TQF:บทที่ 710 ต่างคนต่างวางแผน (2)

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวเหลือบมองเขานิดหน่อย รู้ดีว่าเขาคิดอะไรอยู่ นางหัวเราะเบาๆและเอ่ยขึ้น “กลัวทำไม อออกก็ออก ถ้าเขาอยู่ผืนดินฉางไห่ละก็ บางทีการเคลื่อนไหวของพวกเราครั้งอาจจะสะเทือนไปถึงพวกเขาก็ได้ ทำให้เขาสนใจได้ แล้วกลัวว่าเขาจะไม่มาหาพวกเราหรือไง”

 

“คุณหนูพูดถูก ท่านเขยของเราเป็นคนฉลาดขนาดนั้น ต้องรู้แน่ๆว่าพวกเรามาถึงนี่แล้ว พวกเราจะสนพวกเขาไปทำไม ครั้่งนี้ไม่ว่าจะเป็นใคร ถ้าพวกเขากล้ามาหาเรื่องพวกเรา ต่อให้ต้องเป็นศัตรูกับทั้งผืนดินฉางไห่พวกเราก็ไม่กลัว”

 

มีความอาฆาตพยาบาทอย่างบ้าคลั่งอยู่ในแววตาของหยูเฮงน้อย ใบหน้าเล็กๆมีรอยยิ้มเย็น “ไม่ว่าพวกเขาจะมีปีศาจเฒ่ามากแค่ไหน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเทพเซียนหรือจักพรรดิเทพเซียน พวกเราไม่ได้มีอะไรมากหรอก แค่มีสัตว์อมตะเยอะที่สุด ต่อให้ฆ่าพวกเขาไม่ตาย สัตว์อมตะของพวกเราก็ทำให้พวกเขาเหนื่อยตายได้”

 

เมื่อได้ฟังคำพูดบ้าคลั่งนี้ผู้เฒ่าหยิงชะงักไป แม้เขาจะไม่รู้ว่าในมิติมีสัตว์อมตะอยู่มากแค่ไหน แต่นึกไปถึงหุบเขาอันไร้ที่สิ้นสุดในมิติ เผ่าอสูรที่นั่นคงจะเต็มเมืองชิงยางเลยสินะ ถ้าสัตว์อมตะล้านตัวมาปรากฏตัวพร้อมกัน จะสังหารเหล่าผู้ฝึกฝนวิทยายุทธที่มาชุมนุมในชิงยางไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่

 

เมื่อคิดมาถึงความเป็นไปได้นี้ ความกังวลในใจผู้เฒ่าหยิงหายเป็นปลิดทิ้ง แววตาเป็นประกายด้วยใจที่เฝ้ารอ

 

“ดูสถานการณ์ก่อน” แม้ความพยาบาทในใจเฉิงเสี่ยวเสี่ยวจะท่วมท้น แต่นางก็แค้นแค่กับเจ้าพวกที่หาเรื่องตัวเองเท่านั้น การมีมิติในครอบครองเป็นไพ่ตายใบสุดท้ายของนาง ต่อให้ตัวตนของเผ่าอสูรถูกเปิดโปงนางก็ไม่กลัวเลยสักนิด

 

“เอาล่ะหยูเฮงน้อย เจ้าลงมือเดี๋ยวนี้ รีบไปสอนเผ่าอสูรในชิงยางสกัดยา แล้วสั่งให้เผ่าอสูรพันคนกระจายออกไปแจ้งข่าวตามเมืองต่างๆให้ทหารรับจ้างเปลี่ยนแปลงฐานะซะ แล้วแฝงตัวเข้ามาใกล้ชิงยาง”

 

“ไม่มีปัญหาคุณหนู ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

 

หยูเฮงน้อยหายตัวและเริ่มลงมือทันที เฉิงเสี่ยวเสี่ยวบอกกับตาเฒ่าตรงหน้า “ผู้เฒ่าหยิง ช่วงนี้เพื่อไม่เป็นที่สนใจของคนอื่นเจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ก่อน ไม่นานมาก ประมาณ 10 วัน เจ้ารีบปิดตึกจงหยวนซะ แล้วก็เปลี่ยนแปลงฐานะ พาสมาชิกเผ่าอสูรที่นี่ไปหาข้าที่บ้านตระกูลฟาง เข้าใจมั้ย”

 

“ขอรับคุณหนู ข้ารู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร”

 

“ดี เจ้าไปทำอะไรเถอะ ระวังตัวด้วย ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยไว้ก่อนนะ อย่าให้ใครรู้เด็ดขาด ถ้ามีอันตรายขึ้นมาให้รีบหลบซ่อนแล้วเปลี่ยนแปลงฐานะซะ ในช่วงนี้อย่าเชื่อใครเด็ดขาด รวมถึงคนของโถงวิหารสวรรค์ด้วย เป็นการยากที่พวกเขาจะไม่เข้าร่วมกับคนพวกนี้ ถ้าเจ้าไปหาพวกเขาเกรงว่าเข้าไปแล้วคงไม่ได้ออกมาอีก”

 

“คุณหนู ข้าเข้าใจ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่เปลี่ยนตัวตนแล้วจะรีบไปหาคุณหนูที่บ้านตระกูลฟางทันที” ผู้เฒ่าหยิงเข้าใจถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ โดยเฉพาะเขาที่ตอนนี้มีวิทยายุทธอยู่แค่ระดับก้าวสู่เทพเทวาเท่านั้น คนที่อยากจะบีบเขาให้ตายในชิงยางมีอยู่มาก”

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวพยักหน้า “เจ้าเข้าใจก็ดี ระวังไว้ก่อน” หลังจากที่กำชับเสร็จนางก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นต่อ เข้าสู่มิติและเคลื่อนออกจากตึงจงหยวนทันที

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวกลับถึงบ้านตระกูลฟางอย่างเงียบเชียบ นางไม่ได้เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟางซูหยุนฟัง ส่วนคนอื่นๆในตระกูลฟางที่ไม่รู้เรื่องก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะคุยถึงเรื่องนี้กับพวกเขา

 

เมื่อกลับเข้ามาในบ้านตัวเอง นั่งขัดสมาธิขนเตียงและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แม้จะรู้ว่าต้องเผชิญกับปัญหาพวกนี้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเร็วขนาดนี้

 

การเปิดเผยตัวตนของเผ่าอสูรส่งผลให้กลุ่มทหารรับจ้างยากจะยืนหยัดได้ แม้ว่าคนของผืนดินฉางไห่จะไม่ได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเผ่าอสูรขนาดนั้น แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็คงไม่สามารถยอมรับได้ง่ายๆว่ามีเผ่าอสูรมากมายขนาดนี้อาศัยอยู่ในที่ของพวกเขา

 

บัดนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 3 ปีเต็มแลัว แต่ยังไม่มีวี่แววของเขา

 

คิดถึงตรงนี้เฉิงเสี่ยวเสี่ยวก็ระทมในใจ พลันแสบจมูกขึ้นมา จู่ๆก็อยากจะร้องไห้ และฮัมเพลงขึ้นมา “คิดถึงเจ้าจริงๆ ข้าร้องเรียกหาตะวันในยามค่ำคืน เมฆที่ไล่ตามดวงจันทร์รู้ใจข้าดี ส่งความอบอุ่นมาให้ข้าเงียบๆ คิดถึงเจ้าจริงๆ ข้าร้องเรียกหาตะวันในยามค่ำคืน ดวงดาวบนฟ้ารู้ใจข้าดี….”

 

ในขณะที่นางเริ่มฮัมเพลง มีหนุ่มหล่อ 3 คนเดินมาทางบ้านนาง พวกเขาที่อยู่ที่ทางเดินหยุดฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว ด้วยวิทยายุทธของพวกเขาย่อมได้ยินเพลงที่เฉิงเสี่ยวเสี่ยวร้อง

 

ได้ยินเพลงที่เถรตรงและเต็มเปี่ยมไปด้วยความคิดถึงนี้ สีหน้าของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ต่างๆ แต่สายตากลับทอดไปยังบ้านด้านหน้าไม่ไกลอย่างควบคุมไม่ได้

 

ไม่ว่าพวกเขาจะชอบคนในบ้านนั้นจากใจจริงรึเปล่า แต่ขณะนั้นพวกเขารู้ว่าเพลงนี้ไม่ได้ร้องให้พวกเขาฟังแน่ๆ และยิ่งไม่ใช่ความคิดถึงที่มีต่อพวกเขา นางมีบางคนในใจอยู่แล้ว

 

ที่จริงพวกเขาต่างรู้อยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะพยายามเท่าไหร่พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าไปอยู่ในใจนางได้ แต่ในชั่วขณะนั้นพวกเขารู้แล้วว่าไม่มีใครแทนที่คนๆนั้นในใจของนางได้

 

เฉิงเสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ในบ้านจมอยู่ในห้วงคิดถึงของตัวเองโดยสมบูรณ์ นางรู้สึกถึงพลังลมปราณของคน 3 คนที่คุ้นเคยได้ลางๆ แต่นางไม่ได้สนใจ ยังร้องเพลงต่อไป “ในใจข้ามีแต่เจ้า ภูเขาและผืนน้ำนับพันนับหมื่นจะกีดกันความรักที่ข้ามีต่อเจ้าได้อย่างไร ความรักของจ้าลอยละล่องอยู่ใต้แสงจันทร์ คิดถึงเจ้าจริงๆ เจ้าคือแสงอรุณที่เจิดจรัสที่สุดของข้า ฤดูอันหนาวเหน็บได้ผ่านไปแล้ว สามารถยอมรับใจของข้าที่รักเจ้าได้ คิดถึงเจ้าจริงๆ ข้าร้องเรียกหาตะวันในยามค่ำคืน เมฆที่ไล่ตามดวงจันทร์รู้ใจข้าดี ส่งความอบอุ่นมาให้ข้าเงียบๆ คิดถึงเจ้าจริงๆ ข้าร้องเรียกหาตะวันในยามค่ำคืน ดวงดาวบนฟ้ารู้ใจข้าดี ในใจข้ามีแต่เจ้า….”

 

“รอยยิ้มของเจ้าเหมือนบทเพลงที่ทำให้ความรักของข้าชุ่มชื้น เสียงของเจ้าเหมือนแม่น้ำที่ทำให้ใจของข้าชุ่มชื้น คิดถึงเจ้าจริงๆ เจ้าคือแสงอรุณในชีวิตข้า ฤดูอันหนาวเหน็บได้ผ่านไปแล้ว ขอแค่ข้าอยู่ในใจของเจ้า ฤดูอันหนาวเหน็บได้ผ่านไปแล้ว ขอแค่ข้าอยู่ในใจของเจ้า…”

 

เสียงนุ่มนวลไพเราะดังสะท้อนอยู่ในหูของพวกเขา ขณะเดียวกันก็แผ่ออกไปในอากาศ ราวกับสามารถทะลุท้องฟ้าไปยังดินแดนต้องห้ามบางที่ได้

 

คิดได้ว่าตัวเองจะได้ไปหาและได้เจอนางแล้ว มีรอยยิ้มบางๆโผล่บนใบหน้าของโม่ซวนซุน เขารู้ว่าต่อให้นางมาอยู่ที่ผืนดินฉางไห่ คนที่คิดจะรังแกนางก็มีน้อยมาก ดังนั้นเขาจึงสบายใจมาก เชื่อว่าอีกไม่กี่วันก็จะได้พบนางและได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

 

เขาควักรูปปั้นหยกที่เขาสลัดเองออกมาอีกครั้งโม่ซวนซุนมองรูปหยกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน “เสี่ยวเสี่ยว ข้าคิดถึงเจ้า คิดถึงเจ้าวันละนับครั้งไม่ถ้วน ข้ากำลังจะไปหาเจ้าแล้ว เจ้าล่ะคิดถึงข้ามั้ย ข้าเชื่อว่าเจ้าก็กำลังคิดถึงข้าอยู่ใช่มั้ย”

 

“เสี่ยวเสี่ยว เจ้ารอข้านะ อีกไม่นานข้าจะไปพบเจ้า หลังจากที่ต้อนรับพวกตาแก่ในวันพรุ่งนี้แล้วข้าจะรีบไปหาเจ้า จากนี้ต่อไป หากมีใครรังแกเจ้าอีก ข้าจะฆ่าพวกมันให้หมดแน่ ไม่ว่าจะเป็นใครในที่นี้เราก็ไม่ต้องกลัว ส่วนนังผู้หญิงคนนั้น เสี่ยวเสี่ยว รอให้เจ้ามาถล่มนางเองดีมั้ย ข้าให้โอกาสเจ้าได้ชำระแค้นซะ”

 

“ผ่านไป 3 ปีแล้วเสี่ยวเสี่ยว เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าร้องเพลงของเจ้าได้ตั้งนานแล้ว เพลงที่ชอบที่สุดก็คือเพลง ‘หนูรักข้าว’ เสี่ยวเสี่ยว หลังจากนี้ข้าจะรักเจ้าเหมือนที่หนูรักข้าวดีมั้ย อ้อ แล้วก็ถึงตอนนั้นข้าจะร้องเพลงให้เจ้าฟัง ตอนนี้ก็ร้องให้เจ้าฟังหน่อยเป็นไง เจ้าฟังให้ดีล่ะ ข้าต้องร้องเพราะกว่าเจ้าแน่ๆ”

 

“ข้าได้ยินเสียงของเจ้า มีความรู้สึกพิเศษบางอย่างทำให้ข้าไม่หยุดคิด ไม่กล้าลืมเจ้าอีก ข้าจำได้ว่ามีอยู่คนนึงที่อยู่ในใจข้าตลอด ต่อให้ได้แค่คิดถึงเจ้าไปแบบนี้ หากมีวันใดความฝันนี้จะเป็นจริง ข้าจะพยายามดีกับเจ้ามากขึ้นอีกหลายเท่าไม่มีวันเปลี่ยน ไม่ว่าหนทางจะไกลแค่ไหนก็จะต้องทำให้เป็นจริงให้ได้ ข้าจะบอกเจ้าเบาๆข้างหูเจ้า บอกกับเจ้าว่า ข้ารักเจ้า รักเจ้าเหมือนที่หนูรักข้าว”

 

ในขณะที่โม่ซวนซุนกำลังร้องอย่างเพลิดเพลิน เขาไม่รู้ว่าบนยอดเขาไม่ไกลนั้นยืนกันอยู่ 3 คน นอกจากอาจารย์และอาจารย์หญิงของเขาแล้ว อีกคนก็คือตาแก่ซอมซ่อ พวกเขาคอยฟังคนในบ้านไผ่ร้องเพลงพลางตะลึงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสามีภรรยาโม่อู๋เซอที่เพิ่งเคยฟังเพลงแบบนี้เป็นครั้งแรก

 

“พี่เซอ ทำไมซุนเอ๋อถึงร้องเพลงแบบนี้เป็นล่ะ แปลกจัง” หรงจิ้งซือส่งเสียงผ่านกระแสจิตให้สามีตัวเอง

 

โม่อู๋เซอมองลูกศิษย์ที่กำลังร้องเพลงด้วยใบหน้าเบิกบานก็อดตลกไม่ได้ พลางตอบกลับ “เมื่อกี้เจ้าเด็กนี่ก็พูดอยู่ไม่ใช่เหรอ ว่าเป็นเพลงที่ยัยเสี่ยวเสี่ยวร้องเป็น ทำไม เจ้าก็ชอบเหรอ”

 

“ชอบสิ เจ้ายังไม่เคยร้องเพลงให้ข้าฟังเลย วันหลังเจ้าต้องร้องให้ข้าฟังด้วย”

 

“ข้าทำอะไรแบบนี้ไม่เป็นเจ้าก็รู้นี่”

 

“ข้าไม่สน เจ้าต้องร้อง”