแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึง เฉียนจานฮวงได้พาซูจิ้งและคนอื่นๆตรงเข้าไปยังสำนักงาน
เมื่อถึงแล้วเขาก็โทรเรียกให้หลัวเทียนฟู่มาหาในทันทีพร้อมทั้งอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
ทันทีที่เขาได้ยินเขาประหลาดใจมากเมื่อได้ยินว่าหัวหน้าของเขาพาคนมาพาตัวเขาไป
หลัวเทียนฟู่นึกขึ้นมาในทันทีว่าเป็นไปได้ที่เฉียนจานฮวงจะไม่ต้องการตัวเขาแล้วหรือต้องการไล่เขาออก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เขาไม่สบายใจอย่างยิ่ง
“คุณหลัว ผมมีความต้องการอย่างยิ่งที่จะเชิญคุณไปทำงานที่สถาบันพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของผม” ซูจิ้งพูดเข้าประเด็นในทันที
“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามคุณซูหน่อยว่าสถาบันวิจัยของคุณซูต้องเป้าหมายในการวิจัยด้านใดกัน แล้วทีมงาน และเทคโนโลยีที่ใช้ในการศึกษา พร้อมกรอบระยะเวลาล่ะครับ” เทียนฟู่ถามเพื่อต้องการทราบรายละเอียดประกอบการตัดสินใจ
“ที่พอจะบอกได้ตอนนี้ก็คือเรากำลังศึกษาเรื่องปฏิสสารกัน ส่วนเรื่องรายละเอียดอย่างอื่นที่คุณขอมานั้นผมไม่สามารถบอกคุณได้ในตอนนี้น่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างยิ้มๆ
“ถ้างั้นคุณช่วยบอกเหตุผลดีๆที่ทำให้ผมควรตัดสินใจทำงานกับคุณหน่อยได้ไหมล่ะ ผมเองก็สามารถไปได้ทุกที่อยู่แล้วถ้าผมต้องการ” หลัวเทียนฟู่พูดด้วยท่าทางอารมณ์เสียเล็กๆ
“เสี่ยวหลัวอย่าเพิ่งโกรธไปเลยน่า คุณซูนั้นเอื้อเฟื้อครอบครัวฉันไว้เยอะเลยนา เขาต้องการนายจริงๆนะซึ่งฉันก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้
ที่แน่ๆคือฉันไม่มีทางส่งเพื่อนรักฉันไปตายแน่นอน นายก็รู้นี่ว่าฉันทุ่มทุนไปให้นายแค่ไหนถ้าฉันไม่เห็นว่าดีจริงไม่ยอมให้นายไปทำงานกับคุณซูเขาหรอก” เฉียนจานฮวงพยายามเกลี้ยกล่อมโดยยกเรื่องเงินมาอ้าง
“แต่ฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งงานวิจัยที่ทำอยู่ที่นี่ไปนี่นา” หลัวเทียนฟู่พูดออกมาด้วยท่าทีที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น
“ไม่จริงหรอกครับ คุณหลัวเองก็น่าจะมีเป้าหมายในชีวิตอยู่ ถ้าข้อมูลที่ผมได้มาไม่ผิดหรือพูดอะไรผิดไปอย่าว่าผมแล้วกันนะครับ
ผมรู้มาว่าเป้าหมายของคุณอย่างที่หนึ่งก็คือการวิจัยให้ถึงแก่นในเรื่องนิวเคลียและปฏิสสาร
และอย่างที่สองคือการฟื้นฟูสุขภาพของลูกสาวของคุณถูกต้องรึเปล่าครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทีจริงจังมากกว่าเดิม
“แล้วไง” หลัวเทียนฟู่คิ้วขมวดขึ้นมาทันที จานฮวงเองก็หันไปมองไปที่ซูจิ้งด้วยสายตาเป่งประกายในทันที เป้าหมายแรกของหลัวเทียนฟู่นั้นง่ายทีจะเป็นไปได้ แต่เป้าหมายที่สองนั้นจะบอกว่ายากที่จะพูดว่าทำได้ง่ายๆ
ถึงจะตรวจสอบเรื่องของเขามาอย่างดีแต่ไม่ควรพูดมันออกมาได้ง่ายๆอย่างนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ทำให้ใจเขาเจ็บปวดที่สุดชีวิต
“มาที่สถาบันวิจัยของผมสิ แล้วผมจะทำให้เป้าหมายทั้งสองอย่างของคุณให้เป็นจริงเอง” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“นายพูดว่าอะไรนะ” หลัวเทียนฟู่พูดออกมาพร้อมมองไปที่คนอื่นๆเพื่อยืนยันว่าเขาฟังไม่ผิดไป
เป้าหมายแรกนั้นสำหรับเขาถือเป็นเรื่องง่ายถ้าเขามีเครื่องมือและทีมงานที่ดีพอ แต่เป้าหมายที่สองที่จะช่วยให้เขาทำสำเร็จได้นี่มันบ้าบอสุดขีดเลยก็ว่าได้ หลัวเทียนฟู่ได้เขม่นตาด้วยความขุ่นเคืองพร้อมพูดออกมาว่า “คุณซูคุณจะพูดตลกก็ควรจะให้มันมีขอบเขตบ้างนะ”
“ผมไม่ได้พูดเล่นซะหน่อย ทางสถาบันของผมนั้นสามารถตอบสนองเป้าหมายของคุณทั้งสองข้อได้จริงๆ สำหรับเรื่องของลูกสาวคุณนั้นผมบอกได้เลยผมเองก็พอจะบอกได้ว่ามีแนวทางในการรักษาเธอได้เช่นกัน” ซูจิ้งตอบกลับไป
“คุณซูคุณรู้ไหมว่าอาการตาบอดที่เกิดจากการตาบอดสีสีน้ำเงินนั้นร้ายแรงแค่ไหน คุณมีวิธีรักษาแบบไหนกันแล้วใช้เวลานานรึเปล่า” หลัวเทียนฟู่แสดงความตื่นเต้นออกมาพร้อมที่ท่าทียังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เฉียนจานฮวง เฉียนหยินหนิง และเฉียนไจซวน รู้สึกโง่งมในทันที ถ้าซูจิ้งสามารถรักษาลูกสาวของหลัวเทียนฟู่ได้ได้จริงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะไปแน่นอน
ในเวลานั้นเฉียนจานฮวงเองก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้หลัวเทียนฟู่พร้อมที่จะไปได้ทุกเมื่อเลยซึ่งเขาเองก็ยินดีถ้ารักษาลูกสาวของหลัวเทียนฟู่ได้ แต่คำถามคือจะรักษาได้จริงๆรึเปล่า
ที่เขาคิดขึ้นมาแบบนั้นก็เพราะว่าอาการป่วยของลูกสาวเทียนฟู่นั้นถือได้ว่าหนักเอาการเพราะขนาดโรงพยาบาลใหญ่ๆ ยังไม่สามารถรักษาได้ ว่าแต่ซูจิ้งจะสามารถรักษาได้จริงๆหรอ
“ผมไม่รู้ว่าคุณเคยได้ยินเรื่องยาจีนแผนโบราณที่ชื่อว่าทรายดำรึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา
“เคยได้ยินซิแถมฉันยังลองแล้วด้วยแต่ก็ไม่ได้ผลอะไร” ความตื่นเต้นที่ปรากฎบนหน้าของหลัวเทียนฟู่เมื่อครู่นี้หายวับไปกับตาพลันเปลี่ยนเป็นใบหน้าเหยเก
เจ้าสิ่งที่เรียกว่าทรายดำนั้นเขาไม่เชื่อสรรพคุณของมันตั้งแต่ต้นอยู่แล้วแต่เขาก็ยังลองดูและมันก็ไม่ได้ผลอย่างสิ้นเชิง
“อะไรคือทรายดำเหรอครับ” เฉียนไจซวนกระซิบถามออกมา หยินหนิงเองก็ทำหน้าไม่รู้เรื่องเหมือนกัน
“ทรายดำมันคืออออ… ” เฉียนจานฮวงอธิบายให้ทั้งสองคำ เมื่อทั้งสองรู้สรรพคุณและที่มาของมันว่ามันคืออะไรต่างก็คิดมาว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าปรัมปราจะไปเป็นเรื่องจริงได้ยังไงกัน
“ทรายดำที่ผมจะให้นี้ไม่เหมือนทรายดำทั่วไปครับ มันมีผลในการรักษามากกว่าพวกนั้นหลายเท่า ถึงแม้มันอาจจะรักษาลูกของคุณไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกายลูกสาวคุณเลย เรื่องนี้ผมรับประกันได้” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“มันจะไปพิเศษกว่าปกติได้ยังไงกัน” หลัวเทียนฟู่ไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิง เขานั้นอยากออกไปจากที่นี่ในทันทีแล้ว
“คุณหลัว คุณจะถอดใจเรื่องนี้จริงๆงั้นหรอ” ซูจิ้งไม่รั้งตัวหลัวเทียนฟู่ไว้แต่เขาเพียงพูดออกไปเท่านั้น “ถ้าคุณพลาดโอกาสนี้ไปลูกสาวของคุณอาจตาบอดไปตลอดชีวิตก็ได้นะ คุณเองก็น่าจะรู้ว่าผมนั้นไม่ใช่คนธรรมดา อะไรที่คนอื่นทำไม่ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะทำไม่ได้เหมือนคนพวกนั้น”
“เสี่ยวหลัว ฉันมีอะไรจะบอกนายนะ” เฉียนจานฮวงอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับไจซวนให้หลัวเทียนฟู่ฟัง นี่จะเท่ากับว่าเขาได้ช่วยซูจิ้งอีกทางนึงด้วย
เขารู้สึกว่าซูจิ้งได้ช่วยเรื่องลูกชายของเขาอย่างมากจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงได้นอกจากวิธีนี้ และด้วยเรื่องนี้เองก็ทำให้เขาหวังลึกๆว่าเขาจะสามารถรักษาอาการป่วยของลูกสาวหลัวเทียนฟู่ที่ทุกคนต่างก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้แน่นอน
“เป็นไปได้ยังไงกัน” หลังจากได้ยินเรื่องจากเฉียนจานฮวงแล้วหลัวเทียนฟู่ทำได้แต่ประหลาดใจ
เขาเองก็รู้ดีว่าจานฮวงจะไม่มีทางโกหกเขาแน่นอน เขาอดไม่ได้ที่จะมองตาของซูจิ้งอีกครั้ง คราวนี้สายตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาเองก็ได้ยินความอัศจรรย์ต่างๆที่ซูจิ้งทำให้เกิดขึ้นมาเช่นกัน
และตอนนี้เขาก็คิดแล้วว่าซูจิ้งนั้นมีวิธีรักษาลูกสาวเขาจริงๆ แต่จะดีกว่าโรงพยาบาลรักษารึเปล่าเนี่ยสิ
“ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหล่ะครับ ต่อให้การรักษาล้มเหลวก็จะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายของลูกสาวของคุณแน่นอน แถมคุณไม่จำเป็นต้องร่วมงานกับผมที่สถาบันวิจัยอีกด้วย คุณคิดว่ายังไงหล่ะ”
ความจริงนั้นต่อให้รักษาลูกสาวของหลัวเทียนฟู่ไม่ได้ เขาก็มีวิธีอื่นที่สามารถดึงตัวหลัวเทียนฟู่อยู่ดี
แต่ด้วยวิธีการนี้จะช่วยทำให้เขานั้นสามารถได้รับความไว้วางใจจากหลัวเทียนฟู่อย่างถึงที่สุดซึ่งจะผลดีต่อเขาในการสะกดจิตเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการรักษาความลับของเขา
ถ้าการสะกดเกิดความผิดพลาดขึ้นมาอาจส่งผลกระทบต่อสมองจนทำให้ไม่สามารถทำงานได้ตามที่เขาคาดหวังไว้
โดยเฉพาะกับอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งอย่างนี้ย่อมมีพลังจิตภายในตัวเองมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้วซึ่งนั่นจะทำให้ความสำเร็จในสะกดต่ำลงจนอาจล้มเหลวได้ง่ายๆเลย
“งั้นผมเชื่อคุณซูแล้วกัน ผมคงได้แต่หวังว่าคุณซูจะไม่หลอกผม ถ้ามันได้ผลจริงๆ ผมจะยอมตายถวายชีวิต ยกชีวิตครึ่งหลังทั้งหมดให้แก่คุณไปเลย” หลัวเทียนฟู่ไตร่ตรองอยู่นานจนตัดสินใจยอมทดลองใช้ทรายดำ
“ฮ่าฮ่า แค่คุณมาร่วมงานกับผมแค่นั้นก็พอแล้วครับ สำหรับยาอยู่นี่ครับ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
เขานำผงทรายดำที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่ต้นออกมามอบให้แก่หลัวเทียนฟู่
และบอกวิธีการต้มยาและวิธีการกินยาของลูกสาวของหลัวเทียนฟู่ให้ฟัง
“เสี่ยวหลัว วันนี้ไม่ต้องไปทำงานแล้วนะ กลับบ้านไปเถอะ” เฉียนจานฮวงพูดกับหลัวเทียนฟู่ด้วยรอยยิ้ม
“ตกลง” หลัวเทียนฟู่รีบตรงกลับบ้านในทันทีด้วยความหวังเต็มหัวใจ ภรรยาและลูกสาวอายุ 10 ขวบของเขานั้นทั้งคู่อยู่บ้านอยู่แล้ว
เมื่อภรรยาของเขาได้ยินว่าเขาจะใช้ทรายดำรักษาลูกสาวอีกครั้งแถมให้หยุดยาที่ได้จากโรงพยาบาลและจากที่อื่นทั้งหมด
ถึงแม้เธอจะไม่เห็นด้วยอย่างหัวชนฝาแต่พอเธอรู้ที่มาที่ไปของยาเธอก็ทำได้แค่เชื่อใจในสิ่งที่เขาบอก
และตั้งความหวังไว้กับยานี้อย่างแรงกล้า พร้อมทั้งนำทรายดำไปต้มยาหม้อตามที่ซูจิ้งบอกอย่างเคร่งครัดและนำไปให้ลูกสาวเธอดื่ม